"ช่วยด้วยยยย ม่ายยยยยย หยุดดดด กรี้ดดด"
"จะตะโกนทำไมเนี่ย"
"นายก็หยุดลากฉันไปมาสิย้าาา"
"ฉันไม่ได้อยากลากไปมาซะหน่อย แล้วเธอตามมาทำไมเนี่ย"
"ก็แขนของฉันมันอยู่ติดกับตัวนายไม่ใช่เรอะ"
บทสนทนาประหลาดนี้เกิดขึ้นได้เพราะเจ้าของเสียงรายหนึ่งคือร่างขนาดเล็กที่มองไปก็ใกล้เคียงกับร่างของเด็ก ส่วนอีกรายคือหญิงสาวที่มือซ้ายจมหายลงไปในแผ่นหลังของคนแรก
หญิงสาวกำลังกรีดร้องเพราะความหวาดกลัว ส่วนเจ้าสิ่งที่ติดอยู่ที่มือของเธอเชื่อมต่ออยู่คือตุ๊กตาหุ่นมือที่รูปร่างเหมือนหุ่นกระบอกตัวเท่าเด็กคนหนึ่ง แต่มันไม่ใช่ตุ๊กตาธรรมดาที่เห็นได้ทั่วไป เจ้าสิ่งนี้คืออาวุธเพียงหนึ่งเดียวของหญิงสาว
"เลิกพิรี้พิไรได้แล้ว อยู่ในโลกแบบนี้ถ้าไม่สู้แล้วจะเอาตัวรอดได้ยังไง" หุ่นมือไม่ใช่แค่เพียงพูดได้ มันยกโล่ถังไม้ขึ้นกันมอนสเตอร์หมาป่าที่พุ่งเข้ามาหาทั้งคู่ ส่วนอีกมือก็กระหน่ำตีด้วยดาบไม้ที่สภาพไม่ได้ดีไปกว่ากัน
"ไม่เคยเห็นเรื่องแนวสโลว์ไลฟ์เหรอยะ ไม่ใช่ทุกคนที่มาต่างโลกจะต้องมาสู้เสี่ยงชีวิตซะหน่อย" หญิงสาวพูดด้วยความรู้สึกทั้งโกรธทั้งกลัวในเวลาเดียวกัน
ไม่นานนักหลังจากนั้น หญิงสาวรู้สึกสงบใจลงเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเจ้าหุ่นในมือสามารถรับมือกับมอนสเตอร์ตัวนั้นได้ดีกว่าที่คาด มันใช้โล่ดันพร้อมกับฟาดอีกฝ่ายจนต้องผละถอยไป
"ตอนนี้แหละรีบเผ่นเถอะ เอ๊ะ ไม่นะ อย่าดึงสิ ม่ายยย กรี้ดดดดด"
[ลูกหมาป่าบอมบอม Lv. 1 ถูกกำจัด]
"หา นั่นลูกเหรอ"
[แมรีได้รับค่าประสบการณ์ 5 หน่วย]
[บานิชิโล (ชิโล)ได้รับค่าประสบการณ์ 5 หน่วย]
[ค่าประสบการณ์ถึงถึงเกณฑ์ บานิชิโลเลเวลอัพ!] (ดูรายละเอียดเพิ่มเติม)
"เดี๋ยวสิยะ ทำไมนายถึงได้ค่าประสบการณ์ด้วย แถมยังเลเวลอัพก่อนฉันอีก"
เรื่องราวของ 'แมรี' หรือในชื่อเต็มคือ 'แมรี ลิตเติลฟิลด์' เริ่มขึ้นก่อนที่เธอจะเดินทางสู่ต่างโลก
แมรีเกิดและเติบโตขึ้นในเมืองชนบทของประเทศแห่งหนึ่ง ไม่ได้สุขสบายราวกับลูกคุณหนูแต่ก็ห่างไกลจากความยากลำบาก ญาติใกล้ชิดของเธอมีเพียงแค่คุณยายแต่แมรีไม่เคยรู้สึกว่าชีวิตของตนเองขาดอะไรไป ในช่วงวัยเด็กแมรีไม่เคยเอ่ยปากถามด้วยซ้ำว่าพ่อและแม่ของเธอไปไหน สำหรับเธอแค่ยังมีคุณยายอยู่มันก็เกินพอ
จนเมื่ออายุถึงช่วงวัยรุ่น คุณยายของเธอเริ่มล้มป่วย แมรีต้องขาดเรียนบ่อยครั้งเพื่อคอยดูแลคุณยายของเธอ เธอเชื่อมาเสมอว่าทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดี แมรีภาวนาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันว่าอาการของคุณยายจะดีขึ้นในไม่ช้าก็เร็ว แต่เรื่องนั้นไม่เคยเกิดขึ้น
ในวันจบการศึกษาของเธอ ไม่มีงานเฉลิมฉลองใด ๆ งานเดียวที่แมรีมีคืองานศพของคุณยายผู้เป็นที่รัก หญิงสาวหัวใจสลาย เธอรู้สึกสิ้นหวังราวกับถูกผลักลงสู่ก้นเหว คนที่เธอรักและผูกพันเพียงหนึ่งเดียวในโลกจากไปโดยไม่เปิดโอกาสให้เธอได้เตรียมใจเสียด้วยซ้ำ
สิ่งที่แมรีตกใจกว่านั้นคือเธอมีญาติเหลืออยู่… แต่ไม่ใช่พ่อแม่ที่เสียชีวิตไปด้วยอุบัติเหตุตั้งแต่ยังจำความไม่ได้ ผู้ใหญ่สองคนที่เข้ามาในชีวิตเธอในตอนนั้นคือคุณน้า… ลูกชายของคุณยายหรือน้องชายของแม่ และภรรยาของเขา
ลูกชายกับสะใภ้ที่ไม่เคยมาเยี่ยมเยือนแม้แต่ครั้งเดียวตลอดเวลาที่คุณยายป่วยได้เข้ามาเจ้ากี้เจ้าการในงานศพ สำหรับแมรีทั้งคู่ไม่ได้ช่วยให้งานผ่านไปง่ายขึ้น แต่ยิ่งวุ่นวายกว่าเดิม
"โลงศพไม่ต้องเอาแบบแพงที่สุดก็ได้" น้าชายบอกกับแมรี
"แค่คุณยายท่านเคยบอกเอาไว้ว่า…"
"คนก็ตายไปแล้ว โลงจะสวยแค่ไหนก็ไม่รู้หรอก" สะใภ้เองก็เห็นดีเห็นงามกับสามี เธอขอให้แมรีเปลี่ยนแปลงหลายต่อหลายเรื่องที่เกี่ยวข้องกับงานโดยเห็นชัดว่าทำไปเพื่อความประหยัด
แมรีไม่ได้เถียงอะไรมาก เพราะคำสั่งเสียบางเรื่องเป็นสิ่งที่คุณยายบอกกับเธอด้วยปากเปล่า เธอเองคงไม่คิดเหมือนกันว่าลูกชายที่หายตัวไปนานจะกลับมาพร้อมกับเข้ามาแทรกแซง
แมรีอดทนไม่ปริปากใด ๆ เธอเชื่อว่าหลังจากงานศพ ญาติที่เธอไม่ได้มีความผูกพันธ์สักนิดจะหมดธุระกับตัวเธอ แมรีเองก็ไม่ใช่เด็กน้อยแล้ว ปีนี้เธอเพิ่งเรียนจบการศึกษาภาคบังคับและถ้าไม่เลือกงานนักเธอน่าจะหาเลี้ยงตัวเองได้
เธอไม่รู้ตัวว่าสิ่งที่รออยู่คือความสิ้นหวัง แมรีเพิ่งรู้ว่าคุณยายได้ทิ้งพินัยกรรมเอาไว้กับทนาย
เธอร้องไห้ไม่หยุดเมื่อได้รู้ว่าพินัยกรรมเขียนอะไรเอาไว้ แมรีเข้าใจว่าตนเองเป็นแค่หลาน บางทีคุณยายอาจจะเหลือสมบัติไว้ให้เธอไม่มาก แต่อย่างน้อย… บ้านเก่า ๆ หลังนี้ที่ ๆ เธอเกิดและเติบโตขึ้นมา
มันไม่ได้ใหญ่โตและมีราคาค่างวดอะไรนัก แต่สำหรับแมรีบ้านหลังนี้คือทุกอย่างของเธอ และคุณยายผู้เลี้ยงดูเธอมาย่อมต้องรู้ว่าเธอรักมันมากแค่ไหน
"อ้าววว ยายแก่… เอ้ย คุณแม่ยกบ้านให้ผมด้วยเหรอครับ" ลูกชายถามย้ำกับทนาย เขาเองก็ไม่คิดว่าจะได้บ้านด้วย
"ก็ดีนะ แต่บ้านแบบนี้จะขายได้แค่ไหนกันเชียว" อาสะใภ้ไม่ได้สนใจว่าหลานสาวนั่งน้ำตาซึมอยู่ข้าง ๆ
"หนูจะขอซื้อคืนได้ไหมนะ" แมรีถามด้วยเสียงเครือ
"ฉันไม่ได้จะใจร้ายหรอกนะ แต่เธอไม่ได้อะไรเลยนอกจากตุ๊กตานั่นไม่เหรอ จะเอาเงินที่ไหนมาซื้อคืน"
"หนู…" แมรีพูดไม่ออก มันเป็นจริงตามนั้น คุณยายเธอไม่เหลืออะไรไว้ให้เลยนอกจากกล่องไม้เก่า ๆ ที่เก็บตุ๊กตาหุ่นมือเอาไว้
"มันเป็นของมีราคาเหรอ" สะใภ้กระซิบถามกับทนาย
"ผมไม่มีความรู้เรื่องของเก่าครับ แต่คุณนายบอกว่ามันเป็นแค่ของที่เธอรักและมีความหลัง ไม่ใช่งานศิลปะมีชื่อหรือของมีราคาค่างวดอะไร" ทนายตอบตามที่เขารับรู้มา
"แย่หน่อยนะ คุณแม่คงไม่ค่อยชอบขี้หน้าเธอเท่าไหร่ ขนาดเลี้ยงมากับมือแท้ ๆ ยังทิ้งไว้ให้แค่ตุ๊กตาสับปะรังเค"
คำพูดนั้นทำให้น้ำตาที่พยายามกลั้นเอาไว้ทะลักออกมาราวกับเขื่อนแตก
แมรีจำไม่ได้ว่าเธอร้องไห้แค่ไหน แต่มันคือการร้องไห้นานที่สุดเท่าที่เธอจำได้ เรื่องอนาคตที่มืดมนไม่มีแม้แต่ที่ซุกหัวนอนในวันพรุ่งนี้ ยังไม่ใช่เรื่องที่แมรีกังวลใจมากที่สุด สิ่งที่เธอเสียใจกว่านั้นคือคุณยาย คนเพียงคนเดียวในโลกนี้ที่สำคัญกับเธออาจจะไม่ได้รักเธอเหมือนที่เชื่อมาตลอด
"ยายแก่คงโกรธ ที่พี่ฉันกับพี่สามีมาด่วนตายไปแล้วดันเหลือภาระทิ้งไว้ให้นั่นแหละ เธอเองก็อย่าว่าฉันใจร้ายเลยนะ ฉันให้เธอเวลาเก็บข้าวของ ยังไงก็รีบย้ายไปก่อนที่ฉันจะขายบ้านได้ก็แล้วกัน" เขาพูดทิ้งท้ายไว้พร้อมกับเสียงหัวเราะ
แมรีหลับฝันไปในคืนนั้น มันเกี่ยวกับนิทานที่คุณยายเคยเล่าให้ฟังในสมัยเด็ก เรื่องราวกับเด็กสาวที่เดินทางไปต่างโลกและได้เป็นเพื่อนกับตุ๊กตา ทั้งผจญภัยไปทั่วดินแดน จากเหนือจรดใต้ จากตะวันออกสู่ตะวันตก เผชิญหน้ากับอุปสรรคนานัปการ ช่วยเหลือผู้คน แก้ปริศนา จนในที่สุดก็หาทางกลับบ้านได้สำเร็จ
มันคือตุ๊กตาตัวนั้นนั่นเองบานิชิโล หรือที่คุณยายตั้งชื่อเล่นให้ว่าชิโล…
เป็นความฝันที่ทั้งชวนคิดถึงทั้งน่าเศร้า ความอบอุ่นของเรื่องราวในอดีตยิ่งทำให้แมรีรู้สึกสับสน เธอจำได้ว่าคุณยายมีความสุขแค่ไหนตอนที่ได้เล่านิทานเรื่องนี้ให้เธอ และตุ๊กตาตัวนี้ก็น่าจะเป็นของที่เธอรักมาก
แต่ว่ามันเป็นแบบนั้นจริงเหรอ… แมรีเริ่มตั้งคำถามกับความทรงจำวัยเด็กของตนเอง
แมรีไม่มีจุดมุ่งหมายอย่างชัดเจน เธอเดินใจลอยไปบนถนนราวกับร่างที่ไร้วิญญาณ เธอไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำตอนที่แสงจากรถบัสสาดเข้าใส่ใบหน้า
โครม
รสบัสคันสีเหลืองพยายามหักหลบอย่างเต็มที่ แต่แม้จะพลิกคว่ำไปแล้วความแรงของมันยังไม่หมดลง รถไถลมาตามพื้นถนนที่มีแมรียืนอยู่
ไม่มีความเจ็บปวดสักนิด หรือไม่เธอก็อาจลืมช่วงเวลานั้นไปแล้ว แมรีรู้สึกตัวอีกครั้งในโลกที่ทิวทัศน์ไม่เหมือนเดิม รูปร่างและสีสันของต้นไม้ เหล่ามนุษย์และอมนุษย์ที่เดินขวักไขว้อยู่ในเมืองที่เหมือนโลกแฟนตาซี แมรีรู้ได้ในทันทีว่าเธอไม่ได้อยู่ในโลกเดิมแล้ว
...เหมือนเรื่องเล่าของคุณยายเลย…
แมรียังคงตื่นตกใจกับสถานการณ์ เธอคิดว่ามันคือความฝันและพยายามจะฝืนบังคับให้ตื่นขึ้น แต่มันไม่สำเร็จ
"ทำอะไรของเจ้าน่ะ"
แมรีเพิ่งสังเกตว่าข้าง ๆ เธอมีใครคนหนึ่งอยู่ด้วย แต่เอ๊ะ นั่นไม่ใช่คนนี่นา เขาคือบานิชิโลที่กำลังหันหลังให้เธออยู่
"ฝันไปสินะ ฝันไป" แมรีหลับตาปี๋พยายามไม่สนใจเสียงของอีกฝ่าย รวมถึงความจริงที่ว่ามือข้างซ้ายของเธอกำลังอยู่ในตัวหุ่น
"ข้ากำลังพูดกับเจ้าอยู่นะ" หุ่นเชิดมือไม่เพียงแค่พูดเอง มันยังพยายามเขย่าแมรีที่กำลังหนีความจริงอยู่
"ไม่มี ไม่มี ไม่มี ฉันกำลังฝันไป"
"เปิดหน้าต่างสเตตัส"
"ทำอะไรน่ะ"
"โห… สเตตัสแค่นี้เองเหรอ อ่อนชะมัดเลย
"หืมมม" คำพูดของชิโลทำให้แมรีสะกิดใจ เธอแอบชำเลืองมองและพบว่าเจ้าตุ๊กตากำลังสนใจกับบางสิ่งที่ลอยอยู่กลางอากาศ
[ชื่อ: แมรี ลิตเติลฟิลด์]
[เผ่าพันธ์: มนุษย์] [อาชีพ: พัพเพ็ตเทียร์ Lv. 1]
[สกิล: กำลัง Lv. 2, ความเร็ว Lv. 2, ทนทาน Lv. 3, สติปัญญา Lv. 2, งานฝีมือ Lv.1]
"นี่มันเหมือนเกมเลยนี่ ว่าแต่นี่มันสเตตัสของฉันเหรอ"
"ต่ำเตี้ยเรี่ยดินเลยเนอะ ใช้ชีวิตมายังไงถึงตอนนี้ถึงได้มีสกิลแค่นี้เนี่ย"
"ไม่ต้องมาวิจารณ์เลย ว่าแต่ทำไมนายถึงได้ซี้ซั้วมาเปิดดูสเตตัสคนอื่นได้เนี่ย"
"โดยทฤษฏีแล้ว ข้าขยับได้เพราะเจ้ายังไง เราคือคน ๆ เดียวกันนั่นแหละ"
"ชักจะรู้สึกเวียนหัวขึ้นมาแล้วสิ" แมรีกุมขมับ
"อย่าใช้สมองเยอะจะดีกว่า เจ้ามีสติปัญญาแค่ Lv. 2 เองนะ"
แมรีทำเป็นไม่ได้ยิน เธอสำรวจหน้าต่างสเตตัสอย่างละเอียด เธอไม่ใช่คนที่เล่นเกม อ่านการ์ตูน หรือนิยาย แต่ก็เคยอ่านผ่านตาเรื่องแบบนี้มาบ้าง อย่างน้อยเธอก็รู้ว่าสกิลคืออะไร
"ไม่มีค่าสเตตัส" เธอพูดกับตัวเอง
แมรีพยายามไม่ใส่ใจตุ๊กตาหุ่นมือที่คอยพูดกวนสมาธิ เธอพยายามสนใจสภาพแวดล้อมรอบ ๆ ตัวเธอแทน เมืองประหลาดแห่งนี้ผู้คนมากมายหลากหลายสายพันธุ์ พวกที่ดูเป็นมนุษย์ไม่แตกต่างจากเธอก็มีอยู่ไม่น้อย ในขณะที่พวกที่มีรูปร่างหลุดโลกก็มีให้เห็นได้อย่างเนือง ๆ
มนุษย์กิ้งก่ากำลังเปิดร้านขายเนื้ออะไรก็ไม่รู้ย่างเสียบไม้อยู่ข้างทาง เอลฟ์กำลังยืนต่อราคาเครื่องประดับในร้าน ออร์คสองคนกำลังแข่งดวลเหล้าโดยมีกองเชียร์ทั้งครึ่งคนครึ่งม้า มนุษย์นก และมนุษย์ที่มีหัวเป็นปลา
...ไม่ต้องสงสัยเลย ที่นี่ไม่มีทางเป็นโลกมนุษย์…
...นี่เราตายแล้วถูกส่งมาโลกอื่น… แม้จะอยากปฏิเสธที่ภาพที่กำลังตำตาทำให้แมรีต้องยอมรับ
แมรีพบว่าเธอเข้าใจภาษาของโลกนี้ อาจจะไม่ใช่ทุกภาษาที่พวกเขาพูดกัน แต่ภาษาที่คนในโลกนี้เรียกว่าภาษาเผ่ามนุษย์ เธอสามารถเข้าใจมันได้เป็นส่วนใหญ่ แมรีไม่รู้ว่ามันมีเหตุผลมาจากอะไร ตัวสกิลของเธอก็ไม่มีส่วนนี้ บางทีมันอาจจะเป็นแค่กฎของโลกนี้ก็ได้
"เอาล่ะ พอจะเข้าใจทุกอย่างคร่าว ๆ แล้ว ก่อนอื่นก็ต้องทำอะไรสักอย่างกับชุดที่สะดุดตานี่" แมรีเหลือบมองชุดตัวเอง มันคือชุดตัวเก่งที่เธอใส่ในวันก่อนที่จะมาโลกนี้
"ไม่ใช่แล้ว สิ่งแรกที่ควรทำคือหาทางเอาชีวิตรอดในโลกนี้ต่างหาก" ชิโลแย้ง
"นั่นก็ใช่ แล้วก็ต้องหาทางเปลี่ยนอาชีพด้วย"
"อะไรนะ เปลี่ยนอาชีพ?"
"ฉันไม่ได้โง่นะ ต่างโลกแบบนี้อาชีพต้องสำคัญแน่นอน ก่อนอื่นก็ต้องหาทางเปลี่ยนจากพัพเพ็ตเทียร์อะไรนี่เป็นอาชีพที่มีประโยชน์ก่อนสิ"
"อย่าทำอะไรไม่เข้าท่าน่า ถึงเปลี่ยนอาชีพได้จริงข้าคงกลายเป็นตุ๊กตาธรรมดา ๆ ที่เคลื่อนไหวไม่ได้ ถ้าไม่มีข้าแล้วเจ้าจะเอาตัวรอดยังไง"
"แล้วนายทำอะไรได้บ้าง"
"ข้าน่ะสู้ได้… คิดว่านะ ดูสิข้ามีดาบกับโล่ด้วย"
"ดาบไม้โง่ ๆ กับโล่ที่เหมือนกับฝาถังสักอย่างเนี่ยนะ" แมรีถอนหายใจยาว
"เอาน่า… อย่าไปกลัวสิ"
แมรีอยากเชื่อแบบนั้น เธอเคยได้ยินเพื่อนที่ชอบอ่านเรื่องแนวต่างโลกเล่าให้ฟังมาเล็กน้อย เรื่องทำนองนี้ตัวเอกมักจะมาพร้อมกับสกิลโกงสุดยอด ไม่ต้องพยายามอะไรมากมายก็สามารถเก่งได้ บางทีตัวเธอเองก็อาจจะเป็นเหมือนกัน หรือว่าจริง ๆ แล้วไอ้อาชีพที่เธอเป็นอยู่มันอาจจะดีกว่าที่คิดก็ได้
การมาติดอยู่ต่างโลกเป็นเรื่องน่ากังวลใจแต่แมรีไม่ได้รู้สึกสิ้นหวังอย่างที่ควรเป็น เธอเดาว่าความรู้สึกนี้เกิดขึ้นเพราะเธอเคยรู้สึกสิ้นหวังยิ่งกว่านี้มาก่อน บางทีโลกใหม่นี้อาจจะกลายเป็นบ้านใหม่ที่ดีกว่าเดิมก็ได้