เมื่อกินอาหารเสร็จ เหวินลู่ฟงช่วยจัดการเรื่องที่หลับนอนให้แก่เสี่ยวหลานได้นอนห่างจากกองไฟไม่มากนักเพื่อความอบอุ่น หากแต่ไม่ใกล้จนเกินไปกระทั่งเป็นอันตราย
"เสี่ยวหลาน มานอนข้างๆ ข้านี่ จะได้ไม่หนาวมาก"
เสี่ยวหลานเชื่อฟังและทำตามทันที อีกฝ่ายเดินเท้าเปล่ามาหาเขา เหวินลู่ฟงเห็นรองเท้าของเสี่ยวหลานถอดวางอยู่ไม่ไกล
"เหตุใดเจ้าจึงไม่สวมรองเท้า"
"เจ็บ"
"เจ้าเจ็บเท้ารึ?"
"อืม" เสี่ยวหลานพยักหน้า
"ขอให้ข้าดูหน่อยสิ"
เสี่ยวหลานที่ยังคงยืนอยู่ยกเท้าขึ้นมาข้างหนึ่ง สูงเสมอใบหน้าของเขา ในขณะที่เขากำลังนั่งอยู่ข้างกองไฟ ทำให้ถึงกับผงะ
"เจ้านั่งลงก่อน คราหน้าห้ามทำแบบนี้เข้าใจหรือไม่"
"อืม"
เมื่อเสี่ยวหลานนั่งลงแล้ว เขาจึงจับยกเท้าของอีกฝ่ายขึ้นมาสำรวจดู ที่ฝ่าเท้าทั้งสองข้างมีแผลพุพองจำนวนไม่น้อย
"เสี่ยวหลาน หากเจ้าเจ็บ เจ้าเหนื่อย หรือหิว เจ้าควรบอกข้า"
"อืม"
เหวินลู่ฟงชื่นชมในความอดทนของเด็กหนุ่ม แม้เหนื่อยหรือบาดเจ็บ กลับไม่ปริปากบ่นสักคำ แต่หากพรุ่งนี้ยังให้เสี่ยวหลานเดินทั้งที่บาดเจ็บอยู่เช่นนี้ อีกสามวันก็คงจะไปไม่ถึงหมู่บ้านกระบี่เป็นแน่
"เจ้านอนพักผ่อนเถิด พรุ่งนี้เราค่อยเดินทางกันต่อ" เขาบอกกับอีกฝ่ายหลังจากที่ใส่ยาสมานแผลให้แล้ว
รุ่งเช้าเสี่ยวหลานขยับตัวตื่น ทำให้ลู่เกอรู้สึกตัวด้วยเช่นกัน ทั้งสองจึงเตรียมตัวออกเดินทางอีกครั้ง คราแรก เขาจะไม่สวมรองเท้า เพราะมันไม่สบายเท้าแต่ลู่เกอสั่งให้ใส่ เขาจึงทำตาม
ออกเดินทางมาได้สักระยะหนึ่ง เขาเริ่มเจ็บฝ่าเท้า และจำได้ว่าถ้าเจ็บสามารถบอกกล่าวแก่อีกฝ่ายได้
"เจ็บ"
เสี่ยวหลานบอกออกไปแล้ว แต่อีกคนหาได้สนใจไม่ เขาจึงเดินตามไปหากแต่เดินได้ช้าลง และอาการเจ็บรุนแรงขึ้น ลู่เกอหันมามองเมื่อเขาเดินทิ้งระยะห่างมากขึ้น
"เจ็บ" เขาลองบอกอีกครั้ง
"เจ้าเจ็บฝ่าเท้ารึ?"
"อืม เจ็บ"
ลู่เกอปลดห่อผ้าที่สะพานติดตัวอยู่ตลอดเวลาออก ก่อนหันหลังและย่อตัวให้กับเขา ในมือกำแท่งยาวๆ ที่มีผ้าพันเอาไว้
"ขึ้นมา"
'ขึ้น อย่างไร?' เสี่ยวหลานไม่เข้าใจ จนลู่เกอหันมามอง
"เจ้าเคยขี่หลังผู้ใดหรือไม่" เขาส่ายหน้า
เหวินลู่ฟงยืนขึ้นเมื่อรู้ว่าเสี่ยวหลานคงขึ้นขี่หลังเขาไม่เป็น จึงเดินเข้าไปหา ก่อนแบกเด็กหนุ่มขึ้นหลัง สองแขนช้อนข้อพับขาของอีกฝ่ายไว้
"เอามือเกาะบ่าข้าไว้" เมื่อเสี่ยวหลานทำตามแล้ว เหวินลู่ฟงจึงออกเดินอีกครั้ง
เสี่ยวหลานตัวเบากว่าที่เขาคาดไว้ หากเดินสลับกับใช้วิชาตัวเบา เขาก็น่าจะไปถึงหมู่บ้านกระบี่ได้ในค่ำของวันพรุ่งนี้ เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงบอกให้เสี่ยวหลานเกาะเขาไว้ให้แน่น ก่อนเหินทะยานด้วยวิชาตัวเบาไปข้างหน้า
"ลู่เกอ บิน เสี่ยวหลาน บิน"
เสียงสดใสของคนที่อยู่บนหลังทำให้เหวินลู่ฟงรู้ว่า เสี่ยวหลานคงจะสนุกไม่น้อย ร่างกายเป็นเด็กหนุ่มหากแต่จิตใจยังคงเป็นเพียงเด็กน้อย เมื่อไปถึงสำนักกระเรียนทอง คงต้องหาคนดูแลอย่างใกล้ชิดเสียแล้ว
การเดินทางในสองวันนี้ค่อนข้างรวดเร็วและสนุกไม่น้อย เสี่ยวหลานแทบไม่ได้ลงเดินเลย เพราะลู่เกอให้เขาขี่หลังตลอดไม่ว่ายามเดิน หรือยามที่ลู่เกอพาเขาบิน
ระหว่างทางเมื่อพบเห็นสิ่งใดไม่รู้จัก เขามักจะถามลู่เกอ เหมือนคราที่ถามตงตง ลู่เกอก็จะตอบเขาเสมอ และยังสอนในสิ่งที่เขาไม่รู้อีกมากมาย
ลู่เกอไม่ให้เขาเดินทั้งที่เท้าเขาไม่เจ็บแล้ว เพราะต้องการที่จะเร่งการเดินทางให้ไวขึ้น กระทั่งมาถึงยังหน้าค่ายแห่งหนึ่ง เขาจึงได้รับอนุญาตให้ลงเดิน
"ค่าย พี่ใหญ่" เสี่ยวหลานชี้ไปที่ค่าย เหมือนกับที่พี่ใหญ่พักอยู่
"ที่นี่คือหมู่บ้าน มีชื่อว่าหมู่บ้านกระบี่"
"หมู่บ้านกระบี่"
"ถูกต้อง เหตุใดเจ้าถึงเรียกหมู่บ้านว่าค่าย หรือที่เจ้าจากมาเป็นค่ายทหาร"
"พี่ใหญ่มีทหาร ที่นอนเป็นกระโจมใหญ่"
"เจ้ามาจากชายแดนรึ?"
"ไม่ใช่ ค่าย พี่ใหญ่"
"ไม่ใช่ก็ไม่ใช่ เราเข้าไปในหมู่บ้านกันเถิด จะได้หาอาภรณ์ให้เจ้าผลัดเปลี่ยนเสียใหม่"
เหวินลู่ฟงพอจะคาดการได้ว่าเสี่ยวหลานคงมาจากค่ายทหารที่ตรึงกำลังอยู่บริเวณชายแดน และพี่ชายของเสี่ยวหลานคงมียศศักดิ์ไม่น้อย ดูได้จากอาภรณ์ชุดเก่าที่อีกฝ่ายสวมใส่
เสี่ยวหลานเดินเข้ามาในหมู่บ้านพร้อมกับลู่เกอ ภายในหมู่บ้านแห่งนี้ เขาได้กลิ่นหอมเย้ายวนแผ่กำจายอยู่โดยรอบ จนไม่สามารถแยกทิศทางของกลิ่นได้ ถึงอย่างนั้น กลิ่นที่ได้รับก็มากพอที่จะทำให้เขาสดชื่นคลายความเหนื่อยล้าลงได้
เหวินลู่ฟงสังเกตเห็นว่าตั้งแต่ที่เขาและเสี่ยวหลานก้าวเข้ามาในหมู่บ้านกระบี่ ชาวบ้านต่างพากันรังเกียจและหวาดกลัวเสี่ยวหลานอย่างเห็นได้ชัด หากแต่เด็กหนุ่มกลับไม่รับรู้สิ่งใด
เขาพาเสี่ยวหลานเข้ามายังโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง จากนั้นก็สั่งให้เสี่ยวหลานนั่งอยู่แต่ในห้อง ไม่ให้ออกไปไหน อีกฝ่ายยังคงเชื่อฟังเช่นเคย
เหวินลู่ฟงออกจากโรงเตี๊ยมมุ่งตรงไปยังร้านผ้าและหาซื้ออาภรณ์พร้อมหมวกที่มีผ้าคลุมปิดบังใบหน้า จากนั้นจึงตรงไปยังโรงเลี้ยงม้าเพื่อหาซื้อม้าตัวหนึ่ง
เมื่อกลับถึงยังโรงเตี๊ยมเขาก็สั่งอาหารสองสามอย่างให้ขึ้นไปส่งที่ห้อง เหวินลู่ฟงไม่วางใจให้เสี่ยวหลานพักเพียงลำพัง เขาจึงให้อีกฝ่ายพักห้องเดียวกับเขา
คำพูดที่ว่า ให้นั่งอยู่แต่ในห้อง ไม่ให้ออกไปไหนคงจะเป็นคำสั่งที่เคร่งครัดเกินไปสำหรับเสี่ยวหลาน เพราะเมื่อเขาก้าวกลับเข้ามาในห้อง กลับพบว่าเสี่ยวหลานนั่งนิ่งอยู่บนเตียงเหมือนคราแรกก่อนที่เขาจะออกไปไม่ผิดเพี้ยน
"เหนื่อยหรือไม่"
"ไม่ขอรับ" เสี่ยวหลานเริ่มพูดเป็นประโยคตามที่เขาสอนได้บ้าง
"เจ้าไปอาบน้ำและเปลี่ยนอาภรณ์ใหม่เสีย" เขายื่นห่อผ้าที่มีอาภรณ์ชุดใหม่ให้แก่เสี่ยวหลานรับไว้ อีกฝ่ายมองไปรอบๆ "ห้องอาบน้ำอยู่ด้านนั้น" เขาชี้ไปยังห้องอาบน้ำ เสี่ยวหลานจึงเดินเข้าไป
ไม่นานนักเสี่ยวเอ้อร์ก็นำอาหารขึ้นมาส่งให้ เขาจึงรอกินพร้อมกับเสี่ยวหลาน หากแต่รออยู่นานอีกฝ่ายไม่มีท่าทีว่าจะออกมาเสียที
"เสี่ยวหลาน"
"ขอรับ"
"เจ้ายังอาบน้ำไม่เสร็จอีกรึ?"
"เสร็จ ขอรับ"
"แล้วเหตุใดจึงยังไม่ออกมาอีก"
ครานี้ไม่มีเสียงตอบกลับ ทำให้เขาต้องลุกไปดู เมื่อเดินผ่านฉากกั้นไปแล้วเขาจึงเห็นเสี่ยวหลานกำลังใส่อาภรณ์ชุดใหม่อย่างทุลักทุเล จนเขาอดยิ้มขำไม่ได้
"เสี่ยวหลาน" เขาเรียกเสียงอ่อน
"ขอรับ"
เสี่ยวหลานหันมาทางเขา อาภรณ์ที่ยังใส่ไม่เรียบร้อย เผยให้เห็นผิวขาวเนียนตัดกับรอยแผลเป็นปื้นสีแดงขนาดใหญ่ไล่ตั้งแต่กลางลำตัวขึ้นไปยังแผงอกด้านหนึ่งและลำคอ รอยแดงแบบเดียวกับบนใบหน้า
"ลู่เกอ ยาก"
เสียงของเสี่ยวหลานเรียกสติของเหวินลู่หงให้กลับคืนมา เขาจึงเดินเข้าไปช่วยอีกฝ่ายจัดอาภรณ์ให้เข้าที่โดยพยายามเลี่ยงไม่มองรอยแผลที่น่าหดหู่นั่น
"บาดแผลนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร" เขาถามขึ้นทั้งที่รู้ว่าเสี่ยวหลานคงให้ความกระจ่างแกเขามิได้
"ธนูเพลิง"
"เจ้าถูกลอบทำร้ายรึ?"
"ไม่รู้"
"ยังเจ็บอยู่หรือไม่" เขาถามพร้อมกับมัดสายคาดเอวให้เรียบร้อย
"ไม่ขอรับ"
"ไปเถิด ออกไปกินข้าวกัน เจ้าจะได้พักผ่อน พรุ่งนี้เช้าเราค่อยเดินทางกันต่อ"
"ขอรับ"
เสี่ยวหลานออกมาจากห้องอาบน้ำก็เห็นกับข้าววางอยู่บนโต๊ะ จึงดีใจเดินเข้าไปนั่งที่โต๊ะทันที
คนทั้งสองนั่งกินข้าวไปอย่างเงียบๆ ไม่พูดไม่จาเพราะลู่เกอเคยบอกไว้ว่าเวลากินห้ามพูด เสี่ยวหลานก็ทำตามทุกครั้ง
"เสี่ยวหลาน เจ้าขี่ม้าเป็นหรือไม่" ลู่เกอถามขึ้นหลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว
"เป็นขอรับ" เขาจำได้ว่าเคยขี่ม้าหนหนึ่ง
"อืม เอาไว้พรุ่งนี้ข้าค่อยซื้อม้าให้เจ้าอีกตัว"
"ขี่ม้า ไม่บิน"
"หนทางจากนี้ขี่ม้าไปจะสะดวกกว่า"
"เสี่ยวหลาน บิน"
"ไว้ถึงสำนักกระเรียนทองแล้ว ข้าค่อยสอนวิชาตัวเบาให้เจ้าดีหรือไม่"
"ไม่เบา บิน"
"ข้าไม่ได้บิน ข้าใช้วิชาตัวเบา"
"ตัวเบา คือ บิน"
"ถูกต้อง"
"บิน สอน ลู่เกอ สอน"
"ไว้ถึงสำนักกระเรียนทองก่อน"
"อืม" เสี่ยวหลานชะงักเล็กน้อย "ขอรับ"
"ท่าทางเจ้ายังมีเรื่องที่ต้องเรียนรู้อีกมาก เจ้าอ่านเขียนได้หรือไม่"
เสี่ยวหลานมองไปรอบๆ ห้องแต่ไม่มีตัวอักษร เมื่อมองไปที่ลู่เกอ เห็นพู่หยกสลักอักษร แต่เขาไม่รู้ว่าเป็นอักษรอะไร สุดท้ายจึงได้แต่ส่ายหน้า
"ไม่เป็นไร ไปนอนเถิด ข้าอาบน้ำเสร็จก็จะนอนพักผ่อนเช่นกัน"
"ขอรับ"
เสี่ยวหลานลุกและก้าวไปที่เตียงก่อนล้มตัวลงนอน หากแต่เขากลับนอนไม่หลับ เพราะทั้งวันเขาได้แต่ขี่หลังลู่เกอ เพิ่งจะได้เดินเองช่วงระยะเวลาสั้นๆ ตอนเข้ามาในหมู่บ้านเพียงเท่านั้น อีกทั้งกลิ่นหอมเย้ายวนที่ได้กลิ่นตั้งแต่เข้าหมู่บ้านมา ยังช่วยให้เขากระปรี้กระเปร่าไม่น้อย
เมื่อได้ยินเสียงลู่เกอเดินตรงมา เขาจึงรีบหลับตาลงทันทีเพราะลู่เกอสั่งให้เขาเข้านอน
เหวินลู่ฟงที่อาบน้ำเสร็จ กำลังจะเข้านอน กลับเห็นเสี่ยวหลานนอนหลับตาตัวเกร็งอยู่บนเตียงจึงค่อย ๆ นั่งลง
"เป็นอะไรไปรึ เสี่ยวหลาน"
"ไม่ หลับ" เสี่ยวหลานตอบทั้งที่ยังคงหลับตาแน่น
"เจ้านอนไม่หลับข้าก็ไม่ได้ว่าอันใด มิต้องเกร็ง" เมื่อสิ้นคำพูดเสี่ยวหลานก็ลืมตาโพลงขึ้นทันที
"ลู่เกอ ใจดี"
"แล้วมีใครใจร้ายกับเจ้ารึ? "
เสี่ยวหลานครุ่นคิด "ท่านหมอ เจ็บ ยาขม"
"นั่นอาจจะเป็นวิธีการรักษาเจ้า ใส่ยาบางชนิด เจ้าก็จะเจ็บ ยาที่ดื่มมักมีรสขม และท่านหมอหวังดีกับเจ้าแน่นอน"
เหวินลู่ฟงดับตะเกียงภายในห้อง แล้วล้มตัวลงนอนเคียงข้างเสี่ยวหลาน
"หากเจ้านอนไม่หลับ ข้าก็ไม่บังคับเจ้า ง่วงเมื่อไรก็นอน"
"อืม"
เสี่ยวหลานนอนมองเพดานห้องไปเรื่อย กระทั่งรับรู้ถึงลมหายใจเข้าออกที่ช้าลงและสม่ำเสมอ เขาจึงเอี้ยวตัวไปมอง ใบหน้าลู่เกอช่างงดงามหมดจดนัก แต่ใบหน้าของเขากลับมีสองสี ท่านหมอบอกว่าควรจะปกปิดใบหน้าข้างหนึ่งเพราะมันไม่เหมือนคนอื่น หากแต่เขาไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใด