ไอ้ใบ้ถูกนำตัวเข้ามาในกระโจมของท่านแม่ทัพอีกครั้ง โดยมีรองแม่ทัพนั่งที่เพิ่งเดินทางมาจากเมืองหลวงนั่งอยู่เคียงข้าง ท่าทางของอีกฝ่ายช่างร้อนรนยิ่งนัก ประเดี๋ยวลุกขึ้น ประเดี๋ยวนั่งลง ประเดี๋ยวพลันเดินไปเดินมา
"จินเฉวียน เจ้านั่งลงดื่มชาสักจอกให้ใจเย็นลงก่อนดีหรือไม่"
"เจ้าจะให้ข้าใจเย็นได้อย่างไร ในเมื่อ...ในเมื่อเสี่ยวหลานมีสภาพเช่นนี้!"
ท่านแม่ทัพส่ายหน้าอย่างระอา ไม่ทันไรทหารยามยังหน้ากระโจมพลันร้องรายงานการมาถึงของผู้ที่เขาให้ไปตามตัวมา
"ให้เข้ามา" เดิมรองแม่ทัพหยุนนั้นร้อนใจอยู่ก่อนแล้ว จึงรีบเอ่ยอนุญาตแทนเจ้าของกระโจมทันที
พ่อครัวและหมอประจำค่ายก้าวเข้ามาด้วยสีหน้าหวาดหวั่น จากนั้นทั้งสองจึงคุกเข่าลงเบื้องหน้าท่านแม่ทัพใหญ่ ไอ้ใบ้ที่นั่งอยู่ด้านข้างเห็นเช่นนั้นจึงลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วเดินไปสมทบกับคนทั้งสองพร่อมทั้งคุกเข่าลงอยู่ด้านข้างพ่อครัว
"เสี่ยวหลาน เจ้าทำอะไร!" หยุนจินเฉวียนตกใจไมาน้อยที่เห็นน้องชายของตนกระทำเช่นนั้น จึงเดินเข้าไปฉุดรั้งให้อีกฝ่ายลุกขึ้น พลางลากกลับไปนั่งที่เก้าอี้ข้างกายเขาเช่นเดิม จึงพลันเห็นสายตาของเสี่ยวหลานที่จ้องมองไปยังพ่อครัวอย่างขอความช่วยเหลือ หากแต่คนผู้นั้นเอาแต่ก้มหน้านิ่ง ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นสบตาผู้ใด
'ข้ากระทำสิ่งใดผิดไปหรือ?' ไอ้ใบ้เพียงแต่ขบคิดในใจ
"เจ้าเป็นหัวหน้าพ่อครัวสินะ หยุนหลานไปทำอะไรที่โรงครัวของเจ้า"
สิ้นคำถามของท่านแม่ทัพ ทำให้พ่อครัวประจำค่ายถึงกับสะดุ้งสุดตัว พลางเบิกตากว้างมองไปที่เจ้าใบ้ที่บัดนี้นั่งอยู่เคียงข้างท่านรองแม่ทัพ อีกทั้งยังส่งสายตามาให้เขาราวกับจะร้องไห้ จึงพึมพำเสียงสั่นด้วยความหวาดกลัว "คะ คะ คุณ คุณชายหยุน"
"ตอบ!!" เสียงทรงพลังของท่านแม่ทัพข่มให้พ่อครัวยิ่งกลัวลนลานมากขึ้น
กลิ่นหอมหวานเย้ายวนแผ่กำจายออกมาทำให้ไอ้ใบ้ลุกขึ้นแล้วเดินตามกลิ่นนั้นไปหยุดอยู่ด้านข้างของพ่อครัว ก่อนจะคุกเข่าลงอีกครั้ง
"เสี่ยวหลาน เจ้าทำอะไร"
ครั้งนี้ไอ้ใบ้ไม่ยอมลุกตามแรงดึงรั้งของท่านรองแม่ทัพ แต่กลับเบียงตัวหลบอยุ่ด้านหลังพ่อครัวสร้างความประหลาดใจให้แก่ผู้คนที่อยู่ในกระโจมไม่น้อย
"คะ คุณชายน้อย ได้โปรดอย่าทำเช่นนี้" พ่อครัวที่ได้สติ รีบหันกลับไปห้ามปรามคุณชายน้อยผู้สูงศักดิ์ เมื่อเห้นอีกฝ่ายยังคงจ้องมองมาที่ตนเองนิ่ง จึงโขกศีรษะให้อีกฝ่ายเพื่ออย่างอ้อนวอน
'เหตใดข้าจึงดมกลิ่นหอม ๆ จากตัวท่านไม่ได้' ไอ้ใบ้สงสัยหากแต่ไม่สามารถเอ่ยออกมาเป็นคำพูดได้เฉกเช่นคนทั่วไป
"มีผู้ใดสามารถบอกได้หรือไม่ ว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น!" ท่านแม่ทัพกล่าวเสียงหนักอีกครั้ง มองเห็นสภาพวุ่นวายยังเบื้องหน้า
"ระ เรียนท่านแม่ทัพ" พ่อครัวเอ่ยอย่างตะกุกตะกัก " คะ คุณชายน้อยถูกส่งให้มาทำงานที่โรงครัวเมื่อเดือนก่อน สาเหตุมาจาก...มาจากคุณชายน้อย คุณชายน้อยพูดไม่ได้ขอรับ" หลังตอบคำถามเขาพลันรีบก้มศีรษะลงด้วยความหวาดกลัว
"พูดไม่ได้!!" หยุนจินเฉวียนพลันลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจเป็นอย่างมาก
"ท่านหมอ เป็นเช่นนี้จริงรึ" ท่านแม่ทัพเอ่ยถามหัวหน้าหมอทหารประจำค่ายพลางเหลือบมองสหายสนิทที่บัดนี้ใบหน้าซีดเผือดอย่างเห็นได้ชันคราหนึ่ง
"ขอรับท่านแม่ทัพ เมื่อหลายเดือนก่อน คุณชายหยุนถูกพาตัวกลับมาจากสนามรบ ในตอนนั้นคุณชายบาดเจ็บสาหัส ถูกลูกธนูหลายดอก อีกทั้งมีดอกหนึ่งเป็นธนูเพลิงจึงเป็นเหตุให้เกิดแผลไฟคลอกตั้งแต่ช่วงลำตัวขึ้นไปลามไปถึงใบหน้า"
"เจ้าว่าอย่างไรนะ เสี่ยวหลานมีบาดแผลมากมายถึงเพียงนี้เชียวรึ" หยุนจินเฉวียนกล่าวพลางมองใบหน้าของน้องชายด้วยความเวทนาสงสาร
ไอ้ใบ้ได้กลิ่นหอมกำจายออกมาจากท่านรองแม่ทัพทำให้เขาหันไปมองที่มาของกลิ่นนั้น เป็นเหตุให้กลิ่นหอม ๆ ภายในกระโจมเริ่มหนาแน่นขึ้น เขาจึงสูดหายใจเข้าไปอย่างเคลิบเคลิ้ม
"บาดแผลภายนอกในยามนี้ได้รับการรักษากระทั่งหายสนิทดีแล้ว แต่ยังหลงเหลือรอยแผลเป็นซึ่งเกิดจากไฟคลอกครานั้น และที่ตำคัญ..." ท่านหมอหยุดชะงักคำพูดพลางสูดลมหายใจคราหนึ่งห่อนเอ่ยต่อไปว่า "ดูเหมือนคุณชายน้อยจะได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจ เป็นเหตุให้ในยามนี้ เขาไม่อาจจดจำสิ่งใดได้แม้กระทั่งชื่อแซ่ของตัวเอง และไม่สามารถพูดได้ตั้งแต่นั้นมา"
"แล้วเหตุใดพวกเจ้าถึงไม่ตรวจสอบ ว่าผู้ที่ช่วยกลับมาจากสนามรบผู้นี้คือผู้ใด"
"พวกข้าน้อยไม่สามารถตรวจสอบได้ขอรับ ด้วยไม่พบป้ายประจำตัวของคุณชายน้อย คาดว่าคุณชายคงจะทำหล่นหายในสนามรบ อีกทั้งใบหน้า...กลับกลายเป็นเช่นนั้น ยามไปสอบถามผู้ใด กลับไม่มีผู้ใดจดจำได้ "
"จินเฉวียน เจ้าจะยืนยันได้อย่างไร ว่าคนผู้นี้คือหยุนหลาน"
"ท่านหมอ ตอนที่ท่านรักษาเสี่ยวหลาน ท่านพบแผลเป็นที่ใดหรือไม่" หยุนจินเฉวียนถาม
ท่านหมอครุ่นคิด "อืม...รู้สึกว่า...จะเป็นหลังเท้า...มีปานแดงเล็ก ๆ ค่อนไปทางนิ้วก้อย แต่ไม่มีแผลเป็นใดใดขอรับ"
หยุนจินเฉวียนพยักหน้าให้กับท่านแม่ทัพคราหนึ่ง
"พวกเจ้าออกไปได้แล้ว" ท่านแม่ทัพเอ่ยอนุญาต
เมื่อได้รับอนุญาตให้ออกไป คนทั้งสองจึงลุกขึ้นและถอยหลังออกจากกระโจมไป ไอ้ใบ้เห็นเช่นนั้นพลันทำตามในทันที หากแต่ถอยหลังไปได้เพียงไม่กี่ก้าวกลับถูกทั้งรองแม่ทัพรั้งเอาไว้อีกครั้ง
"ท่านแม่ทัพให้พ่อครัวกับท่านหมอออกไปเท่านั้น ส่วนเจ้าต้องอยู่ก่อน"
ไอ้ใบ้ส่งสัญญาณมือวุ่นวายไปทางโรงครัว เพื่อพยายามบอกกล่าวว่าเขายังมีงานต้องทำในโรงครัวอีกมากมายนัก พ่อครัวที่กำลังจะก้าวพ้นกระโจมเห็นเช่นนั้นจึงรีบเอ่ยปากห้ามห้ามปรามทันที
"คุณชายน้อยขอรับ งานในโรงครัวท่านไม่ต้องทำแล้วขอรับ เดี๋ยวข้าน้อยให้ผู้อื่นมาทำแทนท่าน ท่านโปรดอยู่ที่นี่และเชื่อฟังท่านรองแม่ทัพเถอะขอรับ"
ไอ้ใบ้มองหน้าชายสองคนสลับกันไปมาอยู่ครู่หนึ่ง จึงเข้าใจว่านี่คงเป็นคำสั่งใหม่จากพ่อครัวจึงพยักหน้าแรง ๆ อย่างเชื่อฟัง
'ข้าคงกระทำสิ่งใดให้ท่านไม่พอใจอีกแล้ว ท่านถึงส่งข้าไปทำงานกับผู้อื่น'
ไอ้ใบ้ไม่ได้นึกแปลกใจแต่อย่างใด ด้วยก่อนหน้าที่เขาจะเข้าไปทำงานในโรงครัว เขาเคยอยู่ช่วยงานที่โรงหมอมาก่อน ครานั้นท่านหมอมักเรียนขานเขาเป็นตัวเกะกะ เนื่องเพราะอ่านหนังสือไม่ออก สั่งงานอะไรก็ไม่ได้ความ ท่านหมอเห็นว่าเขาไร้ประโยชน์จึงส่งตัวเขาไปทำงานในโรงครัว
หลังจากภายในกระโจมเหลือกันอยู่เพียงสามคน ไอ้ใบ้จึงถูกดึงให้ไปนั่งยังเก้าอี้ตัวเดิมอีกครั้ง ท่านรองแม่ทัพสนทนากับท่านแม่ทัพราวชั่วยาม[1]กระทั่งตะวันตรงหัว จึงได้พาเขาออกจากกระโจมท่านแม่ทัพ
ไอ้ใบ้ถูกพาตัวมายังกระโจมอีกหลังหนึ่ง ซึ่งมีขนาดเล็กกว่ากระโจมของท่านแม่ทัพ อีกทั้งยังกระโจมนอนของเขาเป็นอย่างมาก
"เสี่ยวหลาน เจ้าพักกับข้าที่นี่ก่อน ไว้ให้เฟิงเจวี้ยนจัดกระโจมให้เจ้าเรียบร้อยค่อยย้ายไปพักที่นั่น"
ไอ้ใบ้ส่ายหน้าและชี้ไปยังทิศทางซึ่งเป็นที่ต้องของกระโจมนอนของเหล่าผู้รับใช้ในโรงครัวพักอยู่ร่วมกัน
"เจ้าจะกลับไปนอนยังกระโจมพักของเจ้าเช่นนั้นหรือ"
ไอ้ใบ้พยักหน้าแรงๆ
"ไม่ได้ ข้าไม่อนุญาต"
ไอ้ใบ้ขมวดคิดวไม่เข้าใจพลางลดมือที่ชี้ลงอย่างยอมจำนน จากนั้นจึงได้ยืนก้มหน้านิ่งอยู่เช่นนั้นเพื่อรอรับคำสั่งต่อไป
"ใครอยู่ข้างนอก เข้ามา" หยุนจินเฉวียนสั่งเสียงดัง พลทหารผู้หนึ่งพลันก้าวเข้ามาประสานมือคารวะ
"ให้คนไปที่กระโจมพักของผู้รับใช้ในโรงครัว สั่งให้ย้ายข้าวของของคุณชายน้อยมาไว้ที่กระโจมของข้าให้หมด แล้วไปแจ้งแก่ท่านแม่ทัพว่าคุณชายน้อยไม่ต้องการกระโจมพัก ต่อไปนี้เขาจะพักกับข้าที่กระโจมนี้"
"ขอรับ" ทหารผู้นั้นรับคำสั่งจากนั้นจึงก้าวถอยหลังเดินออกไปทันที
"เสี่ยวหลาน เจ้ามานั่งนี่" หยุนจินเฉวียนนั่งลงบนตั่งกลางกระโจม จากนั้นจึงตบลงที่นั่งข้างตัสเบา ๆ
ไอ้ใบ้มองสำรวจโดยรอบกระโจมคราหนึ่ง ในกระโจมแห่งนี้มีเพียงเขากับท่านรองแม่ทัพเท่านั้น หาได้มีผู้อื่นอีก อีกทั้งคนผู้นี้ยังเอาแต่เรียกขานเขาว่าเสี่ยวหลานมาตั้งแต่อยู่ในกระโจมของท่านแม่ทัพ
'หรือข้าจะมีนามว่า เสี่ยวหลาน' ไอ้ใบ้ครุ่นคิด แต่ยังมิทันได้คลายความสงสัย ท่านรองแม่ทัพที่ดูจะใจร้อนเป็นอย่างยิ่ง จึงลุกเดินมาลากตัวเขาไปนั่งที่ตั่ง
"เสี่ยวหลาน เจ้าจำข้ามิได้จริง ๆ หรือ" ไอ้ใบ้หรือเสี่ยวหลานพยักหน้าแรง ๆ
"เหตุใดเจ้าถึงไม่เอ่ยวาจา หรือว่าเจ้าเกรงกลัวสิ่งใด"
เสี่ยวหลานส่ายหน้าแรง ๆ เขาไม่ได้กลัวสิ่งใด แต่ที่เขาไม่รู้วิธีการพูดว่าต้องทำเช่นไร อีกทั้งก่อนหน้านี้ ท่านหมอหลาย ๆ ท่านล้วนบอกว่าเขาเป็นใบ้กันทั้งนั้น
เขาอ้าปากออกและนึกถึงเมื่อครั้นที่ถูกชายร่างใหญ่กดลงกับพื้น จากนั้นจึงลองเปล่งเสียง "โอ๊ย..." พลันเกิดเสียงแผ่วเบาไหลผ่านลำคอออกมา
"เสี่ยวหลาน เจ้าเป็นอะไร เจ็บปวดตรงไหน"
เขาส่ายหน้าแรง ๆ ด้วยรอยยิ้ม 'ข้าอยากพูด สอนข้าหน่อย' เนื่องเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาสามารถบังคัยให้ตนเองเปล่งเสียงออกมาได้ จากนั้นเขาจึงอ้าปากและพยายามเปล่งเสียง "โอ๊ย โอ๊ย" ออกมาอย่างดีใจไม่หยุด
หยุนจินเฉวียนเห็นน้องชายของตนมีสีหน้าตื่นเต้นดีใจ จึงเข้าใจในความคิดของอีกฝ่าย และไม่คิดจะห้ามปรามปล่อยให้เสี่ยวหลานเปล่งเสียงเช่นนั้นไปเรื่อย ๆ ด้วยความเอ็นดูพลางรินน้ำชาให้อีกฝ่าย ก่อนเอ่ยถาม
"เจ้าหิวหรือไม่"
เขาส่ายหน้าแรง ๆ ด้วยคิดว่าท่านรองแม่ทัพจะเอ่ยห้ามปรามเขา แต่... 'หา! หิว?' เขาคิดตามคำพูดของอีกฝ่าย 'ใช่ ๆ ข้าหิว' เสี่ยวหลานรีบเปลี่ยนเป็นพยักหน้ารับแรง ๆ อีกทั้งยังยกมือขึ้นลูบท้องตัวเอง 'ตั้งแต่เช้าข้ายังไม่ได้กินอะไรเลย ท่านพ่อครัวคงลืมแบ่งอาหารไว้ให้ข้าเป็นแน่'
"ใครอยู่ข้างนอก"
"ขอรับ รองแม่ทัพหยุน" พลทหารรีบก้าวเข้าประสานมือตรงกลางกระโจม
"ให้คนจัดสำรับเข้ามา"
"ขอรับ"
'นี่ท่านจะให้ข้ากินข้าวแล้วใช่หรือไม่' เสี่ยวหลานดีใจรีบหันซ้ายแลขวา พลันเห็นห่อสัมภาระที่ยังคงวางอยู่บนพื้นยังไม่ถูกจัดเก็บลงหีบ เขาจึงลุกขึ้นพร้อมกับเดินตรงไปที่ห่อผ้านั้นก่อนจะชะงักคราวกับนึกสิ่งใดขึ้นมาได้ จึงยกมือขึ้นสำรวตดู 'ไม่สกปรก' ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น เขากลับไม่มั่นใจจึงเช็ดถูฝ่ามือกับเสื้อของตัวเอง
เสี่ยวหลานคลี่ห่อผ้า ปรากฏว่าด้านในมีอาภรณ์เนื้อดีสองสามชุด เขาจึงนำมันไปจัดเก็บลงหีบผ้าให้อย่างเรียบร้อย
"เสี่ยวหลาน เจ้าทำอะไร" หยุนจินเฉวียนที่เฝ้ามองดูการกระทำของอีกฝ่ายอยู่ห่าง ๆ ได้เดินเข้ามาเอ่ยถามพลางเดินตามเสี่ยวหลานไปรอบ ๆ เห็นเสี่ยวหลานชี้ไปที่อาภรณ์ที่วางไว้ในหีบ
"โอ้! เด็กดี เจ้าช่วยพี่ใหญ่เก็บผ้าอย่างนั้นหรือ"
สัมผัสจากฝ่ามือบนหัวทำให้เสี่ยวหลานเงยหน้ามองท่านรองแม่ทัพที่บัดนี้เรียกขานตนเองว่าพี่ใหญ่ สายตาที่จ้องมองมานั้นให้ความรู้สึกอบอุ่นเอ็นดู จนเขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาก่อนจะพยักหน้าแรง ๆ และหางานอะไรในกระโจมเพื่อทำเป็นอย่างต่อไป
หากแต่กระโจมแห่งนี้กลับสะอาดสะอ้านเรียบร้อย เขาเหลียวซ้ายแลขวาอยู่พักใหญ่ แต่กลับไม่มีอะไรให้เขาทำได้อีกต่อไปแล้ว
"เจ้ามองหาอะไร"
"โอ๊ย โอ๊ย" เขาอยากจะบอกกล่าวอีกฝ่า หากแต่จนใจที่ยามนี้เขาสามารถเปล่งเสียงออกมาได้เพียง โอ๊ย โอ๊ย เท่านั้น
"เจ้าคงหิว รอสักประเดี๋ยวสำรับคงมาถึง"
เสี่ยวหลานพยักหน้าแรง ๆ ก่อนถูกลากมานั่งบนตั่งตามเดิม
"เฮ้อ...พี่ใหญ่ต้องขอโทษเจ้า ที่ดูแลเจ้าไม่ดี นี่ถ้าน้องรองมาเห็นเจ้าในสภาพเยี่ยงนี้ นางคงจะเจ็บปวดไม่น้อย"
ท่านรองแม่ทัพพูดในสิ่งที่เขาไม่ใคร่จะเข้าใจนัก หากแต่สัมผัสจากฝ่ามือหนาที่ปัดปอยผม ทั้งลูบไล้รอยแผลบนใบหน้าอย่างแผ่วเบานั้น กลับทำให้เขามีความรู้ประหลาดก่อเกิดในใจ ซึ่งเขาไม่รู้ว่าความรู้สึกเช่นนี้คือสิ่งใดกันแน่
จากนั้นยังเบื้องนอกกระโจมพลันมีเสียงทหารรายงานว่าพ่อครัวนำสิ่งของของคุณชายน้อยมาส่งให้ เมื่อเขาเห็นพ่อครัวมาถึงก็คุกเข่าลงกลางกระโจม เขาจึงเข้าไปคุกเข่าลงข้าง ๆ ทันทีและเอามือลูบท้องของตัว 'ท่านพ่อครัว ท่านลืมแบ่งอาหารให้ข้าหรือไม่ ข้าหิว'
"คุณชายน้อย ข้ามิได้ลืม เพียงแต่เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นเสียก่อน ทำให้ท่านไม่ได้กลับไปกินข้าวที่โรงครัว" เสี่ยวหลานพยักหน้าแรง ๆ "ท่านรอประเดี๋ยว คนที่โรงครัวกำลังจะยกข้าวมาให้ท่านแล้ว" เขาพยักหน้ารับอีกครั้งแรง ๆ และคุกเข่ารออยู่ข้าง ๆ พ่อครัวอย่างเดิม โดยครานี้ท่านรองแม่ทัพไม่ได้มาดึงตัวเขาออกไปอีก
"เจ้ามีนามว่าอะไร และมีความเป็นมาอย่างไร จึงได้เข้าใจท่าทางของเสี่ยวหลานเช่นนี้" หยุนจินเฉวียนเอ่ยถามอย่างสนใจ
"เรียนท่านรองแม่ทัพ ข้าน้อยมีนามว่าเฉิงตง เคยเป็นพ่อครัวในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งก่อนจะถูกเกณฑ์มาเป็นทหารขอรับ ส่วนเรื่องของคุณชายน้อย ข้าคอยสังเกตและจดจำท่าทางเอาขอรับ"
"นั่นคือข้าวของที่ติดตัวอยู่กับเสี่ยวหลานอย่างนั้นหรือ" หยุนจินเฉวียนชี้ไปที่ห่อผ้าเก่า ๆ ในมือของเฉิงตง
"ขอรับ เดิมทีด้วยที่ไม่ทราบว่าคุณชายน้อยคือผู้ใดเขาจึงไม่มีของใช้ส่วนตัว สิ่งของเหล่านี้ล้วนเป็นของที่พี่น้องในค่ายไม่ใช้แล้ว จึงได้นำมาให้...เอ่อ...คุณชายน้อย...ขอรับ" ปลายประโยคเฉิงตงกล่าวอย่างลังเล
ปัง!
เสียงทุบตั่งดังขึ้น พร้อมกับกลิ่นหอมเย้ายวนที่แผ่กำจายออกมา เสี่ยวหลานหันไปทางท่านรองแม่ทัพ อยากจะเข้าไปใกล้หมายจะดอมดมสูดกลิ่น
เฉิงตงก้มตัวคำนับลงบนพื้น ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตาท่านรองแม่ทัพแม้แต่น้อย
"เอาล่ะ ๆ เจ้าลุกขึ้น แล้วเล่าเรื่องของเสี่ยวหลานในช่วงที่ผ่านมาให้ข้าฟังสิ"
กลิ่นหอมเย้ายวนค่อย ๆ จางหายไป เมื่อเฉิงตงบอกเล่าในสิ่งที่เขาไม่เข้าใจให้กับท่านรองแม่ทัพได้รับรู้ หากแต่ถูกขัดจังหวะด้วยสำรับอาหาร ท่านรองแม่ทัพจึงให้เขาได้กินอาหารที่ถูกยกมามากมาย กับข้าวสามสี่อย่าง มีทั้งเนื้อ ที่นาน ๆ เขาจะมีโอกาสได้กินสักชิ้น ไหนจะขนม และน้ำชาร้อน ๆ
เสี่ยวหลานจดจ่ออยู่กับสำรับอาหารเบื้องหน้า โดยมิได้ใส่ใจฟังเรื่องราวที่เฉิงตงบอกเล่าให้ท่านรองแม่ทัพได้รับฟังแม้แต่น้อย เขาเอาแต่กินอาหารตรงหน้าอย่างเอร็ดอร่อย
'ท่านพ่อครัวกับรองแม่ทัพ หากมีสองคนนี้อยู่ด้วยกัน ข้าจะได้กินของดี ๆ มาก ๆ'
[1] 1 ชั่วยาม = 2 ชั่วโมง