เลเวลจอมเวทของยูกิโตะมีแค่สิบห้า มอนสเตอร์ที่เขาสามารถจัดการได้โดยใช้เพียงแค่เวทมนตร์ระดับนี้มีอยู่ไม่มาก แต่เขาไม่มีความจำเป็นต้องไปสู้กับศัตรูที่มีระดับเหมาะสม นั่นก็เพราะเขามีพลังในแบบที่จอมเวทคนอื่นไม่มี
ยูกิโตะเลือกมอนสเตอร์สุดแกร่งอย่างมังกรวายุเป็นเป้าหมายแรก เขาหลบการโจมตีทั้งหมดของอีกฝ่ายได้ด้วยความเร็วของนินจา ในขณะที่สร้างความเสียหายให้จนอีกฝ่ายอ่อนแรงและปิดฉากด้วยเวทมนตร์
มันไม่ค่อยได้ผลนัก ระบบของโลกนี้ให้ค่าประสบการณ์ตามสัดส่วนของผลงาน การที่เขาเหลือพลังชีวิตศัตรูไว้ปริ่ม ๆ และปิดเกมด้วยเวทจึงไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก
แต่ต่อให้เป็นค่าประสบการณ์หนึ่งเปอร์เซ็นต์ของมอนเสตอร์ระดับสูง มันก็ยังมากกว่าการไปเสียเวลาสู้กับมอนสเตอร์อ่อนแอ เลเวลในฐานะจอมเวทจึงขยับขึ้นอย่างรวดเร็วแม้จะต่างจากแผนในตอนแรกนัก
เมื่อมีเลเวลมากขึ้น จำนวนครั้งที่สามารถร่ายเวทก็เพิ่มขึ้นด้วย เมื่อมาผสมกับยาฟื้นพลังมานาจำนวนมากที่ยูกิโตะตุนเอาไว้ เขาก็สามารถใช้แผนใหม่ที่คิดขึ้นมาได้ เขาศึกษามอนสเตอร์ชนิดต่าง ๆ และค้นหาศัตรูเลเวลสูงที่อ่อนแอต่อการโจมตีด้วยเวทหรือแพ้ทางธาตุใดธาตุหนึ่งที่เขามี จากนั้นก็ฆ่ามันด้วยการระดมยิงเวทที่ว่าจนกว่าจะตาย
ฟังดูเหมือนง่าย แต่ความจริงแล้วเป็นเรื่องที่จอมเวทคนอื่นทำได้ยากหากปราศจากการประสานงานที่ยอดเยี่ยม แต่ยูกิมีทักษะที่ผสมผสานกันได้ดี ไม่จำเป็นต้องพึ่งใครอีก เขาหลบการโจมตีทุกรูปแบบได้อย่างไม่ยากเย็น มีวิชาที่ช่วยตรึงศัตรูเอาไว้ จากนั้นก็ระดมสาดเวทที่ชนะธาตุใส่อีกฝ่าย
โดยไม่ต้องสนใจว่า MP จะร่อยหรอแค่ไหนด้วย เพราะแค่มังกรวายุที่เขาเพิ่งขายซากไปมันก็ทำให้เขามีเงินมากพอที่จะซื้อยาฟื้นมานาดื่มได้ทั้งปีแล้ว
มานึกดูตอนนี้ ที่ผ่านมาเขาใช้ชีวิตโดยประมาทเหลือเกิน ยูกิโตะจัดการกับมอนสเตอร์ของจอมมารมากมายแต่เขาไม่ได้สนใจนำซากของพวกมันไปขึ้นค่าหัว เรื่องเก็บซากไปขายเองก็นาน ๆ จะทำสักครั้งยามที่รู้สึกว่าเงินขาดมือ ทำไมเขาถึงใช้ชีวิตประมาทได้ขนาดนั้นนะ ก็คงเพราะมาจากความหลงตัวเองนี่แหละ มองว่าระดับนินจาในตำนานอย่างตนจะล่ามอนสเตอร์ตัวไหนแล้วเปลี่ยนเป็นเงินก็ทำได้ทุกเมื่อ โง่งมเสียจริง
แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว ยูกิโตะออกล่าโดยคำนึงถึงทั้งค่าประสบการณ์และเงินรางวัล เงินอาจไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดที่เขาอยากได้แต่มันช่วยทำให้การใช้ชีวิตง่ายขึ้น โดยเฉพาะมันทำให้เขามีเงินมากพอที่จะซื้ออุปกรณ์ใหม่ยกชุด
เขาเคยลองเปลี่ยนมาใส่ชุดจอมเวทอยู่พักหนึ่ง ข้อดีของชุดพวกนี้คือมักจะมาพร้อมกับโบนัสพิเศษทางด้านเวทมนตร์ ชุดราคาแพงบางอย่างถึงกับทำให้ผู้ใช้สามารถใช้เวทมนตร์ที่เดิมทีไม่สามารถใช้ได้ด้วย ข้อเสียของชุดจอมเวทคือพวกมันไม่ค่อยคล่องตัวและพลังป้องกันไม่สูง
ทางออกของยูกิโตะคือชุดสั่งทำ เขาได้ยินมาว่าที่ประเทศเกาะแห่งหนึ่งมีช่างตัดเย็บฝีมือดี เขาเสนอเงินก้อนโตให้กับช่างในการสร้างชุดที่มีลักษณะเหมือนชุดนินจา เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาใหญ่แต่เขาถูกบังคับให้ต้องช่วยงานอื่นด้วย เริ่มจากไปช่วยลูกสาวของช่างที่ถูกขุนนางโฉดลักพาตัวไป ค้นหาผ้าที่ทำขึ้นจากใยของมอนสเตอร์แมงมุมที่มีความแข็งแกร่งระดับมังกร ตามหานักเวทผู้เชี่ยวชาญในการร่ายเวทเสริมให้สิ่งของ
ยูกิโตะรู้สึกว่ายิ่งรับภารกิจ มันก็ยิ่งชักนำไปสู่อีกภารกิจที่ยุ่งยากกว่าเดิม แต่เขาก็ไม่เคยปฏิเสธ ทุกงานที่เข้ามาทำให้เขาได้ทั้งประสบการณ์ เงิน ข้าวของมากขึ้น รวมถึงสิ่งที่เขาไม่เคยสนใจอย่างชื่อเสียง
ชื่อเสียงไม่ได้เป็นของที่เขาอยากได้นักหนา แต่สิ่งนี้ทำให้ยูกิโตะเข้าถึงข้อมูลและการช่วยเหลือต่าง ๆ
"ทางเราอยากจะตั้งให้เป็นนักผจญภัยระดับ S" เมื่อประเทศโซเชสตั้งใจให้เขากลายเป็น ยูกิโตะก็รับข้อเสนอไว้
เขารู้ว่ามันมีเกมการเมืองอยู่เบื้องหลังการตัดสินใจของโซเชส อาณาจักรที่เป็นบ้านเกิดของเขาไม่ได้มีปัญหาเฉพาะกับเผ่าปีศาจเท่านั้น ยูกิโตะกลายเป็นนักผจญภัยแถวหน้าของโลกขึ้นตรงกับประเทศจะเป็นผลดีในการปะทะกับมนุษย์ด้วยกันด้วย
อย่างไรก็ตาม เป้าหมายหนึ่งเดียวของยูกิโตะมีเพียงหัวของโชกุนปีศาจ และเพื่อให้ไปถึงจุดนั้นเขายินดีรับความช่วยเหลือโดยไม่เลือกวิธีการ
เลเวลอาชีพจอมเวทก้าวหน้าขึ้นในทุกวัน
เขาพบกับมังกรวายุอีกตัวในภารกิจหนึ่ง มันมีเลเวลสูงกว่าตัวแรกที่เขาเคยจัดการไปด้วยซ้ำ แต่คาเนชิโระ ยูกิโตะที่กลายเป็นจอมเวทอันดับหนึ่งของประเทศสามารถหยุดมันได้โดยไม่ต้องพึ่งทักษะนินจาเลย
ช่องทางข่าวสารที่แตกต่างจากเดิมลิบลับทำให้ยูกิโตะรู้ความเคลื่อนไหวของจอมมารดีกว่าสมัยที่เขาเคลื่อนไหวตามลำพัง เขารู้ทุกอย่างว่าจอมมารไปที่ไหน สู้กับใคร ดึงปีศาจกลุ่มไหนมาเข้าพวก ยูกิโตะไม่ได้ผลีผลามเหมือนเคย เขาเฝ้ารออย่างใจเย็นเพื่อให้แน่ใจว่าเลเวลสูงยิ่งกว่านี้
แต่แล้วความตั้งใจของเขาก็ถูกขัด ข่าวการรวมตัวของผู้กล้าและการตัดสินครั้งสุดท้ายทำให้เขาร้อนรน
ณ ใจกลางภูเขาไฟแห่งความตาย สถานที่ที่ผู้กล้าได้นัดประลองกับจอมมาร ด้านหนึ่งคือโชกุนปีศาจกับขุนพลเอกทั้งสี่คนที่เขาเพ้นหามากับมือ ส่วนอีกด้านคือหนึ่งผู้กล้า หนึ่งนักบวช สามนักปราชญ์และห้าอัศวิน พวกเขาต่างก็เป็นตัวแทนจากประเทศต่าง ๆ ที่ได้รับความเดือดร้อนจากจอมมาร
ด้านจำนวน ฝ่ายปีศาจเสียเปรียบอย่างชัดเจนด้วยสัดส่วนที่แตกต่างกันครึ่งต่อครึ่ง แต่ด้านกำลังรบแล้วพวกมันมั่นใจว่าตนเองเหนือกว่าจึงยอมรับข้อเสนอการประลองที่ดูไม่ยุติธรรมนี้
ฝ่ายมนุษย์ ผู้กล้าคือคนที่แข็งแกร่งที่สุด เขามีเลเวลสูงถึงสองร้อยยี่สิบห้าซึ่งสูงที่สุดในหมู่มวลมนุษย์ แต่สำหรับเผ่าปีศาจแล้วเลเวลขนาดนี้เป็นสิ่งที่พอเห็นได้ในระดับของขุนพลปีศาจ
เมื่อต่อสู้ ผู้กล้า ทำหน้าที่สำคัญในการแบกทุกคนเอาไว้ แต่ก็ใช่ว่ามีแค่เขาเท่านั้นที่กำลังเป็นที่พึ่งให้ผู้อื่น ทุกคนที่อยู่ที่นั่นต่างก็เป็นมืออาชีพ พวกเขาอาจจะเป็นตัวแทนจากคนละอาณาจักร บางคนก็เคยมองกันในฐานะศัตรู แต่ในตอนนี้พวกเขากำลังมองหาทุกจังหวะจะสนับสนุนกันอย่างเต็มที่
นักบวช แม้ชราแต่ไม่ใช่ชายสามัญทั่วไป เขาคือสังฆราชจากอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ ผู้กล้ารู้จักเขาดีและเคยออกปากห้ามปรามไม่ให้เขาเข้าร่วมศึกนี้ แต่เขาดื้อมา การที่มีเขาอยู่ตรงนี้ทำให้ทุกคนรู้สึกอุ่นใจราวกับว่าพระเจ้ากำลังอวยชัยให้กับฝ่ายตน
ห้าอัศวิน พวกเขาไม่ได้มาจากอาณาจักรเดียวกัน แต่ละคนคืออันดับหนึ่งในดินแดนพวกเขา
หนึ่งในนั้นคือจอมดาบผู้เป็นอาจารย์ของผู้กล้า แม้เลเวลจะเทียบไม่ได้แต่เขาก็มีประสบการณ์สูง อีกสี่รายแม้จะไม่โดดเด่นเท่าแต่พวกเขาก็เก่งกาจเหนือคนทั่วไป คนหนึ่งยังเชี่ยวชาญโล่ใหญ่ด้วยและถูกยกย่องว่าเป็นชายผู้มีพลังป้องกันสูงที่สุดในโลก คนหนึ่งคือเจ้าหญิงนักดาบจากอาณาจักรทะเลทราย และอัศวินหนุ่มผู้เป็นทั้งผู้พิทักษ์ คู่หมั้น และอัศวินที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักร
สามนักปราชญ์ พวกเขารู้จักและสนิทสนมกันเป็นอย่างดี ปราชญ์สีชาด ปราชญ์ฟ้าคราม และ ปราชญ์สีหมอก ทั้งสามแม้จะมีวิหารอยู่กันคนละทวีปแต่ก็พวกเขาก็ทำหน้าที่คอยสืบทอดหน้าที่ในการดูแลความเป็นไปของโลกร่วมกัน ทั้งสามแข็งแกร่งจนเข้าใกล้กับคำว่าปีศาจ แต่มนุษย์ที่ได้รับการยกย่องว่าร้ายกาจเหมือนปีศาจจะพยายามเอาชนะปีศาจตัวจริงได้หรือ
สี่ปีศาจ เป็นปีศาจตัวจริงที่มีตัวตนราวกับหลุดมาจากนิยาย ในการปะทะกับยูกิโตะครั้งก่อน หากจอมมารมีคนใดคนหนึ่งในสี่คนนี้อยู่เคียงข้าง ยูกิโตะอาจจะหนีรอดไปไม่พ้น
รายแรกคือนักบวชปีศาจ เขี้ยวสีขาวที่ยาวเผยอออกจากริมผีปาก ใบหน้าไร้สีเลือดที่ดูเหมือนชายหนุ่มแม้ว่าอายุจริงจะล่วงเลยมาหกร้อยปี ต่อให้ไม่รู้ชื่อเสียงเรียงนามมาก่อน พวกเขาก็เดาได้ว่าชายผู้นี้คือแวมไพร์
รายที่สองคืออัศวินไร้ศีรษะ เคยเชื่อกันว่าเขาเคยเป็นอัศวินผู้กล้าหาญของประเทศหนึ่ง เขาตระเวนไปทั่วสนามรบเพื่อทวงคืนหัวที่ถูกขโมยไป แต่ความจริงแล้วเขาไม่ได้สนใจค้นหาหัวกะโหลกของตนเองสักนิด สิ่งเดียวที่เขาชื่นชอบก็มีแค่หัวกะโหลกของมนุษย์ผู้อื่น
รายที่สามคือครึ่งมนุษย์ครึ่งมังกร หนึ่งในเผ่าพันธุ์โบราณที่สูญพันธุ์ไปจนเกือบหมดแล้ว ร่างกายของเขารวมเอาข้อดีของสองเผ่าพันธุ์เข้าด้วยกัน ความแข็งแกร่งในทุกด้านของมังกรและทักษะกับความสามารถในการใช้อาวุธของมนุษย์ ถ้าจะมองว่าเขาคือคนที่แกร่งที่สุดในสี่คนก็ไม่น่าแปลกใจ
รายสุดท้ายคือเหมือนลูกบอลเพลิงขนาดใหญ่ มันคือดวงไฟมีชีวิตจากโลกปีศาจ เป็นสิ่งมีชีวิตที่บอกไม่ได้ชัดเจนว่าคือสิ่งใดกันแน่ และยิ่งเพิ่มความแปลกเข้าไปอีกเมื่อไฟที่กำลังชุกโชนมีสีเขียวอมเหลือง
ในการประจันหน้า ผู้กล้าคือคนแรกที่ขยับ เขาวิ่งเข้าไปกลางวงศัตรูโดยไม่ได้สนใจแรงกดดัน ดูผิวเผินคล้ายกับการลงมืออย่างไร้สติ แต่เขาคำนวณไว้แล้ว ดาบของเขาปักลงบนพื้นอย่างตั้งใจจากนั้นก็เกิดการระเบิดที่ผสมกันของธาตุน้ำ ไฟ และไฟฟ้าจนขุนพลทั้งสี่ถูกผลักกระเด็นออกไปคนละทาง
ราวกับนัดแนะกันไว้ อัศวินเฒ่าผู้เป็นปรมาจารย์ด้านวิถีดาบพุ่งเข้าปะทะกับอัศวินไร้หัวผู้เคยเป็นอดีตนักดาบเลื่องชื่อเช่นกัน เพียงแค่เริ่มต้นดาบของทั้งสองฝ่ายฟาดฟันใส่กันราวกับเป็นการปะทะกันของพายุสองลูก ไม่มีใครยอมให้กันแม้แต่คนเดียว
นักดาบหญิง ผู้เป็นทั้งเจ้าหญิง อัศวิน และสตรีเพียงหนึ่งเดียวที่อยู่ที่นี่ เธอจับจองนักบวชแวมไพร์ที่เป็นศัตรูสำคัญของประเทศเธอ นักบวชปีศาจตนนี้อยู่เบื้องหลังความขัดแย้งมากมายรวมไปถึงยุยงให้มนุษย์กับลิซาร์ดแมนที่เคยอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขต้องลุกขึ้นมาทำสงครามจนเกือบจะสิ้นชาติไปด้วยกันทั้งสองฝ่าย
และเมื่อเธอเลือกสู้กับแวมไพร์ตนนี้ แน่นอนว่าอัศวินผู้เป็นทั้งคู่หมั้นและผู้พิทักษ์ของเธอก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากช่วยเธอประกบเจ้าวายร้ายตนนี้ด้วย
"โอ้ ยอดเลย ถ้าตายเป็นคู่ก็คงจะไม่เหงาสินะครับ" นักบวชผู้ชั่วร้ายหัวเราะเพราะอดขำสีหน้าเคียดแค้นของเจ้าหญิงไม่ได้
"ฉันจะล้างแค้นให้กับประเทศ และเผื่อไปถึงพวกลิซาร์ดแมนที่โดนแกหลอกด้วย"
"ถ้าทำอะไรกระผมได้ พวกคุณก็คงทำไปนานแล้วล่ะครับ"
นอกจากสองขุนพลที่ถูกหมายหัว ที่เหลือกลายเป็นการต่อสู้ที่อลหม่าน อัศวินโล่ต้องวิ่งไปทั่วเพื่อคอยใช้โล่ยักษ์ของเขาปัดป้องทุกการโจมตีของจอมมาร มนุษย์มังกร และเจ้าลูกไฟประหลาดที่สาดเวทใส่ทุกคนแบบไม่มียั้ง
ผู้กล้าอยากได้โอกาสดวลเดี่ยวกับจอมมาร แต่ขุนพลอีกสองตนไม่ยอมให้เป็นไปโดยง่าย โดยเฉพาะครึ่งมังกรที่ไม่ยอมออกห่างจากจอมมารไปไกลเหมือนกับขุนพลตนอื่น
จอมมารไม่ได้มีแผนการอะไรเป็นพิเศษ เขามั่นใจในพลังของตนเองอย่างเหลือล้น ต่อให้ไม่มีขุนพลทั้งสี่เขาก็พร้อมกับข้อเสนอในการประลองทุกเมื่อ เพราะสำหรับเขาแล้วผู้กล้าหรือใครอื่น มนุษย์ล้วนไม่ได้แตกต่างกันนัก
ยกเว้นเจ้ามนุษย์คนนั้น คนที่เคยสร้างความอัปยศให้กับเขา นินจาเพียงหนึ่งเดียวในโลกนี้
ฝ่ายมนุษย์อ่อนแรงลงทุกขณะ เวทมนตร์เสริมการป้องกันและต้านสถานะผิดปกติที่ท่านสังฆราชร่ายไว้ก่อนเริ่มการต่อสู้หมดลง เขาร่ายมันซ้ำอีกครั้ง ลำพังแค่ร่ายเวทบทนี้อย่างเดียวคงไม่ทำให้เขาหนักใจ แต่เขาต้องคอยร่ายเวทฟื้นฟูระดับสูง หรือแม้แต่เวทชุบชีวิตไปด้วย ซึ่งทั้งหมดมันทำให้เขาสูญเสียกำลังไปในระยะเวลาอันสั้น
ขณะที่นักบวชฝ่ายมนุษย์กำลังหอบตัวโยน แต่นักบวชฝ่ายปีศาจกลับยิ่งมีเรี่ยวแรงมากขึ้น จังหวะที่เจ้าหญิงพลาดเพราะมัวแต่ห่วงคู่หมั้นที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส นักบวชใจทรามตนนี้ก็ฝังเขี้ยวลงบนคอของหญิงสาวได้สำเร็จ ไม่เพียงแค่ตัดกำลังรบสำคัญไปได้อีกหนึ่ง แต่ยังทำให้เขาบังคับเธอได้อีกด้วย
ครึ่งมังกรเองก็น่ากลัวกว่าที่ทุกคนคิด รูปร่างใหญ่โต ผิวหนังที่แข็งแกร่งปานเหล็กกล้า มีทั้งเขี้ยวและเล็บที่คมกริบ ไม่ว่าใครที่เห็นสิ่งเหล่านี้ต่างก็เชื่อว่าเขาคือนักรบที่ใช้พละกำลังบดขยี้ศัตรู แต่มันตรงกันข้าม ครึ่งมังกรตนนี้มีอาวุธคือคันธนูและลูกศรขนาดยักษ์ เขาไม่ได้ซี้ซั้วยิงไปทั่ว แต่จะเลือกเล็งยิงเฉพาะเป้าที่เขามั่นใจว่าไม่มีทางหลบได้ และมันก็เป็นเช่นนั้นจริง เหยื่อรายแรกของเขาคือปรมาจารย์ดาบ
มันเป็นจังหวะที่ชายชราเกือบจัดการกับอัศวินไร้ศีรษะได้ เขาใช้ท่าไม้ตายที่สามารถตัดทุกอย่างให้ขาดได้ แต่ท่านี้มีจุดอ่อนคือจำเป็นต้องใช้สมาธิและเวลาในการเตรียมการ ชายชราตั้งรับและสะสมพลังจนมากพอ แต่จังหวะที่เขาจะเผด็จศึกลูกศรของครึ่งมนุษย์ครึ่งมังกรที่นอกจากไร้เสียงแล้วยังปราศจากจิตสังหารก็พุ่งเข้าปักคอของเขาพอดี
ชายชรารอดมาได้เพราะคาถาชุบชีวิต แต่เขาเสียโอกาสที่ดีที่สุดไปแล้ว อัศวินไร้หัวไม่เพียงแค่จับจังหวะวิชาของเขาได้ มันยังเรียนรู้และขโมยไปใช้อย่างสมบูรณ์แบบ
เจ้าลูกไฟปริศนาเผยพลังที่แท้จริงออกมาเช่นกัน นอกจากมีพลังเวทมากมายระดับที่ยิงเวทชุดใหญ่มาตั้งแต่เริ่มแล้วก็ไม่มีที่ท่าจะหมด มันยังมีไม้เด็ดที่สามารถรวมร่างกับใครเพื่อเพิ่มพลังให้อีกฝ่ายได้ เมื่อเจ้าสิ่งมีชีวิตลึกลับนี้รวมเข้ากับร่างของจอมมาร โชกุนปีศาจผู้มีปีกเป็นเพลิงสีเขียวก็ถือกำเนิดขึ้น
"พวกแกมาได้แค่นี้แหละ" โชกุนปีศาจชูมือขึ้นบนฟ้า
สูงขึ้นไป ใกล้กับปากปล่องภูเขาไฟ ลูกเพลิงสีเขียวปรากฏขึ้น ดูผิวเผินคล้ายกับทรงกลมซึ่งเป็นร่างเดิมของเจ้าลูกไฟประหลาด แต่ขนาดของมันแตกต่างกันลิบลับ จอมมารตั้งใจจะยิงมันลงมาตรง ๆ เขาไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่าทั้งตนเองและลูกน้องอีกสามก็อยู่ในวิถีการโจมตีนั้นด้วย
"ตายซะ" โชกุนปีศาจตะโกน
ในเสี้ยวพริบตาที่เขาคิดว่าการต่อสู้ที่น่าเบื่อนี้กำลังจะจบลง เงาของแขกไม่ได้รับเชิญก็ปรากฏขึ้นจากด้านหลังและเงานั้นคว้าข้อมือของโชกุนปีศาจเอาไว้
"คาเนชิโระ ยูกิโตะ" จอมมารสะบัดมือที่ถูกจับไว้ออก แต่ช้าไปแล้วยูกิโตะได้ร่ายเวทบางอย่างในขณะที่สัมผัส
มือซ้ายของยูกิโตะคือไอเท็มหายากแต่ไม่ค่อยมีใครสนใจ มันคือถุงมือแลกเปลี่ยนสกิล ฟังชื่อแล้วเหมือนเป็นไอเท็มที่มีประโยชน์ แต่มันเต็มไปด้วยข้อเสีย ข้อแรกคือมันไม่สามารถแลกเปลี่ยนกับสกิลระดับสูงของเป้าหมายได้ และข้อสองคือมันเป็นไอเท็มที่ใช้ได้ครั้งเดียวก็เสื่อมสภาพ
จอมมารหยุดมือจากการโจมตีและหันไปตรวจสอบสกิลของตนเอง เขาไม่ได้สนใจสกิลอื่นนัก สายตาจับจ้องไปยังสกิลเดียวเท่านั้น "อาภรณ์แห่งนางฟ้า"
นี่คือสกิลที่เขาได้มาตั้งแต่อดีตชาติ สกิลที่มารดาของเขามอบไว้ให้ก่อนจากไป ด้วยสกิลนี้เขาจึงอยู่ยงคงกระพัน ความเสียหายทั้งหมดจากการโจมตีปกติจะไร้ผล และแม้แต่การโจมตีด้วยธาตุต่าง ๆ ก็เหลือแค่ครึ่ง สกิลนี้คือสาเหตุของความไร้เทียมทานในชาติก่อน
จุดอ่อนเดียวที่เคยมีก็ถูกเขาขจัดไปแล้ว ตราบใดที่ยังเหลือสกิลนี้อยู่เขาก็ไม่มีทางแพ้ ไม่ว่ายูกิโตะจะแลกสกิลอะไรไปมันก็ไม่ได้เป็นปัญหา
"แกมัวแต่มองอะไรอยู่" ยูกิโต๊ะทัก ระดมยิงเวทใส่
เวทมนตร์เป็นสิ่งเดียวที่สร้างความเสียดายให้โชกุนปีศาจได้ แต่ด้วยแรงต้านทานระดับสูงมันก็เป็นความเสียหายแค่เล็กน้อยเท่านั้น
"แกไปทำอะไรมา…"
...ระดับอย่างยูกิโตะถ้าใช้คาถานินจาก็ว่าไปอย่างแต่เวทมนตร์ เขาไม่น่าจะทำได้ขนาดนี้…
"คนเราก็ต้องเปลี่ยนกันบ้าง"
เหตุผลที่พลังเวทของยูกิโตะพอจะได้ผลอยู่บ้างก็คือเลเวลในฐานะจอมเวทที่ต่างจากเดิมราวฟ้ากับดิน อาชีพก็ไม่ใช่จอมเวทฝึกหัดแล้วด้วย แต่กลายเป็นจอมเวทระดับสูงที่มีเลเวลมากถึงสองร้อยเก้าสิบ
มากกว่าผู้กล้าด้วยซ้ำ แต่เทียบกับเลเวลของนินจามันก็ยังห่างไกล
"พลังของจอมเวท แกใช้พลังนั้นเป็นแล้วเรอะ"
ยูกิโตะยังระดมยิงเวทใส่จอมมารไม่หยุด ความเสียหายอาจไม่มากมายแต่เพราะจังหวะการยิงที่ต่อเนื่องจนน่ากลัว โชกุนปีศาจถูกดันจนถอยไปและในที่สุดก็อยู่ในสภาพที่ถูกบีบให้ตอบโต้กลับไม่ได้
ผู้กล้าเป็นคนแรกที่ตั้้งสติได้ก่อน แม้จะไม่รู้เจตนาทั้งหมดของชายปริศนาในชุดดำ แต่ผลลัพธ์มันเห็นชัดอยู่ จอมมารที่รวมร่างกับหนึ่งในสี่ขุนพลถูกกักเอาไว้ นั่นหมายความว่าพวกเขาเหลืองานที่ต้องจัดการก่อนหน้านั้น คือการโค่นพวกขุนพลอีกสามตนให้ได้ก่อนที่จอมมารจะหลุดออกมา
ฝ่ายหนึ่งฮึกเหิมขึ้นจากทั้งจำนวนและสถานการณ์ที่พลิกกลับมาได้เปรียบ ส่วนอีกฝ่ายก็เริ่มหวั่นใจว่าพวกตนอาจจะพลาดท่าก็ได้ ความรู้สึกที่แตกต่างกันตรงนี้ทำให้การต่อสู้ที่ควรจะสูสีเริ่มเห็นผลต่าง