'โลกใบนี้มีสิ่งหนึ่งที่เรียกว่าคู่ชะตา เราสามารถพบเจอคู่ชะตาของเราได้ในความฝัน สามารถพูดคุยสามารถสัมผัสกันได้ แต่สิงหนึ่งที่พวกเราต่างทำไมได้นั่นก็คือ พวกเราไม่สามารถจำชื่อของคู่ชะตาได้ จะจำได้เพียงแค่หน้าตาของเขาเท่านั้น เราจำเป็นต้องหาคู่ชะตาของพวกเราให้เจอก่อนที่วัย 30 ปี จะมาถึง ไม่เช่นนั้นพวกเราอาจจจะต้องตาย'
นั่นควรเป็นสิ่งที่เรากังวลเพียงอย่างเดียวในชีวิต จนกระทั่งเสียงสัญญาณภัยพิบัติดังขึ้นในวันนั้นมันทำให้พวกเราต้องใช้ชีวิตแบบหลบๆ ซ่อนๆกันอย่างนี้
เสียงสัญญาณภัยพิบัติดังขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ผมในวัย 20 ปี ลุกขึ้นยืนพร้อมกับมองออกไปนอกหน้าต่างและพบว่าทุกคนก็ทำเช่นเดียวกัน
เกิดอะไรขึ้น? ซ้อมอพยบงั้นเหรอ? นี่คือความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวของผม
"มีเรื่องอะไรงั้นหรือน้ำ" พ่อของผมเดินมาจากทางด้านหลัง กล่าวถามสาเหตุของสัญญาณที่ดังลั่น ซึ่งจนถึงตอนนี้ก็ยังหาคำตอบไม่ได้ว่าเพราะเหตุใดมันจึงดังขึ้นมา
"ไม่รู้เหมือนกันครับพ่อ เดี๋ยวผมจะลองลงไปดู" พอพูดจบผมก็ตัดสินใจเดินออกไปข้างนอกบ้านก่อนจะพบว่ามีคนจำนวนมากกำลังวิ่งหนีอะไรบางอย่าง
"พี่น้ำ!" ผมได้ยินเสียงน้องสาวของผมดังมาจากภายในคนกลุ่มนั้นด้วย ผมไม่รอช้ารีบวิ่งเข้าไปหาน้องสาวของผมทันที แต่พอเมื่อเข้าใกล้มากพอที่จะเห็นว่าคนกลุ่มนั้นวิ่งหนีอะไรกันมาก็ถึงกับหยุดชะงักอยู่ตรงนั้น
นั่นมัน 'คาดาฟ' งั้นเหรอ เป็นไปไม่ได้ พวกมันไม่ควรมีตัวตนอยู่จริงสิ มันควรจะเป็นพวกนิทานปรำปราที่พวกเขาเล่ากันมาไมใช่หรือ แล้วเหตุใด ทำไมกัน เพราะอะไรพวกมันถึงอยู่ตรงนี้กำลังวิ่งไล่คนทุกคน จับอะไรได้ก็รุมกัดกินกันอย่างไม่เลือก นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
โชคยังดีที่น้องสาวของผมคว้าผมออกมาได้ทันก่อนที่คาดาฟตัวหนึ่งจะพุ่งเข้ามาหาผม คาดาฟตัวนั้นถูกรถคันหนึ่งพุ่งชนเข้าอย่างจัง และมันก็คือรถของพ่อผมนั่นเอง ผมและน้องสาวไม่รอช้ารีบกระโดดขึ้นรถก่อนจะปิดประตูและพ่อก็รีบขับไปยังทางออกของเกาะนี้ทันที
เกาะที่พวกเราอาศัยอยู่ก็คือ 'เกาะเซล่า' ซึ่งมีภูมิภาคเป็นเพียงแค่เกาะเล็กๆ ในประเทศ 'ไกเซค' ที่แสนจะร่ำรวยแต่กลับไม่ใส่ใจชีวิตของประชาชนบนเกาะเซล่าเท่าไหร่นัก เกาะเซล่านั้นมีทางออกจากเกาะไปได้เพียงทางเดียวนั่นคือสะพานยาวที่เชื่อมต่อกับเมือง 'อินแซง' ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ทิศเหนือสุดบนผืนแผ่นดินประเทศไกเซค ห่างจากเกาะนี้ราวหนึ่งพันกิโลหรืออาจมากกว่านั้น
เมื่อเราทั้งสี่คนมาถึงบนสะพานก็พบว่ามีเฮลิคอปเตอร์กำลังบินอยู่บนสะพานพอดี บนถนนตอนนี้เรียกได้ว่าไม่มีอะไรขยับได้เลย ทำให้ทุกคนต่างลงจากรถและใช้การวิ่งไปแทน ในระยะทางหนึ่งพันกิโลทุกคนต่างวิ่งเพื่อเอาชีวิตรอด พวกเราสี่คนก็เช่นกัน
แต่ในระหว่างที่พวกเราทุกคนกำลังวิ่งหนีตายกันอยู่นั้น เฮลิคอปเตอร์ที่บินอยู่ข้างบนกลับทิ้งวัตถุบางอย่างลงมาที่สะพาน
ไม่ทันไร สะพานที่อยู่ตรงหน้าก็ถูกระเบิดออกตัดขาดจากสะพานอีกฝั่ง นี่มันได้แสดงให้เห็นแล้วว่าแม้จะมีเฮลิคอปเตอร์ซึ่งแน่นอนว่าเป็นของทางภาครัฐผ่านมาเห็นประชาชนวิ่งเอาชีวิตรอด พวกเขากลับไม่ได้แยแสประชาชนบนเกาะเซล่าเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังมีคำสั่งให้ทิ้งระเบิดทำลายสะพาน ตัดทางรอดเพียงหนึ่งเดียวของประชาชนของพวกเขาเพียงเพื่อจะทำให้อันตรายนั้นไม่ส่งผลถึงตน นี่มัน เห็นแก่ตัวชะมัด
แม่ของผมถูกสะเก็ดระเบิดแทงเข้าที่ขาเพราะจุดที่พวกเราอยู่ตอนเฮลิคอปเตอร์ทิ้งระเบิดลงมาถือว่าใกล้กับจุดที่สะพานระเบิดเลยทีเดียว
"กระโดดลงน้ำกันเถอะ นี่คือทางรอดเพียงหนึ่งเดียวของพวกเรา!" มีเสียงตะโกนดังมาจากท่ามกลางฝูงชนที่ไปไม่ทันก่อนสะพานจะขาด ตามมาด้วยเสียงของคนส่วนใหญ่ที่กระโดดลงน้ำไป
"เราควรตามพวกนั้นไปด้วยไหมลูก" แม่ของคนหันมาถาม ผมส่ายหน้าทันทีที่ได้ยินแบบนั้น ไม่มีทางที่จะว่ายน้ำไปถึงอินแซงแน่นอน ด้วยระยะทางที่ไกลและสายน้ำที่ไหลเชี่ยวขนาดนั้น ไม่มีทางที่จะรอดไปได้แน่นอน อีกทั้งหลังจากที่คนเหล่านั้นกระโดดลงไป เหล่าทหารที่อินแซงก็พากันถือปืนเดินมาที่ปลายสะพานอีกฝั่ง ก่อนจะกราดยิงประชาชนของเกาะเซล่าที่ข้ามไปทันก่อนสะพานจะขาดไม่ให้เหลือแม้แต่คนเดียว
นี่มันการันตีแล้วว่าพวกเขาไม่ได้เห็นประชาชนบนเกาะเซล่าเป็นประชาชนของพวกเขาอีกแล้ว เราเป็นเพียงแค่พาหะที่อาจนำคาดาฟติดไปด้วยก็เท่านั้น