และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้พวกเราทั้งสี่ต้องติดอยู่บนเกาะนี้กับกับคนอื่นๆอีกไม่กี่คนเท่านั้น พวกเราคิดหาทางออกจากที่นี้กันมาร่วมเดือนแล้วแต่คำตอบที่ได้กลับมาก็คือ
ไม่มี
ยังไม่มีทางที่พวกเราจะออกไปจากเกาะนี้ได้เลย รวมทั้งยังหาสาเหตุของการที่อยู่ๆ คนพวกนั้นก็กลายเป็นคาดาฟ พวกเราไม่รู้อะไรกันเลย แม้แต่คุณแอมผู้เป็นคุณครูสอนวิทยาศาสร์ที่รอดอยู่ก็ไม่รู้คำตอบของคำถามนั้น
"อาหารใกล้หมดแล้ว" พี่วิน ผู้นำของกลุ่มกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด ตอนนี้กลุ่มของพวกเรามีสมาชิกเพียงแค่หกคนเท่านั้น และคาดว่าเป็นเพียงหกคนที่รอดชีวิตบนเกาะนี้อีกด้วย แม้ในตอนแรกกลุ่มของเราจะมีแปดคนแต่สามคนนั้นก็ทำให้เราพบข้อเท็จจริงที่ว่าคนที่กลายร่างเป็นคาดาฟคือคนที่อายุ 30 ปีบริบูณร์แต่ยังหาคู่ชะตาของตนไม่เจอ
เสบียงในช่วงเวลานี้นับว่าหาได้ยากมาก เพราะพวกคาดาฟไม่เพียงแต่กินมนุษย์เท่านั้น มันยังกินผลไม้ อาหารกระป๋อง สัตว์ต่างๆและไม่เว้นแม้แต่คาดาฟด้วยกันเอง นับเป็นอสูรกายที่ตะกละตะกลามไม่น้อยเลยทีเดียว
ผมและครอบครัวทำหน้าที่เป็นผู้นำทางให้กับคนอื่นๆ ในกลุ่มเพราะพี่วินหรือผู้นำของกลุ่มนั้นเป็นทหารที่เพิ่งย้ายจากอินแซงเข้ามาทำงานที่เกาะเซล่าก่อนที่จะเกิดคาดาฟเพียงแค่สองวันเท่านั้น ส่วนคุณแอมก็ไม่เคยได้ไปที่ไหนเลยนอกจากที่โรงเรียนและบ้านของตน ถึงแม้ว่าเกาะแห่งนี้จะมีขนาดเล็กมาก แต่กลับมีซอยมีแยกเยอะเสียจนคนที่อาศัยอยู่ก็สับสนได้เช่นกัน
ตอนนี้พวกเราหกคนอาศัยอยู่ในโรงเรียนที่คุณแอมทำงานอยู่ พวกเราแอบอยู่ในห้องสมุดของโรงเรียนนั้นและจะออกหาเสบียงกันในตอนเช้า ซึ่งจะเป็นเวลาที่พวกคาดาฟเชื่องช้าที่สุด จากการสังเกตดูเหมือนพวกมันจะไม่ชอบแสงกันเท่าไหร่นัก
"พี่ ได้เจอคู่ชะตาพี่บ้างหรือยัง" ปลายฝนถามผมพร้อมกับค่อยๆ นั่งลงข้างๆ
จริงด้วย ผมเอาแต่คิดเรื่อคาดาฟจนลืมไปเสียสนิทเลยว่าถ้าเราไม่เจอคู่ชะตาของเราก่อนอายุ 30 ก็จะต้องตาย หรือจากกรณีในตอนนี้คงต้องเรียกว่าเป็นการกลายร่างเสียมากกว่า
"แล้วฝนเจอคู่ชะตาฝนหรือยัง" ผมถามน้องสาวที่จู่ๆ ก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมา ปลายฝนหันมาพยักหน้าให้ผม
เจอกันแล้วสินะ
"จริงเหรอ เขาเป็นยังไง" ผมถามออกไปพร้อมกับเห็นใบหน้าของน้องสาวผมแดงขึ้นเล็กน้อย เขาคงจะหล่อมากเลยสินะ เมื่อไหร่ผมจะได้เห็นคู่ชะตาของผมในฝันบ้างกันนะ อย่างน้อยก็ขอเห็นสักครั้งก่อนตายก็ยังดี หลังจากบทสนทนานั้นจบลงก็ไม่มีใครพูดอะไรอีก ทำให้ภายในห้องสมุดมีเพียงความเงียบ
"พวกเราออกไปหาเสบียงเพิ่มกันดีไหมคะ" คุณแอมพูดขึ้นท่ามกลางความเงียบและนั่นก็ถือเป็นข้อเสนอที่ไม่เลวเลยทีเดียว
เมื่อทุกคนตกลงกันแล้วว่าจะออกไปก็เตรียมตัวออกเดินทางกันในทันที
ผมและครอบครัวนำทางทุกคนไปยังห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งใกล้กับโรงเรียนหวังว่าที่นั้นจะยังมีอาหารเหลืออยู่บ้างนะ
พวกเราเดินตรงเข้าไปยังศูนย์อาหารทันที แปลกมากที่ระหว่างทางนั้นไม่มีคาดาฟโผล่มาให้เห็นเลยแม้แต่ตัวเดียว หรืออาจเพราะว่านี่เป็นตอนเช้ากัน
หลังจากเดินหากันอยู่พักใหญ่ก็ยังไม่เห็นวี่แววของอาหารที่เหลืออยู่เลย หรือพวกคาดาฟจะกินอาหารแถวนี้จนหมดแล้วย้ายไปที่อื่นกันแล้วนะ
"นั่นไง" แม่ของผมพูดขึ้นหลังจากที่ท่านสังเกตเห็นอาหารกระป๋องวางอยู่กลางทางเดิน ซึ่งนี่มันแปลกมากๆ ทำไมมันถึงไปวางอยู่ตรงนั้นแค่กระป๋องเดียว ระหว่างที่ผมกำลังคิดอยู่พ่อกับแม่ของผมก็เดินเข้าไปหยิบอาหารกระป๋องนั้นออกมาและ
"ระวัง!" เสียงของพี่วินตะโกนลั่นเมื่อจู่ๆ ก็มีฝูงคาดาฟนับร้อยลงมาจากเพดานและตรงเข้าไปหาพ่อของผม พี่วินพยายามยิงสะกัดพวกมันเอาไว้แต่ว่านั้นก็ไม่เพียงพอที่จะหยุดพวกมันเอาไว้ได้ ฝูงคาดาฟพุ่งตรงเข้าไปหาพ่อแม่ของผม แต่ผมกลับทำอะไรไม่ได้เลย ขาผมมันไม่ขยับเลย
พวกมันเริ่มรู้จักที่จะทำงานกันเป็นกลุ่ม เริ่มรู้จักการใช้เหยื่อล่อและพวกเราก็ติดกับพวกมันอย่างง่ายดาย
ภาพที่ผมเห็นในตอนนี้คือพ่อแม่ของผมที่กำลังโดนอสูรกายจำนวนนับไม่ถ้วนรุมฉีกทึ้งร่างกายของพวกท่านแล้วกัดกินอย่างเอร็ดอร่อย
ผมอยู่บนโลกที่หากใครไม่สามารถหาคู่ชะตาของตัวเองเจอก่อนวัย 30 ปี คนเหล่านั้นจะกลายร่างเป็นสัตว์ประหลาดที่มีรูปร่างเหมือนมนุษย์ปกติ ต่างเพียงแค่พวกมันนั้นไม่หายใจ ไม่มีชีวิต เดินไปมาราวกับศพเดินได้และจ้องจะกัดกินทุกสิ่งที่พวกมันเห็น พวกเราที่เหลือรอดทั้งหมดต่างเรียกพวกมันว่า "คาดาฟ"
พวกเราต้องหาคู่ชะตาของตนให้เจอก่อนจะอายุ 30 แต่ต่อให้เจอกันก็ยังไม่มีอะไรรับประกันได้เลยว่า พวกเราจะไม่ถูกพวกคาดาฟจับกิน อย่างเช่นพ่อแม่ของผมตอนนี้
และที่โหดร้ายยิ่งไปกว่านั้นก็คือ
พวกมัน 'วิวัฒนาการตัวเอง' ได้แล้ว