ทั้งที่เคยคิดว่าจะหนีไปให้ไกลจากเขตของเคลมเดีย แต่สุดท้ายการวิ่งวนหนีอย่างไม่มีการวางแผนหรือไม่ก็เพราะเคลมเดียเป็นอาณาจักรที่ใหญ่จนเกินไป มันทำให้แมรีเฉียดเข้าใกล้กับพรมแดนของแคลมเดียโดยไม่รู้ตัว
"เฮ้ย นี่มันชายแดนของเคลมเดียไม่ใช่เหรอ เราไม่ควรมาทางนี้นี่นา"
"ก็เจ้าเอาแต่วนไปวนมาน่ะสิ อีกอย่างข้าก็บอกแล้วว่าให้ขึ้นเรือหนีไปอยู่เกาะ เจ้าเองไม่ใช่เหรอที่บอกว่ากลัวเมาคลื่น"
"นี่ชิโล อย่าพูดกับแมรีแบบนั้นสิ เธอเป็นเจ้านายของเรานะยะ" กัลเฉ่งใส่
"พวกพี่ ๆ สองคนอย่าเสียงดังได้ไหม นั่นไงล่ะ ทหารเคลมเดียวิ่งมานู่นแล้ว" หุ่นมือหน้าใหม่ชี้ไปยังทหารกลุ่มใหญ่ที่วิ่งตรงเข้ามา
"ม่ายยยยย" แมรีกรีดร้องแต่ไม่ใช่เพราะกลัวพวกทหารแต่เพราะว่าตั้งแต่เมื่อวานเธอถูกพวกทหารกวนจนไม่ได้นอนสักงีบ
แมรีไม่ได้คิดจะสู้ แต่ผลลัพธ์คือทหารเคลมเดียจำนวนมากถูกเธอเล่นงานจนหมดสภาพ อีกฝ่ายกัดไม่ยอมปล่อยและส่งกำลังเสริมมาหนุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อยุติการต่อสู้แมรีตัดสินใจบุกป้อมปราการที่อยู่ใกล้ที่สุด เธอจัดการกับหัวหน้าป้อมปราการ ปล่อยทาสที่พวกเขาจับมาจากชนเผ่าเร่รอน และยึดเขตเล็ก ๆ นั้นไว้อย่างงง ๆ
"ได้ยินข่าวของท่านแมรีรึยัง" ชาวบ้านรายหนึ่งพูด
"ใครจะไม่รู้วีรกรรมแบบนั้น บุกเข้าตีป้อมบานอสซาของเคลมเดียด้วยตัวคนเดียว จากนั้นก็ปล่อยตัวทาสและยึดเมืองเอาไว้"
"ที่สำคัญคือไม่ได้ทำเพื่อตัวเองด้วยนะ ท่านผู้นั้นติดต่ออาณาจักรเรามาว่าพร้อมจะคืนบานอสซาให้ทางเราที่เป็นเจ้าของเดิมด้วย"
"ท่านเป็นพระผู้มาโปรดพวกเราแท้ ๆ เคลมเดียเป็นศัตรูกับท่านผู้นั้นคงใกล้ถึงคราวล่มสลายแล้ว"
ข่าวลือนั้นเกินจริงไปมาก แมรีอาจจะบุกเข้าไปจริง เธอ ชิโล กัลและบรรดาหุ่นมือเป็นคนที่จัดการทหารส่วนใหญ่ของบานอสซา แต่ผู้ที่ยึดเมืองไว้ไม่ใช่เธอ ความจริงคือมีกลุ่มหัวรุนแรงของอาณาจักรข้างเคียงจ้องโจมตีบานอสซาอยู่นานแล้ว แมรีแค่ช่วยให้งานของพวกเขาง่ายขึ้น
มันเป็นประโยชน์สำหรับแมรีเช่นกัน เธอปล่อยให้พวกเขาจัดการทุกอย่างแทน อย่างน้อยตอนนี้บานอสซาก็กลายเป็นเมืองแห่งเดียวในโลกที่ไม่มีทหารเคลมเดียมาก่อกวนเธอได้
ข่าวเกี่ยวกับบานอสซา เมืองเล็ก ๆ เมืองเดียวที่กล้าลุกขึ้นสู้กับอาณาจักรยักษ์ใหญ่ทำให้กระแสต่อต้านเคลมเดียรุนแรงขึ้น หลายประเทศที่เคยถูกกดขี่เริ่มรวมตัวกันและโต้กลับ พวกที่แข็งข้อโดยตรงได้เริ่มรวบรวมกำลังทหารเพื่อมากดดัน พวกที่ไม่สามารถสู้ได้โดยตรงก็ใช้วิธีการโจมตีเคลมเดียทางด้านเศรษฐกิจ
เคลมเดียอาจจะยิ่งใหญ่จนกินพื้นที่ส่วนใหญ่ของโลกเอาไว้ แต่พวกเขากำลังถูกโดดเดี่ยวจากประเทศอื่น
การสูญเสียความยำเกรง สูญเสียทหารจำนวนมาก ถูกโจมตีทางด้านเศรษฐกิจในหลายทาง เกิดภัยพิบัติเพราะเขื่อนทุกแห่งถูกแมรีบุกทำลายจนไม่เหลือ มันทำให้ประเทศมหาอำนาจสามารถตกต่ำลงได้ในระยะเวลาสั้น ๆ
แต่แมรีไม่หยุดอยู่แค่นั้น เธอรู้ว่าถ้ามีโอกาส เคลมเดียจะกลับมาฟื้นตัวและทำเรื่องแบบเดิมอีก แมรีตัดสินใจถอดเขี้ยวเล็บของประเทศนี้ อย่างน้อยที่สุดก็จนกว่าจะถึงจุดที่เธอรู้สึกว่าพวกเขาไม่สามารถเป็นภัยให้กับใครได้อีก
สี่ปีต่อมา…
แมรีได้มาถึงเซนต์มาเรียเมืองหลวงของเคลมเดียที่บัดนี้สภาพแตกต่างจากที่เธอเคยจินตนาการเอาไว้ มันทรุดโทรม เงียบเหงา และเต็มไปด้วยอากาศเสียที่ไม่สามารถหายใจเข้าไปได้เต็มปอด
ใครจะไปคิดว่าเมื่อสี่ปีก่อน ที่นี่คือสถานที่ที่เคยงดงามที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เมืองหลวงที่เคยยิ่งใหญ่ สวยงามตระการตา บัดนี้ภาพเหล่านี้ไม่หลงเหลือให้เห็นเลยสักนิด
แมรีรู้สึกผิดกับผู้คนที่นี่ มีคนมากมายที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเหตุใดเมืองที่เคยเป็นดั่งแดนสวรรค์จะกลายเป็นเหมือนขุมนรกบนดินทั้งที่เวลาผ่านไปแค่ไม่นานนัก
...แต่มันช่วยไม่ได้ไม่ใช่เหรอ เคลมเดียเองก็เคยทำแบบนี้กับบ้านอื่นเมืองอื่น มีหลายประเทศต้องพังทลายเพราะความกระหายอำนาจของผู้นำที่นี่ มีผู้คนมากมายที่ต้องทุกข์ทรมาณอยู่บนความสุขสบายของอาณาจักแห่งนี้…
...ทั้งที่เข้าใจในเรื่องนั้น แต่แมรีก็ไม่สามารถขจัดความโศกเศร้านี้ออกไปได้…
…การที่ตัวเราถูกส่งมาที่โลกนี้ มันมีความหมายจริง ๆ นะเหรอ…
แมรีเดินใจลอยไปเรื่อยในเมืองใหญ่ เธอไม่ได้กังวลกับทหารเคลมเดียที่เพิ่งเดินสวนกันไป พวกเขาจำเธอได้แต่แทนที่จะวิ่งเข้ามาเอาเรื่องเหมือนก่อนหน้านี้ พวกเขาเพียงแค่มองแล้วเลยผ่านไป
อาณาจักรแห่งนี้ไม่ใช่ศัตรูกับเธออีกแล้ว อย่างน้อยก็ตราบเท่าที่พวกเขายังจำเป็นต้องทำตามสัญญาที่ถูกบังคับให้เซ็นในฐานะผู้แพ้สงคราม
"นี่ แมรีดูนั่นสิ" ชิโลปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่าและชี้ไปที่อนุเสารีย์ที่อยู่ไม่ห่างออกไป
"นั่นมัน… อนุเสารีย์ของเทพธิดาสินะ"
แมรีเดินอ้อมจากด้านหลังมาดูด้านหน้าเพื่อให้เห็นชัดเจน เธอแทบหลุดร้องออกมาเมื่อเห็นรูปปั้นอย่างถนัดตา มันคือรูปของหญิงสาวนางหนึ่งข้างกายของเธอมีตุ๊กตาหุ่นมือมากมายหลายตัว และหนึ่งในนั้นคือบานิชิโลนั่นเอง
"ทำไมถึงมีชิโลในนั้นด้วย"
"ไม่ใช่แค่นั้นหรอก ไม่รู้สึกคุ้นหน้าของรูปปั้นนี้เหรอ"
แมรีตกใจตาแทบทะลุออกมานอนเบ้า เธอเพิ่งนึกออกว่าเคยเห็นใบหน้านั่นที่ไหน มันคือคุณยายตอนสาว ๆ นั่นเอง
"เป็นไปไม่ได้"
"โอ้ย" บานิชิโลรู้สึกปวดหัวขึ้นมาอย่างไม่มีที่มา
"จริงด้วย เซนต์มาเรีย… ชื่อของเมืองหลวง ทำไมไม่เฉลียวใจเลย… คุณยายชื่อมาเรียนี่นา"
"อ๊าาาก" อาการปวดหัวของชิโลรุนแรงขึ้นอีกแต่แมรีไม่รับรู้อะไรเพราะเธอกำลังอึ้งกับสิ่งที่ค้นพบ
"แบบนี้นี่เอง เทพธิดาที่เป็นพัพเพ็ตเทียร์… ผู้ที่เคยกอบกู้เคลมเดียในอดีต คือคุณยายของฉันนั่นเอง โอ๊ยย" คราวนี้เป็นแมรีที่รู้สึกปวดหัวบ้าง
มันคือความเจ็บจากข้อมูลจำนวนมากที่ทะลักเข้ามาในหัวในช่วงสั้น ๆ บานิชิโลคือสื่อที่เชื่อมความทรงจำในอดีตกับแมรี เขากำลังปลดปล่อยความทรงจำส่วนที่เคยถูกผนึกเอาไว้
เริ่มจากภาพของหญิงสาวผู้หนึ่งที่บังเอิญมาสู่โลกนี้ มาเรียผู้เป็นคุณยายของแมรีนั่นเอง เธอมาพร้อมกับอาชีพพัพเพ็ตเทียร์เหมือนกับแมรี
ในช่วงแรกมันยากลำบากกว่าที่แมรีเคยเจอ มาเรียไม่มีกระทั่งหุ่นตัวแรก เธอต้องเริ่มทุกอย่างจากศูนย์ แต่โชคดีที่เธอได้รับความช่วยเหลือจากผู้คนในหมู่บ้าน ทุกอย่างจึงผ่านไปได้ดี
แมรีเห็นภาพวันแรกที่มาเรียประกอบบานิชิโลขึ้น จากนั้นทั้งคู่จึงเริ่มการผจญภัยด้วยกัน พวกเขาไม่เพียงแค่สนิทกันแต่ยังกลายเป็นส่วนหนึ่งของหมู่บ้านอีกด้วย
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว มาเรียเข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องมากมาย เธอช่วยเหลือหมู่บ้านแห่งนี้สารพัด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการมอบความรู้จากโลกเดิมให้กับพวกเขา ช่วยให้หมู่บ้านเป็นอิสระจากอำนาจมืด จนในที่สุดมันก็กลายเป็นเมืองเล็ก ๆ ที่ชื่อว่าเคลมเดีย
มาเรียเก่งกาจขึ้นในทุกวัน เธอกลายเป็นทั้งบุคคลสำคัญของโลกนี้และผู้ที่เหมือนเทพธิดามาโปรดสำหรับเคลมเดีย วันหนึ่งเธอได้เรียนรู้เกี่ยวกับเวทมิติจนสามารถเดินทางกลับโลกตนเองได้
ตอนนั้นมาเรียได้พบความลับสองอย่าง หนึ่งคือเธอกลับมาในช่วงเวลาเดิมกับที่เธอจากไป มาเรียไม่ได้เสียเวลานับสิบปีไปกับโลกนั้น นอกจากนี้เธอแทบไม่แก่ขึ้นเลยสักนิด
เธอใช้เวลาอยู่กับโลกสองโลก โลกหนึ่งเธอปล่อยให้ตัวเองแก่ชราไปตามวัย ในขณะที่อีกโลกหนึ่งเธอใช้ชีวิตโดยเฝ้ามองอาณาจักรที่เธอปั้นขึ้นมาเองกับมือ ยุคสมัยเริ่มเปลี่ยนไปทีละนิด จากสิบปีเป็นร้อยปีและกลายเป็นหลายร้อยปี
เคลมเดียในราวห้าร้อยปีให้หลัง ไม่เหมือนกับเคลมเดียที่มาเรียรู้จักอีกต่อไป มันกลายเป็นสถานที่ ๆ เลวร้ายจนมาเรียรู้สึกเจ็บปวดที่ได้เห็น เธอพยายามเข้าแทรกแซงแต่มันไม่ได้ผลอะไรมาก เคลมเดียในตอนนั้นต้องการให้เธอเป็นแค่สัญลักษณ์เท่านั้น
มาเรียอยากหยุดพวกเขา แต่เธอไม่สามารถหักใจทำลายสิ่งที่เธอร่วมสร้างขึ้นมาได้ ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจไม่กลับมาที่โลกนี้อีก
ความทรงจำที่แล่นเข้ามาในหัวจบลงแค่นั้น สิ่งที่เหลืออยู่คือความเจ็บปวดของแมรี
"คุณยายไม่ได้อยากให้ฉันมาที่โลกนี้เพราะรู้ว่าฉันไม่มีสถานที่ของตัวเอง แต่ท่านตั้งใจทำให้ฉันไม่เหลืออะไรเพื่อที่จะต้องมาอยู่ในโลกนี้ ท่านตั้งใจให้ฉันมาที่นี่เพื่อทำลายเคลมเดียที่ท่านทำลายเองไม่ลง"
ชิโลไม่ได้ปฏิเสธ เขาจะแก้ตัวให้คุณยายได้อย่างไร ในเมื่อแมรีได้รับส่วนหนึ่งของความทรงจำที่บอกเล่าทั้งความทรงจำและเจตนารมณ์ไปแล้ว
"โกรธคุณยายรึเปล่า"
"ไม่รู้เหมือนกัน… รู้สึกเสียใจมากกว่าโกรธล่ะมั้ง"
"แต่… มันก็ไม่ได้มีแต่ข่าวร้ายนะ" ชิโลพยายามชี้ให้เห็นข้อดีเล็กน้อย "ตอนที่ได้ความทรงจำมา ข้าได้สกิลสมัยที่ยังอยู่กับคุณยายมาด้วย"
"หมายความว่า นาย… พาฉันกลับโลกได้งั้นเหรอ" น้ำเสียงของแมรีเปลี่ยนไปในทันที
"น่าจะนะ แต่ว่ามันมีความเป็นไปได้ว่าข้าอาจจะมีพลังไม่พอ บางทีมันอาจจะเป็นตั๋วเที่ยวเดียวก็ได้"
"หมายความน่านายจะพัง… ไม่สิตายหลังจากใช้งั้นเหรอ"
"แค่มีโอกาส… แต่เรื่องของข้าไม่ต้องสนใจหรอก เจ้าต่างหากล่ะ ยังอยากกลับไปที่โลกนั้นรึเปล่า"
แมรีหยุดคิดอยู่ครู่ใหญ่ ถ้าเป็นที่โลกนี้เธอจะสามารถมีชีวิตต่อไปได้อย่างไม่ลำบาก เคลมเดียที่เคยเป็นปัญหาเดียวก็ไม่ได้เป็นปัญหาอีกแล้ว
ตรงกันข้าม ชีวิตในอีกโลกอาจจะเหมือนกับนรกสำหรับเธอ แมรีต้องกลับไปอยู่คนเดียว สิ่งเดียวที่มีติดตัวคือความรู้ เธอต้องเริ่มใหม่ทุกอย่างตั้งแต่ต้น
"กลับ" แมรีพยักหน้า "โลกนี้อาจจะสุขสบายกว่า แต่โลกนั้นคือบ้านที่แท้จริงฉันจะหนีความจริงไม่ได้ ไม่ว่าอะไรจะรออยู่ฉันจะกลับไปสู้กับมัน"
"เข้าใจแล้ว" ชิโลฉีกยิ้ม ราวกับรู้การเตรียมใจนี้กัลและหุ่นตัวน้อง ๆ ทุกตนได้ออกมาจากคลังมิติด้วยความตั้งใจของตนเอง พวกเธออยากบอกลาชิโลเป็นครั้งสุดท้าย
ประตูมิติเปิดออกพร้อมกับร่างที่เสียหายของบานิชิโล แมรีตัดสินใจก้าวข้าวประตูที่เปิดขึ้นอย่างมั่นใจ
เธอตัดสินใจแล้ว ไม่ว่าจะมีอะไรรออยู่ข้างหน้า แมรีก็จะยิ้มรับมันอย่างเข้มแข็ง เธอบอกกับตัวเองว่าพอกันทีกับแมรีที่เคยร้องไห้และหวาดกลัวทุกอย่างแบบที่เธอเคยเป็น
ทันทีที่แสงจากอีกฟากเข้ามากระทบใบหน้า แมรีรู้สึกถึงดินนุ่ม ๆ ที่ฝ่าเท้า กลิ่นของหญ้า สัมผัสถึงสายลม เธอค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมองโลกที่เธอเคยจากมา
"ม่ายยยยยยย" หญิงสาวกรีดร้อง เธอหน้ามืดจนเกือบล้มทั้งยืน โชคดีที่ได้หญิงสาวอีกคนประคองเอาไว้ได้ทัน
"ไม่เป็นอะไรใช่ไหม" หญิงสาวในชุดคล้ายแม่มดสีชมพูสดใสถาม
"ที่นี่ไม่ใช่โลกใช่ไหมคะ"