Chereads / ONMYOJI องเมียวจิ / Chapter 17 - 15 - ตระกูลอวี้

Chapter 17 - 15 - ตระกูลอวี้

"คัตสึกิ"

"นายน้อย"

"เกิดอะไรขึ้น"

ทันทีที่มาถึงชิโนบุก็รีบรุดเข้าไปหาคนของตัวเองด้วยความเป็นห่วง ดวงตากวาดมองสำรวจอีกฝ่ายดูคร่าว ๆ พอเห็นว่าไม่น่าจะเป็นอะไรก็ค่อยถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่แล้วก็ต้องมุ่นหัวคิ้วเข้าเล็กน้อยด้วยความแปลกใจ เมื่อเห็นว่ามีใครอีกคนกำลังนอนหลับไม่ได้สติอยู่ด้วย

"มีผนึกหนึ่งถูกทำลายครับ"

"ผนึกของอะไร"

"ยังไม่รู้ครับ ผมไม่กล้าทิ้งตรงนี้ไป แต่ตอนนี้ไซกะกำลังไปตรวจดู เขามาถึงก่อนหน้านายน้อยครู่หนึ่งเพราะได้รับจดหมายของผมเหมือนกัน"

ได้ยินแบบนั้นชิโนบุก็พยักหน้าอย่างรับรู้ว่าคืออะไรที่ทำให้คัตสึกิทิ้งไปไหนไม่ได้

"จิมมี่อีกแล้ว"

ประโยคของอัลฟ่าที่ตรงกับใจเขาพอดีทำให้ชิโนบุพยักหน้ารับเบา ๆ ก่อนจะย่อตัวลงไปนั่งข้าง ๆ ดวงตากลมโตมองสำรวจใบหน้าของคนหลับแล้วก็ต้องมุ่นหัวคิ้วเข้า เมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายภูตที่แผ่ออกมาจาง ๆ จากร่างกายของอีกฝ่าย

"คัตสึกิ เล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟังที"

"ครับ คือผมออกมาลาดตระเวนแถวนี้ แล้วบังเอิญเดินมาเจอเขาเป็นลมอยู่ข้างเขตผนึกที่เสียหายก็เลยรีบพาออกมา แต่อยู่ ๆ ฟ้าก็ผ่าทำให้ผนึกถูกทำลายอย่างสมบูรณ์ ตอนนั้นผมพาเขาออกมาไกลพอสมควรแล้วก็เลยไม่ทันเห็นว่าเป็นผนึกของตัวอะไร"

เรื่องราวที่ได้ยินดูเหมือนจะไม่ค่อยมีข้อมูลอะไรให้รู้เพิ่มเติม ชิโนบุจึงหันมาให้ความสนใจกับอาการของจิมมี่แทน เมื่อตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะตรวจเจอความผิดปกติบางอย่างที่ไม่ควรเกิดขึ้นเข้าซะแล้ว

"เหมือนเขาจะโดนสิงนะ"

"ช่วยได้ไหม"

เพราะถึงยังไงก็เป็นเพื่อนในห้องเดียวกันอัลฟ่าเลยรู้สึกเป็นห่วงอยู่ไม่น้อย อีกอย่างคือถ้าไม่นับรวมตัวเขาที่ได้รู้จักกับโลกอีกใบเพราะบ้านอาคาวะแล้ว ในบรรดานักเรียกแลกเปลี่ยน เขาก็คิดว่าเป็นจิมมี่นี่แหละที่จะได้รับประสบการณ์แปลก ๆ กลับไปคุ้มกว่าคนอื่น เพราะเจ้าตัวเล่นอยู่แทบในทุกสถานการณ์เลย

"คัตสึกิทำพิธีปัดรังควานให้ที"

"ครับนายน้อย"

เป็นเพราะชิโนบุเองก็แอบคิดเหมือนกันกับอัลฟ่า ทั้งยังแอบรู้สึกเห็นใจกับดวงชะตาของจิมมี่อยู่ไม่น้อย เลยตกปากรับคำกลับไปโดยไม่ต้องเสียเวลาคิดเลยสักนิด

เวลาผ่านไปครู่สั้น ๆ ที่อัลฟ่าและชิโนบุนั่งมองคัตสึกิทำพิธีปัดรังควาน คนที่นอนหลับสนิทไม่ได้สติมาตลอดก็ค่อย ๆ รู้สึกตัว เปลือกตาทั้งสองข้างขยับเล็กน้อย ก่อนที่เจ้าตัวจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาด้วยท่าทางมึนงง

"อะไรกันเนี่ย"

เพราะตื่นมาก็เจอคนรุมอยู่สามคน จิมมี่เลยได้แต่ถามด้วยความสงสัย ดวงตาไล่มองไปทีละคน จนกระทั่งไปหยุดอยู่ที่อัลฟ่าซึ่งถือเป็นคนที่เขาเคยคุยด้วยบ่อยที่สุดเพราะเรียนอยู่ห้องเดียวกัน

"พวกเราเห็นนายเป็นลมอยู่ก็เลยพามาพักที่นี่"

"อ๋อ"

"ก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้น"

เป็นเพราะสายตาของจิมมี่มาหยุดอยู่ที่ตัวเองเป็นคนสุดท้าย อัลฟ่าจึงรับหน้าที่พูดคุยทุกอย่างไปโดยปริยาย ทางด้านคนเพิ่งฟื้นเองก็ดูเหมือนจะผ่อนคลายขึ้น เพราะยังไงก็มีชิโนบุอีกคนที่ถือว่ารู้จักกัน เจ้าตัวเลยหยุดคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะสะบัดหัวเบา ๆ ไล่ความมึนงงที่ตกค้างอยู่แล้วเงยหน้าขึ้นตอบ

"ฉันแค่แวะมาขอพรเฉย ๆ แต่ว่าอยู่ ๆ ก็วูบไป"

"วูบไปเหรอ"

"อือ จำได้ว่ามีลมพัดมาแรงมาก แล้วอยู่ ๆ ฉันก็วูบไปเลย"

คำตอบของจิมมี่ทำให้คนฟังทั้งสามมุ่นหัวคิ้วเข้าพร้อมกัน เพราะดูเหมือนว่าทางนี้ก็จะไม่มีข้อมูลเพิ่มเติมอะไร ยิ่งคัตสึกิยิ่งแล้วใหญ่ แม้ว่าที่นั่งเฝ้าอยู่นี่จะเพราะเป็นห่วงด้วย แต่อีกใจเขาก็หวังว่าเด็กคนนี้จะมีคำตอบที่เขาสงสัยอยู่บ้าง แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเลยนอกจากทำให้เป็นห่วง ก็เลยอดจะบ่นออกไปไม่ได้

"แล้วเธอเข้าไปทำอะไรในป่าข้างศาลเจ้าตอนฝนตก ๆ ถ้าไม่มีคนไปเจอจะทำยังไง"

"ตอนที่ผมวูบฝนยังไม่ตกนะ แล้วผมก็วูบตั้งแต่ที่หน้าศาลเจ้าแล้วด้วย ไม่ได้เดินเข้าป่าไปสักหน่อย"

ประโยคที่สวนกลับมาทำให้อีกสามคนชะงักไป จู่ ๆ ก็ปะติดปะต่อเรื่องราวกันได้โดยไม่จำเป็นต้องมีใครอธิบาย

แสดงว่าจิมมี่คงโดนภูตผีเข้าสิงตอนที่รู้สึกว่าวูบไปตั้งแต่หน้าศาลเจ้า แต่ว่า...มันจะสิงจิมมี่แล้วพาไปที่ผนึกทำไม?

ที่สำคัญ...ผนึกไหนกันที่ถูกทำลาย?

"คัตสึกิ ตรงไหน"

พอฉุกคิดอะไรขึ้นได้ชิโนบุก็รีบถามขึ้นทันที ทางด้านคัตสึกิแม้จะไม่มีคำอธิบายอะไรเพิ่มเติม แต่เจ้าตัวก็รู้ว่านายน้อยของตัวเองหมายถึงเรื่องอะไร ชายหนุ่มรีบชี้มือไปยังทิศทางที่ผนึกถูกทำลายแล้วมีไซกะล่วงหน้าไปก่อนทันที

"ตรง--"

เปรี้ยง!

ยังตอบไม่ทันจบเสียงฟ้าผ่าก็ดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับกลิ่นอายภูตที่รุนแรงขึ้นจนหัวคิ้วของทั้งสามยิ่งขมวดแน่น

"พาเขาไปส่งที่บ้านด้วย"

"ครับนายน้อย"

นายน้อยแห่งอาคาวะไม่อยู่รอคำตอบด้วยซ้ำ ร่างสูงโปร่งรีบลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งออกจากที่หลบฝนชั่วคราวไปทันทีโดยไม่สนแล้วว่าอากาศจะเย็นลงขนาดไหน ในเมื่อตอนนี้ความร้อนใจและความกังวลมันมีมากกว่า

ทั้งร้อนใจเพราะความเป็นห่วงคนของตัวเองที่ล่วงหน้าไปก่อน และกังวลว่าเจ้าตัวที่หลุดออกมาจากผนึกมันจะใช่ตัวเดียวกับที่เขากำลังคิดอยู่หรือเปล่า

"นี่นอกเหนือจากที่ตกลงกันไว้แล้วนะ"

"แต่นายก็ไม่ได้ห้ามนี่"

ประโยคที่ดังขึ้นทำให้ชิโนบุตอบกลับไปโดยไม่หันไปมอง ในขณะที่อัลฟ่าเองก็ไม่ได้เถียงอะไร ยอมรับตรง ๆ ว่าตอนนี้เขาเองก็รู้สึกไม่ดีกับกลิ่นอายที่สัมผัสได้ จนอยากไปเห็นด้วยตาตัวเองว่ามันคือตัวอะไรกันแน่ ที่ทำให้เลือดในกายของเขามันระอุขึ้นได้ทั้งที่จับสัมผัสได้เพียงลาง ๆ เท่านั้น

ไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้เลย

หัวคิ้วเหนือดวงตาคู่คมมุ่นเข้าเล็กน้อย ก่อนจะยิ่งขมวดแน่นเมื่อเหลือบไปเห็นว่าคนที่วิ่งอยู่ข้าง ๆ กำลังมีสีหน้าเคร่งเครียดกว่าปกติ

"มีอะไรหรือเปล่า"

"ฉันกำลังภาวนาขอให้มันไม่ใช่อย่างที่ฉันคิด"

"แล้วนายกำลังคิดอะไร"

"ผนึกที่นี่มีอยู่สามจุด"

ชิโนบุไม่ตอบที่โดนถามแต่เลือกจะพูดไปถึงเรื่องอื่นแทน ซึ่งอัลฟ่าเองก็ไม่ได้ว่าอะไรนอกจากฟังสิ่งที่เจ้าตัวกำลังจะพูดต่ออย่างตั้งใจ

"แต่ละจุดจะผนึกภูตผีที่แข็งแกร่งไว้ทั้งนั้น แต่ว่ามีอยู่จุดหนึ่งที่ภูตในผนึกแข็งแกร่งยิ่งกว่าตนอื่น"

"....."

"ผู้คนส่วนใหญ่คิดว่ามันถูกผนึกอยู่ในเขตศาลเจ้า แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ เพราะไม่ต้องการให้ใครหามันพบตัวผนึกและศาลเจ้าจึงอยู่ห่างจากกัน เราเคยมาตรวจสอบดูแล้วแต่สุดท้ายก็ระบุไม่ได้ว่าแท้จริงแล้วมันถูกผนึกอยู่ตรงไหนในสามจุดนี้"

ฟังมาถึงตรงนี้ใบหน้าของอัลฟ่าก็ฉายแววเคร่งเครียดตามไป เมื่อนึกถึงเรื่องสำคัญบางเรื่องที่แบล็กเคยเล่าให้ฟังได้

"ตอนนี้ฉันเลยได้แต่หวัง ว่ามันจะไม่ใช่เจ้าตัวนั้น"

ทันทีที่จบประโยคนั้นทั้งคู่ก็วิ่งมาถึงจุดกำเนิดกลิ่นอายอันตรายที่ตอนนี้กำลังร้องคำรามดังลั่นราวกับเสียงฟ้าผ่า ดวงตาของมันแดงฉานอย่างบ้าคลั่ง ดูท่าการที่เพิ่งหลุดออกจากผนึกจะทำให้มันยิ่งดุร้ายกว่าเดิม

"ไซกะ"

ร่าง ๆ หนึ่งที่กำลังนอนหายใจรวยรินอยู่ที่พื้นข้าง ๆ ภูตตนนั้น ทำให้ชิโนบุได้แต่กัดปากตัวเองแน่นด้วยความโมโห หัวคิ้วทั้งสองข้างขมวดมุ่น แต่ถึงอย่างนั้นก็พยายามตั้งสติไม่ทำอะไรบุ่มบ่าม เพราะกลัวว่าจะส่งผลเสียกับคนของตัวเองที่บาดเจ็บหนักจนไม่สามารถหลบหนีออกจากตรงนั้นได้

"แย่ชะมัด"

ประกายสายฟ้าจากหางของมันยิ่งทำให้หัวคิ้วของชิโนบุขมวดแน่นขึ้นเพราะความเครียด เจ้าตัวเหลือบไปมองอัลฟ่าที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก่อนจะหยิบชิคิงามิออกมาแล้วถ่ายทอดคำสั่งลงไป เพียงอึดใจสั้น ๆ กระดาษแผ่นน้อยก็แปรเปลี่ยนเป็นนกกระดาษสองตนบินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ตนหนึ่งมุ่งหน้าไปยังสาขาใกล้ ๆ และอีกตนหนึ่งมุ่งหน้าไปยังบ้านอาคาวะ

อัลฟ่าเหลือบตามองภูตส่งสารทั้งสองโดยไม่พูดอะไร เพราะรู้ดีว่าชิโนบุคงส่งข้อความไปเรียกกำลังเสริมมาที่นี่ ยังไงลำพังแค่พวกเขาสองคนก็ไม่ไหวแน่ ๆ หากต้องปะทะกับเจ้าตัวนั้นจริง ๆ

"ยังไงก็ต้องช่วยไซกะออกมาให้ได้ก่อน แต่ก็ต้องเลี่ยงไม่ปะทะตรง ๆ แค่ยื้อเวลารอกำลังเสริมมาก็พอ"

ตอนนี้พวกเขาต้องยอมขัดคำสั่งของแบล็กเพราะเรื่องตรงหน้ามันเลวร้ายเกินกว่าจะเมินเฉยได้ แน่นอนว่าชิโนบุทิ้งคนของตัวเองไม่ได้ และอัลฟ่าเองก็ไม่ใจร้ายเกินกว่าจะปล่อยให้ใครตายไปต่อหน้าต่อตาเหมือนกัน

"นายหาจังหวะพาเขาออกไปแล้วกัน"

เป็นการวางแผนสั้น ๆ ที่ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรเพิ่มเติม ดวงตาสองคู่หันมาสบกันเพียงเสี้ยววินาที ก่อนที่อัลฟ่าจะย่อตัวลงเล็กน้อยในท่าเตรียมพร้อม ขณะที่ชิโนบุเองก็เตรียมชิคิงามิเข้ามือ

"ระวังตัวด้วยล่ะ"

"นายก็เหมือนกัน"

เพียงชั่วอึดใจที่กระดาษแผ่นน้อยแปรเปลี่ยนเป็นพยัคฆ์ร้ายตัวใหญ่กระโจนออกไป ร่างสูงใหญ่ข้าง ๆ ก็พุ่งตัวตามไปทันที

๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐

"โนบุจังกับอัลฟ่ายังไม่กลับมาอีกเหรอ"

"ยังค่ะ"

ทันทีที่กลับมาถึงแบล็กก็รีบถามหาทั้งคู่เมื่อไม่ได้กลิ่นที่คุ้นเคยอยู่ภายในตัวบ้าน หัวคิ้วของเจ้าตัวมุ่นเข้านิด ๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเลิกคิ้วขึ้น รีบเดินดุ่ม ๆ ไปตามทางเมื่อได้กลิ่นของใครอีกคนที่อยากเจอตัวมาหลายวันแล้ว โดยที่ระหว่างนั้นก็ยังหันไปคุยกับอายาเมะที่เดินตามหลังมา

"นี่มันเลยเวลาแล้วนะ"

"คิดว่าคงติดฝนค่ะ เมื่อเช้านายน้อยและคุณอัลฟ่าไม่ได้พกร่มไป"

เหตุผลที่ได้ยินทำให้แบล็กหยุดคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนที่สุดท้ายเจ้าตัวจะถอนหายใจออกมาเบา ๆ อย่างคลายกังวลลงบ้าง เมื่อสิ่งที่อายาเมะพูดมามันค่อนข้างจะมีน้ำหนักพอ

"อ้าว แบล็ก"

เสียงทักที่ดังขึ้นทำให้เจ้าของชื่อมุ่นหัวคิ้วเข้าเล็กน้อย ดวงตาเรียวคมมองสำรวจดูทั่วทั้งตัวอีกฝ่าย ตอนแรกเขากะว่าจะเดินไปหาที่ห้อง แต่มาเจอกันตั้งแต่ทางเลี้ยวตรงนี้ก็ดีเหมือนกันจะได้ไม่ต้องเสียเวลา

"อยู่ไม่ติดบ้านเลยนะเดี๋ยวนี้"

คนโดนบ่นทำเพียงขำออกมาเบา ๆ อาคาวะ ชุน หันไปพยักหน้าให้อายาเมะเป็นเชิงว่าไปทำอย่างอื่นต่อได้ เดี๋ยวทางนี้เขาจะจัดการต่อเอง ซึ่งเธอเองก็เข้าใจจึงค้อมหัวลงนิด ๆ แล้วขอตัวไปดูแลความเรียบร้อยที่อื่นต่อ

พอเหลือกันอยู่เพียงสองคนสีหน้าแบล็กก็เปลี่ยนเป็นจริงจัง แล้วเป็นคนเปิดประเด็นขึ้นก่อนโดยไม่คิดจะเกริ่นนำเลยสักนิด

"มีอะไรหรือเปล่าชุน ทำไมช่วงนี้นายชอบหายตัวไปตลอดเลย"

"พอดีมันมีปัญหานิดหน่อยน่ะ"

"ปัญหาอะไร"

"ดูเหมือนว่าตระกูลอื่นก็จะเริ่มเจอปัญหาภูตผีออกอาละวาดหนักกว่าปกติเหมือนกับเราแล้วล่ะ"

ในเมื่ออีกฝ่ายไม่อ้อมค้อม อาคาวะ ชุน จึงเลือกจะตอบไปตรง ๆ ช่วงนี้ที่เขามักจะหายตัวไปบ่อย ๆ ก็เพราะออกไปสืบเรื่องนี้มานั่นแหละ คิดว่าแบล็กเองก็คงพอจะรู้สึกอยู่บ้างเหมือนกัน เพราะช่วงนี้เจ้าตัวก็ถูกเรียกไปช่วยจัดการกับภูตผีตามสาขาต่าง ๆ อยู่ไม่น้อยเลย

"แสดงว่าที่ผ่านมานายไปตามสืบเรื่องนี้มา"

"ใช่"

คำตอบที่ได้รับทำให้แบล็กพยักหน้าอย่างเข้าใจ มิน่าล่ะถึงได้อยู่ไม่ติดบ้านเลย ปล่อยให้โนบุจังของเขาต้องเจอปัญหาแล้วแก้เอาเองตลอด

"งั้นพอได้อะไรมาบ้างล่ะ"

"ไม่ได้"

"ออกไปตะลอนมาตั้งนานเลยนะ"

"แต่ก็ได้ข้อมูลดี ๆ อย่างอื่นมานะ"

"ออกไปสืบอีกเรื่องแต่ได้กลับมาอีกเรื่อง เจริญรุ่งเรืองล่ะตระกูลเรา"

"อย่าบ่นเหมือนฉันเป็นเด็กสิ ฉันไม่ใช่เจ้าลูกชายหรือชีจังนะ"

พูดไปอดีตผู้นำตระกูลก็ได้แต่อมยิ้มขำไปด้วย ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ เมื่อได้รับสายตาแกมดุจากอีกฝ่าย ดวงตาที่แม้จะมีริ้วรอยตามกาลเวลาหากแต่ยังคมกริบไม่ต่างจากสมัยหนุ่มหยีลงเล็กน้อยเพราะรอยยิ้ม ก่อนจะไพล่ถามไปถึงเรื่องหลานชายเมื่อไหน ๆ ตอนนี้ก็พูดถึงเจ้าตัวอยู่แล้ว

"ว่าแต่นายกับชีจังเถอะ ศึกษาเรื่องตระกูลอวี้กันไปถึงไหนแล้ว"

"ไม่มีอะไรคืบหน้า"

"ให้เวลาตั้งนานเลยนะ"

"อย่ามาย้อน"

"ก็อย่ามาว่าฉันก่อนสิ"

แบล็กทำเพียงส่งเสียง 'เหอะ' ในลำคอเมื่อได้ยินน้ำเสียงทีเล่นทีจริงที่ตอบกลับมา ก่อนเจ้าตัวจะยกมือขึ้นกอดอก แล้วพูดขึ้นด้วยท่าทีจริงจังขณะเดินตามอีกฝ่ายไปยังห้องชงชา

"ฉันว่าแบบนี้มันเสียเวลา นายบอกมาเถอะว่าตระกูลอวี้มีอะไรกันแน่"

"เสียเวลาอะไรล่ะ ฉันก็แค่อยากให้ชีจังรู้เรื่องด้วยตัวเองเฉย ๆ--"

เปรี้ยง!

อาคาวะ ชุน ยังพูดไม่ทันจบ เสียงฟ้าผ่าก็ดังลั่นขึ้นให้เจ้าตัวต้องรีบสะบัดหน้าฉับไปยังทิศทางของเสียงทันทีแม้ว่าตอนนี้จะอยู่ในตัวบ้านก็ตาม หัวคิ้วทั้งสองข้างขมวดมุ่น สัญชาตญาณภายในตัวร้องบอกว่าต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นแน่ ๆ ซึ่งแบล็กเองก็กำลังรู้สึกอย่างเดียวกัน

"สังหรณ์ไม่ดีเลย"

"เหมือนกัน"

บรรยากาศจริงจังไม่มีความล้อเล่นเกิดขึ้นกับทั้งคู่ทันที อดีตเจ้าบ้านรีบหมุนตัวไปอีกทาง แล้วมุ่งหน้าไปยังห้องเก็บอุปกรณ์ต่าง ๆ ของตนแทนห้องชงชา โดยมีแบล็กเดินตามไปติด ๆ

"โนบุจังกับอัลฟ่าก็ยังไม่กลับ"

แบล็กไม่ได้อยากจะคิดในแง่ร้าย แต่สังหรณ์ของเขาทำให้อดกลัวไม่ได้ว่าเด็กสองคนนั้นอาจจะเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องอันตรายที่กำลังจะเกิดขึ้น ยิ่งตอนนี้เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแปลก ๆ ที่แผ่กระจายไปทั่วก็ยิ่งรู้สึกไม่ดีไปกันใหญ่

กลัว...ว่าเด็กสองคนนั้นจะบังเอิญไปเจอกับพวกภูตผีระดับสูงเข้า

กลัว...ว่าถ้าเป็นแบบนั้นแล้วอัลฟ่าจะเผลอหลุดขึ้นมา

"ชุน บอกฉันมาได้แล้วว่าสรุปตระกูลอวี้มีอะไรกันแน่"

คำถามที่ดังขึ้นไม่ได้ทำให้เจ้าของชื่อชะลอฝีเท้าลงแต่อย่างใด เจ้าตัวยังคงมุ่งหน้าไปยังห้องเก็บอุปกรณ์ต่าง ๆ ของตัวเองด้วยความเร็วที่ไม่ลดลง มิหนำซ้ำยังมีแต่จะเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น

"ฉันขอถามก่อนแล้วกันว่านายสัมผัสอะไรในตัวอัลฟ่าได้บ้าง"

"พลังที่ไม่ธรรมดาเลย แต่ไม่รู้ว่าเป็นของอะไร"

คำตอบที่ได้กลับมาทำให้ทางฝ่ายคนถามพยักหน้าเล็กน้อย อันที่จริงเขาก็ไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังอะไรเกี่ยวกับเรื่องของอัลฟ่าหรอก ก็แค่อยากจะให้หลานชายค่อย ๆ อ่าน ค่อย ๆ ทำความเข้าใจ และรู้เรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นด้วยตัวเองก็เท่านั้น

"จำเรื่องของ ทามาโมะ โนะ มาเอะ ได้ไหม"

"เกี่ยวกันเหรอ"

"เกี่ยวสิ เพราะว่าก่อนนางจะมาป่วนที่นี่จนถูกเซย์เมย์ผนึกไว้ ที่จริงแล้วนางหลบหนีมาจากจีน"

ได้ยินแค่นั้นแบล็กก็ขมวดคิ้วเข้าทันที เค้าลางความเข้าใจอะไรบางอย่างเริ่มก่อตัวขึ้นพร้อม ๆ กับความเป็นห่วงในตัวเด็กทั้งสองคนที่ยิ่งทวีคูณ จนเผลอหายใจผิดจังหวะอย่างที่ปกติไม่เคยเป็น

"หนึ่งในตำนานงามล่มเมืองอันขึ้นชื่อของที่นั่น แท้จริงไม่ได้ถูกสังหาร แต่นางหลบหนีมาอยู่ที่ญี่ปุ่นต่างหาก และที่สำคัญคือ ก่อนหน้านั้นนางแอบมีสัมพันธ์กับลูกชายคนโตของตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่งมาโดยตลอด จนกระทั่ง...มีทายาทที่สืบเชื้อสายของนางเกิดขึ้นมา"

ยิ่งได้ยินเรื่องที่เล่าแบล็กก็ยิ่งขมวดคิ้วแน่นขึ้นกว่าเดิมเมื่อเขาพอจะเดาเรื่องราวทุกอย่างได้แล้ว ในขณะที่ชุนเองก็รีบลงมือเตรียมอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ต้องใช้ทันทีที่เดินมาถึงห้อง

"คุณชายตระกูลนั้นเลี้ยงดูลูกชายที่มีสายเลือดของเขาและนางคนละครึ่งให้ใช้ชีวิตอย่างคนปกติธรรมดา เวลาผ่านไปผลัดเปลี่ยนจากรุ่นสู่รุ่น สายเลือดของนางในตัวลูกหลานก็ยิ่งจางลงจนแทบไม่เหลือ แต่ว่า..."

"....."

"ย้อนไปเมื่อ 17 ปีก่อน มีเด็กคนหนึ่งในตระกูลนั้นเกิดมาโดยได้รับสืบทอดสายเลือดและพลังจากนางมาทั้งหมด ไม่มีใครรู้ว่าเป็นเพราะอะไร แทนที่สายเลือดของนางจะหมดลง กลับกลายเป็นว่าเลือดมนุษย์ในตัวเด็กคนนั้นแทบจะไม่มี ทุกสิ่งทุกอย่างในตัวเด็กคนนั้นคือของนาง"

ฟังมาถึงตรงนี้หัวคิ้วของแบล็กก็ขมวดแน่นจนแทบจะรวมเป็นเส้นเดียวไปซะแล้ว ดวงตาเรียวคมฉายแววกังวลออกมาอย่างไม่ปิดบัง ได้แต่ถามกลับไปอย่างที่ในใจก็รู้คำตอบดีอยู่แล้ว รู้แล้วว่า...

"ชุน นายคงไม่บอกฉันใช่ไหมว่า..."

"เด็กคนนั้นคืออัลฟ่า เขาสืบทอดสายเลือดโดยตรงมาจากจิ้งจอกเก้าหาง"

เปรี้ยง!

เสียงฟ้าผ่าดังขึ้นทันทีที่สิ้นประโยคนั้น และมันทำให้แบล็กรู้สึกไม่ดียิ่งกว่าเดิมจนอดจะขึ้นเสียงกลับไปไม่ได้

"เรื่องสำคัญขนาดนี้ทำไมนายเพิ่งจะมาบอก!"

"ก็บอกไปตั้งนานแล้วไงว่าให้รีบไปอ่านบันทึกตระกูลอวี้"

"ของแบบนี้มันต้องบอกเลยสิ ให้ไปอ่านเองทำไม"

"ก็ในบันทึกมันมีรายละเอียดยิบย่อยที่ฉันไม่รู้จะเล่าให้ฟังยังไงตั้งเยอะแยะ ถ้าอ่านเอาเองมันก็จะเข้าใจง่ายกว่า แล้วอีกอย่างนะ ถึงบันทึกจะมีหลายเล่มแต่ถ้าตั้งใจอ่านจริง ๆ สัปดาห์เดียวก็จบแล้ว"

"เจอเรื่องวุ่นวายกันทุกวันจะเอาเวลาที่ไหนไปอ่านเล่า"

ถ้าไม่ติดว่าตอนนี้เจ้าตัวแก่ลงเยอะ แบล็กก็อยากจะมะเหงกเข้าให้สักที แต่ถึงอย่างนั้นก็รีบเร่งฝีเท้าเดินตามออกมาจากในห้องด้วย เมื่อรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายแปลก ๆ ที่ชักจะเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ

"ข้ออ้าง ๆ"

"เดี๋ยวจะโดน แล้วนี่ทั้งที่รู้ว่าอัลฟ่าเป็นแบบนี้ก็ยังจะให้ตามฉันกับโนบุจังไปเนี่ยนะ คิดอะไรของนายเนี่ย"

"ให้เขาได้เจอภูตผีบ้างจะได้คุ้นเคยไง เดี๋ยวยังไงตอนครบ 18 พลังของเขาก็ต้องตื่นขึ้นมาอยู่แล้ว ผนึกของตระกูลอวี้อยู่กับเขาไปตลอดชีวิตไม่ได้หรอก"

"ยังไม่ต้องครบ 18 ก็จะไม่อยู่แล้วเนี่ย เกือบจะหลุดไปแล้วนี่"

"อะไรนะ"

เสียงพึมพำที่ได้ยินจากด้านหลังทำให้อาคาวะ ชุนหยุดฝีเท้าของตัวเองแล้วหันกลับไปมองหน้าเจ้าตัวอย่างสงสัย ซึ่งแบล็กเองก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาเบา ๆ แล้วพูดขึ้นด้วยท่าทางเหมือนกับมันเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่เกิดขึ้นได้ทั่วไป

"อัลฟ่าเกือบจะหลุดไปแล้ว"

"หมายความว่ายังไง"

"ก็หมายความว่าเกือบหลุดไง"

"นายพาเขาไปเจออะไรมา"

ถ้าไม่ติดว่าในมือมีของที่ต้องถืออยู่ อดีตผู้นำตระกูลอาคาวะคงได้เขย่าคอถามภูตผู้พิทักษ์ของตระกูลไปแล้ว มีอย่างที่ไหน ปล่อยอัลฟ่าไว้ด้วยแค่ไม่กี่เดือนเจ้าตัวก็เกือบจะหลุดซะแล้ว ลำพังแค่ภูตผีระดับล่างถึงระดับกลางยังไงก็ไม่มีทางแผ่จิตสังหารรุนแรงจนสะเทือนไปถึงสัญชาตญาณของเก้าหางจนทำให้หลุดได้ นี่แสดงว่าต้องแอบพาอัลฟ่าไปเจออะไรที่มันชวนขวัญผวากันมาแน่ ๆ

"ก็ภูตผีไง"

แล้วดู ยังจะตอบกลับมาเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอีกเจ้าหมอนี่!

"ไม่ตลกนะแบล็ก เจอแค่ภูตทั่วไปยังไงก็ไม่มีทางหลุดได้"

"ฉันก็ไม่ตลกเหมือนกัน ใครจะไปคิดว่าเขาเป็นจิ้งจอกเก้าหางเล่า"

แม้จะพอสัมผัสได้ว่าพลังของอัลฟ่าต้องไม่ธรรมดา แต่จิ้งจอกเก้าหางนี่หลุดกรอบความคิดของแบล็กไปไกลเลย ถ้ารู้ว่าเจ้าตัวมีสายเลือดนี้เขาจะไม่พาไปลุยแหลกด้วยเด็ดขาด เพราะถ้าเกิดหลุดขึ้นมาต่อให้เป็นตัวเขาเองก็คงจัดการกันไม่ได้ง่าย ๆ แน่

"แบล็ก"

"อะไร"

"สรุปว่านายพาเขาไปเจออะไรมาบ้าง"

"ก็...ล่าสุดก็เนโกะมาตะ"

"ฉันน่าจะรู้อยู่แล้วสิน่า ว่านายกับชีจังเป็นประเภทอยู่เฉยไม่เป็น"

จากที่เยือกเย็นมาตลอดอดีตผู้นำตระกูลก็เริ่มลนลานเพราะเป็นห่วงหลานชาย รู้สึกคิดผิดไม่น้อยที่เผลอนึกไปเองว่าทั้งคู่คงแค่พาไปเจอมากสุดก็พวกภูตระดับกลาง แต่นี่เล่นกระโดดข้ามไปเจอกับสองหางมาเลย

เขาพลาดเอง พลาดเองจริง ๆ

น่าจะรู้อยู่แล้วสิน่าว่าคนบ้านนี้อยู่เฉย ๆ กันไม่เป็น!

อาคาวะ ชุนรีบเร่งฝีเท้าไปที่หน้าบ้านทันที ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นนิด ๆ เมื่อเห็นว่ามีนกกระดาษสีขาวตัวหนึ่งกำลังบินมาทางนี้

"ใครส่งมาเนี่ย"

แม้จะบ่นอย่างนั้นแต่ก็ยื่นมือไปรับไว้ ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่แบล็กเดินตามมายืนข้าง ๆ ได้พอดี ภูตหนุ่มเหลือบตามองข้อความในกระดาษ แต่ยังไม่ทันได้อ่านสักข้อความ กระดาษในมือคนข้าง ๆ ก็ป่นเป็นผง ก่อนที่เจ้าตัวจะตะโกนออกคำสั่งเสียงดัง

"รีบไปกันเดี๋ยวนี้เลยแบล็ก"

"เกิดอะไรขึ้น"

แม้จะถามอย่างนั้นแต่แบล็กก็รีบเปลี่ยนร่างของตัวเองทันที เมื่อไอสีดำที่ปกคลุมจางหายไป ก็ปรากฎเป็นร่างของสุนัขสีดำขนาดใหญ่ที่หมอบรอให้อดีตผู้นำตระกูลอาคาวะขึ้นไปนั่งอยู่บนหลัง

"โรคุบิ(6 หาง)หลุดจากผนึกน่ะสิ ชีจังเป็นคนส่งจดหมายนี้มาให้เอง"

"หมายความว่าโนบุจังอยู่ที่นั่นน่ะนะ?"

"ใช่ แล้วเราก็ต้องรีบไปให้เร็วที่สุดด้วย ถ้าอัลฟ่าเคยเกือบหลุดอย่างที่นายบอก คราวนี้เจอจิตสังหารจากหกหางเข้าไปอีก ยังไงเขาก็ต้องหลุดแน่"

ระหว่างที่พูดอาคาวะ ชุนก็ขึ้นมานั่งบนหลังของภูตพิทักษ์ประจำตระกูลเรียบร้อยพอดี แว่วเสียงคำรามอย่างน่ากลัวดังมาจากในลำคอของภูตหนุ่ม ก่อนที่ร่างสีดำขนาดใหญ่จะพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าพร้อมกับคำพูดสุดท้ายที่ถูกทิ้งไว้

"ถึงจะเป็นภาพหายาก แต่ฉันก็ไม่เคยอยากให้มันเกิดขึ้นเลยนะ การปะทะกันของหกหางกับเก้าหางเนี่ย"

tbc...