- แปดตระกูลหลัก -
"ไม่มีอาการข้างเคียงอะไรใช่ไหม"
"ไม่มี"
"แน่ใจนะ"
"ฉันแค่เหนื่อยจนหมดแรง แค่ได้พักเต็มที่ก็หายดีแล้วไม่มีอาการข้างเคียงอะไรหรอก"
ระหว่างที่พูดชิโนบุก็ยังคงเดินต่อไปเรื่อย ๆ โดยไม่ชะงักฝีเท้าเลยสักนิด ดวงตากลมโตยังคงมองทางเดินภายในบ้านที่เริ่มสลัวลงเพราะอาทิตย์กำลังจะตกดินแล้ว บรรยากาศเงียบ ๆ ภายในบ้านญี่ปุ่นโบราณยามโพล้เพล้แบบนี้อาจจะสร้างความหวาดกลัวให้กับคนภายนอกได้ไม่น้อย หากแต่ไม่อาจทำอะไรเด็กหนุ่มทั้งสองคนที่กำลังเดินไปตามทางที่ทอดยาวไปยังห้องสุดท้ายตรงสุดทางเดินได้
หลังจากที่พวกเขากลับมาจากฮอกไกโด ตลอดสองวันหลังจากนั้นทั้งคู่ก็ใช้เวลาช่วงเย็นหลังเลิกเรียนจนถึงดึกดื่น เดินเข้าเดินออกระหว่างห้องนี้กับห้องอ่านหนังสือส่วนตัวของชิโนบุอยู่ตลอด
"ว่าแต่นายเถอะ"
"หืม?"
ขณะที่กำลังเดินกันไปเงียบ ๆ เสียงที่ดังขึ้นของชิโนบุก็ทำให้อัลฟ่าต้องหันมามองด้วยความสงสัย เพราะไม่มั่นใจว่าเจ้าตัวหมายถึงเรื่องอะไร
"ฉันทำไม"
"นายเป็นยังไงบ้าง รู้สึกแปลก ๆ บ้างไหม นายเกือบจะหลุดมาสองครั้งแล้วนะ"
ขณะที่ถามขึ้นแบบนั้น ทั้งคู่ก็เดินมาถึงที่หมายพอดี ซึ่งก็คือห้องเก็บหนังสือและบันทึกต่าง ๆ ของ อาคาวะ ชุน คุณปู่ของชิโนบุ
อาคาวะคนหลานเป็นฝ่ายเปิดประตูและเดินนำเข้าไปก่อน จากนั้นก็ตามด้วยอัลฟ่าที่ปิดประตูให้อย่างเรียบร้อยแล้วเดินตามไป
"ฉันยังรู้สึกว่าปกติอยู่ ไม่มีอะไรแปลกไป"
"งั้นก็ดีแล้ว แต่ถ้ามีอะไรต้องรีบบอกฉันทันทีนะ"
"ได้"
คำตอบรับที่ได้ทำให้ชิโนบุหันมามองหน้าเจ้าตัวเล็กน้อย ก่อนจะละสายตากลับไปเลือกหนังสือที่ต้องการเหมือนเดิม ซึ่งก็ไม่พ้นบันทึกของตระกูลอวี้นั่นแหละ หลังจากที่ก่อนหน้านี้เจอเรื่องวุ่นวายหลายอย่างจนไม่มีเวลาอ่านมานานทำให้เนื้อหายังไม่คืบหน้าไปไหนสักที
ดวงตากลมโตไล่ไปตามบันทึกต่าง ๆ ที่วางเรียงรายอยู่เต็มไปหมดเพื่อหาเล่มที่ต้องการโดยมีอัลฟ่าช่วยดูอยู่ข้าง ๆ ตอนแรกเขาตั้งใจจะมาคนเดียวด้วยซ้ำ แต่อัลฟ่าที่ว่างเหมือนกันขอตามมาด้วย บอกว่าช่วยกันอ่านจะได้เจอสิ่งที่อยากรู้เร็ว ๆ
สุดท้ายก็เลยกลายเป็นว่าเราสองคนต้องมาช่วยกันอ่านบันทึกของตระกูลอวี้อยู่ที่บ้านเพราะออกไปตระเวนไหนไม่ได้ทั้งคู่ตามคำสั่งของแบล็ก ที่เจ้าตัวย้ำนักย้ำหนาไว้ก่อนจะออกไปช่วยทำภารกิจด่วนที่โดนเรียกตัวมา
ถ้าไม่ใช่พ่อกับแม่เป็นคนเรียก ชิโนบุมั่นใจเลยว่าแบล็กไม่มีทางไปแน่ เพราะขนาดเป็นพ่อกับแม่ก็ยังบ่นไม่หยุด แถมก่อนไปก็ยังกำชับแล้วกำชับอีกว่า..
'ห้ามออกไปไหนกันแค่สองคนเด็ดขาด เลิกเรียนแล้วไม่ต้องไปเถลไถลที่ไหนให้ตรงกับบ้านทันที เข้าใจไหม'
สั่งเป็นพ่อเลย!
แต่ก็เข้าใจแหละ แบล็กคงกลัวว่าถ้าเกิดออกไปแล้วบังเอิญเจอกับตัวอะไรที่ทำให้สัญชาตญาณของอัลฟ่าตื่นจนเกิดหลุดขึ้นมา แค่ลำพังเขาคนเดียวคงรับมือไม่ได้แน่ ๆ เพราะฉะนั้นทางที่ดีที่สุดคือกันไม่ให้อัลฟ่าต้องเจอกับพวกภูตผีในช่วงนี้เป็นดีที่สุด
"ชิโนบุ"
"ว่า?"
"แบล็กก็เคยหลุดใช่ไหม"
คำถามที่ถูกส่งมาระหว่างกำลังช่วยกันเลือกหนังสือทำให้ชิโนบุต้องหันไปสบตาด้วยครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ แล้วหยิบหนังสือออกมาสองเล่ม โดยถือไว้เองหนึ่งเล่ม ส่วนอีกเล่มก็ส่งให้อัลฟ่า
"ใช่"
"ทั้ง ๆ ที่รู้ตัวว่าเป็นภูตอยู่แล้วทำไมถึงยังหลุดได้"
"นายต้องทำความเข้าใจก่อนว่าอาการหลุดสามารถเกิดขึ้นได้กับภูตทุกตน เพียงแต่โอกาสจะเกิดมันน้อยมากเท่านั้นเอง"
ขณะที่พูดชิโนบุก็ใช้มือแตะไหล่อัลฟ่าเบา ๆ เป็นเชิงให้เดินออกไปได้เลยเพราะพวกเขาได้บันทึกที่ต้องการแล้ว
"เพราะอะไร?"
"หา?"
"อาการหลุดเกิดขึ้นเพราะอะไร"
ชิโนบุปิดประตูให้สนิทเหมือนเดิม แล้วเริ่มออกเดินพร้อมกับอธิบายในสิ่งที่โดนถามให้อัลฟ่าฟังไปด้วย
"ตามปกติแล้ว มนุษย์กับภูตจะใช้ชีวิตแตกต่างกัน พวกภูตจะดำเนินชีวิตโดยใช้สติควบคู่ไปกับสัญชาตญาณ ส่วนมนุษย์จะกดสัญชาตญาณไว้ภายในแล้วใช้สติเป็นส่วนใหญ่"
"....."
"ในกรณีของแบล็กจะเหมือนกับภูตตนอื่นที่ใช้สองสิ่งนี้ควบคู่กันมาตลอด เพราะฉะนั้นพวกเขาจะมีความเคยชินในการควบคุมสัญชาตญาณของตัวเอง ทำให้อาการหลุดควบคุมเกิดขึ้นยากมาก นอกจากจะเจอเรื่องที่ทำให้ช็อคหรือมีผลต่ออารมณ์จริง ๆ จนขาดสตินั่นแหละถึงจะเกิดอาการหลุด ผิดกับกรณีของนาย เพราะนายใช้ชีวิตมาแบบมนุษย์ สัญชาตญาณของนายก็เลยไม่เคยถูกขัดเกลาให้ทำงานควบคู่ไปกับสมอง มันจึงเป็นเรื่องง่ายที่นายจะถูกกระตุ้นจากสิ่งเร้าต่าง ๆ จนสติหลุด แล้วปล่อยให้สัญชาตญาณเป็นตัวควบคุมร่างกายของนายแทน"
"เพราะแบบนี้เองสินะ ตอนนั้นฉันถึงรู้สึกเหมือนความทรงจำหายไปช่วงหนึ่ง"
การพยักหน้ารับของชิโนบุถือเป็นคำยืนยันให้กับความคิดของอัลฟ่า หลังจากนั้นเจ้าตัวจึงเงียบไปพักใหญ่เพื่อประมวลผลเรื่องราวต่าง ๆ กับตัวเอง แต่แล้วก็ต้องมุ่นหัวคิ้วเข้าเล็กน้อย เมื่อมีเรื่องสงสัยผุดขึ้นมาจนอดจะถามออกไปไม่ได้
"เมื่อกี้นายบอกว่ากรณีของแบล็กเป็นเรื่องยากมากที่จะเกิดขึ้น"
"อือ"
"งั้นเรื่องอะไรที่ทำให้แบล็กถึงขั้นสติหลุดได้"
คำถามของอัลฟ่าไม่ได้ทำให้ชิโนบุผ่อนฝีเท้าลงแต่อย่างใด เจ้าตัวยังคงเดินไปตามทางเพื่อมุ่งหน้าไปสู่ห้องอ่านหนังสือของตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้นในหัวก็ยังหวนคิดถึงเหตุการณ์ในอดีตที่เกิดขึ้นตอนเขาเพิ่งจะอายุได้เพียง 9 ขวบเท่านั้น
"ฉันโดนลักพาตัว"
"ได้ยังไง"
อัลฟ่ายอมรับเลยว่าค่อนข้างแปลกใจกับสิ่งที่ได้ยิน และเขานึกไม่ออกเลยสักนิดว่ามันจะเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นได้ยังไง ในเมื่อเจ้าตัวมีแบล็กคอยดูแลอยู่ข้าง ๆ ตลอดเวลา
"นายรู้อยู่แล้วใช่ไหมว่าปกติฉันจะกลับกับแบล็ก"
"อืม"
"แต่วันนั้นบังเอิญว่าแบล็กไม่ได้ไปเรียนด้วยเพราะต้องไปช่วยงานปู่ ส่วนพ่อกับแม่ก็มีงานด่วนเข้ามากะทันหัน เย็นนั้นเลยมีแค่อายาเมะเท่านั้นที่ไปรับฉัน"
ครืด!
เสียงเลื่อนเปิดประตูดังขึ้นเบา ๆ เมื่อทั้งคู่เดินมาถึงห้องอ่านหนังสือส่วนตัวของชิโนบุพอดี และก็เป็นเหมือนทุกครั้งที่ทางฝ่ายเจ้าของห้องจะเป็นคนเดินนำเข้าไปก่อน
"ฉันเกือบจะถูกฆ่าอยู่แล้ว ดีที่แบล็กตามมาเจอก่อนก็เลยช่วยได้ทัน"
"แบล็กทำยังไง"
"เกือบฆ่าล้างตระกูล"
คำตอบที่ได้รับทำให้อัลฟ่าที่กำลังเดินตามเข้าไปเผลอชะงักเท้าของตัวเอง ก่อนจะมุ่นหัวคิ้วเข้านิด ๆ แล้วเดินตามไปทิ้งตัวลงนั่งตรงข้ามกับชิโนบุเมื่อได้ยินสิ่งที่เจ้าตัวกำลังเล่าต่อ
"จากคนหลายสิบเหลืออยู่แค่ 2-3 คนเท่านั้นตอนที่ฉันเรียกสติแบล็กกลับมาได้"
"คนที่ทำร้ายนายรอดหรือเปล่า"
"โดนเป็นคนแรกเลย"
คำตอบที่ได้รับไม่ต่างจากที่อัลฟ่าคาดไว้สักเท่าไร เพราะถ้าหากเป็นตัวเขาเองที่อยู่ในเหตุการณ์นั้น ก็คงจะลงมือจัดการกับคนที่ทำร้ายชิโนบุเป็นรายแรกเหมือนกัน
"ฉันถามได้ไหม"
"ว่า?"
"ทำไมพวกนั้นถึงอยากฆ่านาย"
ไม่รู้ทำไม ตอนที่ถามประโยคนั้นออกไปมือทั้งสองข้างของอัลฟ่าถึงเริ่มสั่น ภายในร่างกายร้อนผ่าวราวกับจะมีเปลวไฟปะทุออกมา เป็นเปลวไฟในรูปแบบของห้วงอารมณ์ที่ถูกเรียกว่า...
ความโกรธ
จู่ ๆ ก็โกรธขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล เพียงแค่นึกถึงว่าก่อนหน้านี้เคยมีคนกลุ่มหนึ่งคิดจะทำร้ายคนตรงหน้า เขาก็แทบจะห้ามความโมโหของตัวเองไม่อยู่
โชคดีที่ตอนนี้ชิโนบุยังคงนั่งอยู่ตรงนี้ ให้เขาได้มองเห็น ให้เขายังคงสัมผัสได้ ไม่อย่างนั้น...
เขาอาจจะเป็นเหมือนแบล็กในตอนนั้นก็ได้
"คิดว่าน่าจะเป็นเพราะเรื่องอำนาจ"
ชิโนบุตอบกลับไปโดยไม่ทันสังเกตท่าทางของอัลฟ่าเพราะกำลังนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ในอดีตอยู่ ทางด้านอัลฟ่าเองก็ได้สติกลับมาจากน้ำเสียงของชิโนบุ จึงได้หลุดออกจากภวังค์แล้วกลับมาสนใจกับบทสนทนาตรงหน้าอีกครั้ง
"อำนาจอะไร"
"จะอธิบายยังไงดีล่ะ"
ใบหน้ามุ่ย ๆ เหมือนกำลังขัดใจตัวเองที่ไม่รู้จะเริ่มพูดยังไงของชิโนบุ ทำให้อัลฟ่าเผลอยิ้มออกมาบาง ๆ แทบลืมไปแล้วว่าก่อนหน้านี้เคยโกรธ เคยโมโหกับเรื่องที่ได้ยินไปขนาดไหน เพียงแค่ได้เห็นท่าทางน่ารัก มีชีวิตชีวา ก็ราวกับความกรุ่นโกรธ ความกังวลในใจจะถูกปัดเป่าออกไปจนหมด
"แบล็กสอนเรื่องศาสตร์ภูต แต่ยังไม่ได้สอนเกี่ยวกับเรื่องขององเมียวจิใช่ไหม"
"มีสอนศาสตร์ขององเมียวจินะ"
"หมายถึงประวัติสิ"
น้ำเสียงติดจะเหวี่ยงนิด ๆ ของอีกฝ่ายทำให้คราวนี้อัลฟ่าหลุดขำออกมาเบา ๆ อย่างห้ามไม่อยู่ ก่อนจะต้องยกสองมือขึ้นอย่างยอมแพ้เมื่อได้รับสายตาขวางจัดที่ตวัดมองมา
"ถ้าเป็นเรื่องประวัติฉันยังไม่รู้อะไรสักอย่างเลย"
"งั้นฉันจะสรุปให้ฟังคร่าว ๆ ถ้ามีอะไรสงสัยก็ไปถามตอนแบล็กกลับมาแล้วกัน"
พอเห็นว่าอัลฟ่าพยักหน้าตอบกลับมา ชิโนบุก็เริ่มเล่าให้ฟังแบบสรุปเฉพาะหัวข้อสำคัญเท่านั้น
"ในบรรดาองเมียวจิทั้งหมดที่มีอยู่ตอนนี้ ถูกแบ่งออกเป็นสี่กลุ่ม แยกได้เป็นแปดตระกูลหลัก แต่ละตระกูลจะมีเขตความรับผิดชอบเป็นของตัวเอง ยกตัวอย่างคืออาคาวะของเรา ก็จะดูแลแถบคันไซทั้งหมด"
"....."
"ฉันจะไล่ชื่อตระกูลและเขตความดูแลให้ฟังก่อนแล้วกัน เริ่มจากฮอกไกโดที่เราเพิ่งไปมา ตระกูลที่ดูแลอยู่คือ ชิราโทริ(ไก่ขาว) ต่อมาคือโทโฮคุ ตระกูลอาโอโทระ(เสือฟ้า) คันโต ตระกูลโคคุโตะ(กระต่ายดำ) ชูบุ ตระกูลโรคุบะ(ม้าเขียว) คันไซ ตระกูลอาคาวะ(เหยี่ยวแดง) ชูโงคุ ตระกูลโอเกทสึ(แมงป่องเหลือง) ชิโกกุ ตระกูลไฮโช(ช้างเทา) และสุดท้ายคือ คิวชู ตระกูลชิคุราเงะ(กระพรุนม่วง)"
อัลฟ่าพยายามนึกภาพตามและจดจำรายละเอียดทุกอย่างไปด้วย โชคดีที่แม้ชิโนบุจะรวบรัดเพียงสั้น ๆ แต่เจ้าตัวแบ่งจังหวะในการพูดดี ไม่เร็วจนเกินไป ก็เลยยังพอฟังจับใจความได้ทัน
"ในแปดตระกูลนี้จะแบ่งออกเป็นสี่กลุ่ม คือ ชิราโทริที่ขออยู่เป็นเอกเทศไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร ต่อมาคือ อาโอโทระ โคคุโตะ โรคุบะ และอาคาวะ สี่ตระกูลนี้เป็นพันธมิตรกัน แล้วก็ยังมีพันธมิตรอีกกลุ่มคือ โอเกทสึและไฮโช จริง ๆ แล้วแต่ก่อนกลุ่มนี้จะมีตระกูลชิคุราเงะอยู่ด้วย แต่ตอนหลัง ชิคุราเงะ ขอแยกตัวเป็นเอกเทศและไม่ยุ่งเกี่ยวกับใครอีกเลย"
"เท่ากับมีสองตระกูลที่ไม่เข้าร่วมกับใคร"
"จะว่าอย่างนั้นก็ไม่ผิดหรอก แต่จริง ๆ แล้วคุณลุง เอ่อ...ผู้นำตระกูลคนปัจจุบันของชิราโทริ ท่านเป็นเพื่อนสนิทกับพ่อฉันก็เลยได้ไปมาหาสู่กันบ่อย ๆ อย่างตอนที่เราไปวุ่นวายกับภูตในเขตฮอกไกโดถึงไม่มีปัญหาอะไร เพราะฉะนั้น คนที่เรียกได้ว่าไม่ร่วมกับใครจริง ๆ มีแค่ชิคุราเงะเท่านั้นแหละ"
"พวกเขาไม่มีความสัมพันธ์กับใครเลยเหรอ"
"ไม่มี"
"แม้แต่กับโอเกทสึและไฮโชที่เคยเป็นพันธมิตรกันน่ะนะ"
"ใช่ ก็หลังจากเกิดเหตุการณ์ที่แบล็กเกือบฆ่าล้างตระกูลพวกเขาไป"
ประโยคที่ได้ยินทำให้อัลฟ่ามุ่นหัวคิ้วเข้าทันที ภายในหัวบันทึกชื่อตระกูลชิคุราเงะลงไปในส่วนที่มั่นใจว่าจะไม่มีทางลืมอย่างแน่นอน แม้ว่าก่อนหน้านี้จะไม่เคยมีความแค้นส่วนตัวต่อกันมาก่อน แต่หลังจากนี้เขาจะขอตั้งตัวเป็นศัตรูกับตระกูลนี้อย่างถาวร
"ในบรรดาองเมียวจิทั้งแปดตระกูล อาคาวะรุ่งเรืองและได้รับความไว้วางใจที่สุด...ทีนี้นายพอจะเข้าใจคำว่าอำนาจที่ฉันบอกไปหรือยัง"
ไม่จำเป็นต้องมีคำอธิบายมากไปกว่านั้นอัลฟ่าก็เข้าใจทุกอย่างแล้ว การที่พวกนั้นลงมือกับชิโนบุที่ถือเป็นผู้สืบทอดของผู้นำตระกูลคนปัจจุบัน ก็เพราะต้องการให้เกิดความระส่ำระส่ายเพื่อลดทอนอำนาจของอาคาวะลง
ถ้าแม้แต่ผู้สืบทอดคนเดียวยังปกป้องไว้ไม่ได้...
ความน่าเชื่อถือของอาคาวะก็จะลดน้อยลง
"พอเรื่องมันพลิกกลับเป็นแบบนี้ ฝ่ายที่แย่ก็คือชิคุราเงะสินะ"
"ใช่ หลังจากเหตุการณ์นั้นโอเกทสึและไฮโชก็ตัดสัมพันธ์กับชิคุราเงะทันทีเพราะไม่อยากมีปัญหากับทางอาคาวะ ฉันเองก็ไม่ค่อยรู้อะไรมากหรอกว่าหลังจากนั้นพวกเขาฟื้นฟูตระกูลกันยังไง อันที่จริงต้องบอกว่าทั้งเจ็ดตระกูลก็ไม่มีใครรู้เรื่องของชิคุราเงะอีกเลย"
"ไม่มีส่งคนไปตรวจสอบบ้างเหรอ"
"อย่างที่บอกว่าเราแบ่งเขตในการดูแลกัน ถ้าไม่ได้รับอนุญาตก่อนก็เข้าไปยุ่งวุ่นวายไม่ได้หรอก แม้ตอนนั้นจะเกือบโดนล้างตระกูลไปแต่หนึ่งในคนที่เหลือรอดก็คือผู้สืบทอดอันดับสองของชิคุราเงะ เท่ากับว่าตระกูลนี้ยังไม่ถึงจุดจบ และในเมื่อเป็นอย่างนั้นอำนาจหลักในการดูแลคิวชูก็ยังคงเป็นของตระกูลชิคุราเงะเหมือนเดิม"
ยิ่งฟังถึงตรงนี้หัวคิ้วของอัลฟ่าก็ยิ่งขมวดแน่นขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่ชิโนบุเองก็ได้แต่ยกมือขึ้นมาเท้าคาง มองหน้าอัลฟ่าไปพลางนึกถึงเรื่องเก่า ๆ ไปพลาง
จำได้เลยว่าหลังจากนั้นเขาก็ถูกพ่อกับปู่จับเรียนเกี่ยวกับศาสตร์ขององเมียวทั้งหมด แม่เองก็สอนเกี่ยวกับเรื่องญาณพิเศษที่เขาได้รับสืบทอดมาทางสายเลือด ส่วนแบล็กก็ยัดความรู้เกี่ยวกับภูตทุกตนว่ามีจุดแข็งจุดอ่อนอยู่ที่ตรงไหนบ้าง รวม ๆ แล้วก็คือตอนนั้นปวดหัวจนสมองแทบจะระเบิด ทุกอย่างที่ต้องจำและทำความเข้าใจมันเยอะเกินไป จนเขาน็อคไปรอบหนึ่ง รู้สึกจะหลับไปสองวันเต็ม ๆ เลยด้วย
เห็นแบล็กบอกว่าตอนนั้นทุกคนแทบนั่งกันไม่ติดเลย ตอนที่เขาตื่นขึ้นมาก็เลยต้องเปลี่ยนแผนกันใหม่มาเป็นการค่อย ๆ สอนให้ได้เรียนรู้และพัฒนาไปตามลำดับขั้นตอน เพื่อไม่ให้เขาต้องรับภาระมากเกินไปเหมือนก่อนหน้านี้อีก
"นายน้อย คุณอัลฟ่า ได้เวลาอาหารเย็นแล้วค่ะ"
เสียงเรียกของอายาเมะที่ดังขึ้นจากหน้าห้องทำให้ทั้งสองคนหลุดออกจากภวังค์ความคิดของตัวเอง ดวงตากลม ๆ เหลือบมองไปทางประตูเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับมาหาอัลฟ่าแล้วบ่นขึ้นเบา ๆ
"มัวแต่คุยจนไม่ทันได้อ่านอะไรเลย"
"นั่นสิ"
ถึงจะบ่นกันแบบนั้น แต่ทั้งคู่ก็ลุกขึ้นจากโต๊ะอยู่ดี...
"โอ้ย!"
เสียงร้องดังขึ้นเบา ๆ อย่างตกใจมากกว่าจะเจ็บ เมื่อเจ้าตัวเผลอสะบัดมือไปโดนตรงเหลี่ยมโต๊ะเข้าพอดี ความรู้สึกชาเกิดขึ้นตรงจุดที่โดน ก่อนมันจะถูกแทนที่ด้วยสัมผัสอุ่น ๆ จากมือใครบางคนที่รีบเดินเข้ามาดูอย่างเป็นห่วง
"ระวังหน่อยสิ"
"ใครจะไปรู้ว่าอยู่ ๆ มันจะโดนเล่า"
"ดีนะที่เลือดไม่ออก"
"ก็แน่สิ แค่ชนโต๊ะเองเลือดมันจะออกได้ไงล่ะ"
"เลือดไม่ออกแต่ก็แดงเป็นปื้นเลยนี่ไง"
ไม่บ่อยนักที่อัลฟ่าจะใช้น้ำเสียงดุ ๆ แบบนี้ ทางคนโดนบ่นเลยได้แต่ปล่อยให้อีกฝ่ายลากออกจากห้องไปโดยไม่เถียงอะไรอีก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่วายแอบขมุบขมิบปากแบบไร้เสียงไปตลอดทาง ให้ดวงตาคม ๆ เหล่มองมาเสียหลายครั้ง
"บ่นเป็นเสียงออกมาเลยก็ได้"
"นายนี่มันขี้เว่อร์เหมือนแบล็กไม่มีผิด"
พออีกฝ่ายเปิดโอกาสให้ชิโนบุก็สวนกลับไปโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด มืออีกข้างที่โดนอัลฟ่าจับไว้ก็ปล่อยไปอย่างนั้น ส่วนอีกข้างก็ยกขึ้นมาเท้าเอวแล้วบ่นออกมาอีก
"ฉันเจ็บนิดเจ็บหน่อยเป็นต้องเลือดขึ้นหน้าตลอดเลย จะจุดเดือดต่ำไปไหนเนี่ย"
"ที่เห็นนายเจ็บแล้วเลือดขึ้นหน้าก็เพราะเป็นห่วง"
"แต่บางครั้งฉันเจ็บแค่นิดเดียวเองนะ"
"จะเจ็บมากเจ็บน้อยมันก็คือเจ็บ"
จบประโยคนั้นอัลฟ่าก็หยุดเดินแล้วหันมาเผชิญหน้ากับชิโนบุตรง ๆ ดวงตาคู่คมมองสบเข้าไปในดวงตากลมโตที่กระพริบมองกลับมาอย่างสงสัย
"ไม่เกี่ยวเลยว่าตอนนั้นนายจะเจ็บมากหรือน้อย เพราะสำหรับฉันแล้ว...เลือกสักหยดฉันก็ไม่อยากให้ไหล แผลสักแผลฉันก็ไม่อยากให้เป็น รอยช้ำสักรอยฉันก็ไม่อยากให้มี"
สิ้นคำนั้น ความเงียบก็ปกคลุมทั้งคู่ไว้ในทันที ดวงตาสองคู่เพียงแค่สบกันนิ่ง ๆ โดยไม่มีคำพูดใด หากแต่พาลพาให้ความรู้สึกแปลก ๆ เริ่มก่อเกิดขึ้นกับหัวใจสองดวง ก่อนที่...
ชิโนบุจะเป็นคนทำลายบรรยากาศที่รู้สึกว่ามันแปลกทิ้งด้วยตัวเอง มือข้างที่ถูกจับไว้ออกแรงบิดเบา ๆ ก่อนเจ้าตัวจะชักสีหน้าแล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเหวี่ยง ๆ พร้อมกับเดินนำไปโดยไม่คิดจะรอเลยสักนิด
"นายมันเวอร์"
"ว่าฉันเวอร์..."
แล้วหน้าแดงทำไม?
อัลฟ่าได้แต่คิดต่อในใจอย่างขำ ๆ ไม่รู้ว่าชิโนบุจะรู้ตัวไหม แต่ตอนที่หมุนตัวเดินออกไปเมื่อกี้ เขาทันเห็นนะว่าแก้มขาว ๆ ทั้งสองข้างของเจ้าตัวเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำเลย ซึ่งแน่นอนว่าไม่น่าจะใช่เพราะความโกรธ แต่เป็นอะไรอีกอย่างที่เรียกว่า...เขิน
"หึ ๆ"
เวลาเขินแบบนี้ก็น่ารักดีเหมือนกันนะ
tbc...