โลกนี้ทุกคนต่างมองเห็นสเตตัสและเลเวลของคนอื่น การที่มีเลเวลต่ำหรือไม่ได้ครอบครองสกิลดี ๆ เลยสักอย่างเป็นเรื่องที่ทำให้ถูกคนอื่นเหยียดหยามเอาได้ แต่ยูกิโตะหาได้สนใจเรื่องนั้น ใครจะมองอย่างไรก็ช่าง เขาคิดว่าจะไม่ต่อสู้อีก ที่ผ่านมาเขาก็สู้มาจนเกินพอแล้ว
เขาเคยสละชีวิตเพื่อหยุดทรราชในโลกเดิม ต่อให้เขาไม่คิดจะทำอะไรกับวายร้ายของโลกนี้ก็ไม่มีใครมีสิทธิ์มาว่าเขาได้ ยูกิโตะแค่อยากใช้ชีวิตอย่างสงบสุขบ้าง
"อะไรกัน สู้กลับไปบ้างสิ เพราะนายมันทำตัวแหยแบบนี้ถึงได้โดนเด็กมันดูถูกให้" หญิงสาวผู้เป็นเพื่อนสนิทของยูกิโตะโวยวายเมื่อเห็นเขาเนื้อตัวมอมแมม เธอเดาได้ทันทีว่ามันคือเรื่องเดิม ๆ เขาคงจะถูกพวกเด็กเกเรในหมู่บ้านหาเรื่อง
"สู้ไปก็ไม่ได้อะไรนี่นา" ยูกิโตะหัวเราะเบา ๆ
"คำพูดแบบนั้น ถ้าออกจากปากคนที่เก่งจริงมันก็เท่อยู่หรอก" หญิงสาวผู้มีนามว่ารินถอนหายใจยาว
เธอไม่เคยเป็นห่วงใครเท่านี้มาก่อน ในสายตาของริน ยูกิโตะอ่อนแอและเปราะบางจนดึงดูดสิ่งไม่ดีเข้ามาในชีวิตเสมอ และเขาไม่มีทางเอาตัวรอดได้ถ้าไม่มีเธอคอยช่วยเหลือ
เขาไม่ได้รังเกียจที่ถูกมองแบบนั้น สำหรับคนที่โดดเดี่ยวมานานนับสิบ ๆ ปี การที่มีใครสักคนคอยห่วงใยบ้างก็เป็นความรู้สึกที่ไม่เลวนัก
แต่ชีวิตสงบสุขของยูกิโตะก็ไม่ราบรื่นอย่างที่หวัง ในปีนั้นมีข่าวลือที่น่าหวาดหวั่นแพร่สะพัดไปทั่ว…
จอมมารถูกโค่นล้ม
หากเป็นโลกอื่นข่าวลือเช่นนี้คงนับว่าเป็นข่าวดี แต่ไม่ใช่สำหรับเรนิเซียนแห่งนี้ จอมมารที่เพิ่งถูกโค่นล้มไปแตกต่างจากจอมมารรุ่นก่อน ๆ เขาอยู่ในตำแหน่งราชาของเผ่าปีศาจมากกว่าตำแหน่งทรราชผู้ชั่วร้าย กว่าสองร้อยปีที่จอมมารตนนี้ครองตำแหน่ง มันทำให้ความตึงเครียดระหว่างเผ่าปีศาจและมนุษย์เบาบางลง ถ้าจะเรียกว่ามันคือยุคที่สงบสุขที่สุดของเรนิเซียนก็คงจะไม่เกินเลยไป
สิ่งที่ยูกิโตะรู้มาทำให้หัวใจของเขาแทบจะหยุดเต้น ผู้ที่โค่นล้มจอมมารและกลายมาเป็นจอมมารคนใหม่เรียกตนเองว่า "โชกุนปีศาจ"
ยูกิโตะหวังว่ามันจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญ แต่เขารู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้ เรนิเซียนไม่มีวัฒนธรรมแบบญี่ปุ่น โชกุนปีศาจที่ว่านี้ไม่มีทางเป็นใครอื่นไปได้นอกจากศัตรูคู่แค้นที่เขาเคยล้มในโลกแห่งนินจา
เป็นปีที่เหมือนกับฝันร้าย สงครามระหว่างเผ่าพันธุ์ขยายวงกว้างขึ้นในทุกวัน เผ่าปีศาจแตกต่างจากมนุษย์ที่แบ่งออกเป็นหลายกลุ่มหลายเชื้อชาติ แม้พวกมันจะดูเหมือนมีกลุ่มย่อย ๆ ที่ภายนอกแตกต่างกัน แต่ทุกฝ่ายต่างก็นับว่าเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพขนาดยักษ์ที่นำโดยจอมมาร เมื่อจอมมารหันคบดาบเข้าหามนุษย์ความโกลาหลจึงเกิดขึ้นในทุกหย่อมหญ้า
อาณาจักรโซเชียที่ยูกิโตะใช้ชีวิตอยู่ก็ประสบปัญหาไม่ต่างจากมุมอื่นของโลก ประเทศนี้มีพื้นที่ทางตอนใต้ติดกับอาณาเขตของพวกก็อบลิน เดิมทีก็อบลินพวกนี้ก็ไม่ได้สร้างความเดือนร้อนให้มากมายนัก พวกมันมีหลายกลุ่มและคอยต่อสู้แย่งชิงอาณาเขตกันเองจนไม่เหลือกำลังพอที่จะมารุกรานโซเชีย
ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าอะไรคือสาเหตุที่แท้จริง แต่หลายคนเชื่อว่ามันเกี่ยวกับการที่โชกุนปีศาจมีความปรารถนากันแรงกล้าที่จะรวบรวมแผ่นดินทั้งหมดให้เป็นหนึ่ง เขาใช้พลังบางอย่างกับก็อบลินและทำให้ก็อบลินคิงที่ไม่เคยมีมานานถือกำเนิดขึ้น
...ต้องฝากความหวังของโลกนี้ไว้กับคนของที่นี่ ส่วนหน้าที่ของฉันน่ะหมดสิ้นไปตั้งแต่ชาติที่แล้ว…
ยูกิโตะเคยคิดแบบนั้น แต่เมื่อรู้ตัวอีกครั้งเขาก็เดินทางออกจากเมืองเกิดและมุ่งหน้าลงสู่ทิศใต้โดยไม่ได้แม้แต่ร่ำลาริน
หมู่บ้านพิลูท หมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ชาวบ้านส่วนใหญ่มีอาชีพทำเกษตรกรรม
หมู่บ้านแห่งนี้ก็มีกิลด์ของนักผจญภัยอยู่เช่นเดียวกับเมืองใหญ่ แต่ที่นี้กลับมีนักผจญภัยอยู่ไม่มากนัก เหตุเพราะงานส่วนใหญ่ของสาขานี้ไม่ค่อยล่อตาล่อใจนัก ภารกิจของที่นี่เต็มไปด้วยงานยุ่งยากที่มักจะเกี่ยวกับพวกก็อบลินในขณะที่ค่าตอบแทนก็จำกัดเนื่องจากฐานะของผู้จ้าง
ถึงจะไม่ร่ำรวย แต่ยูกิโตะก็สามารถบอกได้ว่าที่นี่คือหมู่บ้านที่ดี ผู้คนรักใคร่สามัคคีและช่วยเหลือกันดีแม้จะเป็นยามหน้าสิ่วหน้าขวาน พวกเขาต้อนรับคนแปลกหน้าอย่างยูกิโตะราวกับญาติมิตรก่อนที่จะรู้ด้วยซ้ำว่าเขามาที่หมู่บ้านนี้ด้วยจุดประสงค์ใด
คนในพื้นที่ไม่ใช่ปัญหาของเขา พวกที่ทำให้เขาปวดหัวกลายเป็นคนในกิลด์นักผจญภัย เพราะข่าวลือเรื่องของก็อบลินคิงกำลังรวบรวมก็อบลินเผ่าต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ทางการจึงออกงบพิเศษให้กับนักผจญภัยที่สมัครใจมารับงานปราบก็อบลินที่นี่ นั่นทำให้นักผจญภัยไร้ฝีมือแต่หวังรวยทางลัดมารวมตัวกันที่นี่ และยูกิโตะก็ถูกมองว่าเป็นหนึ่งในนั้น
ไม่ใช่เรื่องที่เกินความคาดหมายนัก จอมเวทที่เลเวลเท่ากับเขามีมากมายดาษดื่น แม้แต่เด็กในหมู่บ้านบางคนก็ยังมีเลเวลสูงกว่ายูกิโตะเลยด้วยซ้ำ เขาถูกตัดสินจากสเตตัสด้านเดียวว่าเป็นหนึ่งในปลิงที่คิดจะมาหาประโยชน์กับกิลด์
"เอ่อ… ไม่ทราบว่ามีประสบการณ์ในการปราบปรามมอนสเตอร์มาก่อนหรือเปล่าคะ"
"ไม่มี" ยูกิโตะตอบไปตามสัตย์จริง เขาไม่เคยฆ่ามอนสเตอร์ตัวใดมาก่อน ในโลกนินจาที่ผ่านมาก็ไม่มีศัตรูแบบอื่นนอกจากมนุษย์ด้วยกัน
...ไม่สิ ทัพของโชกุนปีศาจจะเรียกว่ามอนสเตอร์ได้ไหมนะ พวกนั้นก็ไม่ใช่คนนี่ เออ ช่างมันเถอะ ตอบไปแล้วนี่ว่าไม่เคยสู้...
พนักงานมีสีหน้าหนักใจ "อย่าประมาทก็อบลินนะคะ ถึงอยู่ตามลำพังจะอ่อนแอ แต่ถ้ารวมกลุ่มแล้วจะอันตรายมาก ถ้าจะล่าพวกมันอย่างน้อยก็รวมกลุ่มกับคนที่เคยมีประสบการณ์นะคะ"
"เห็นเลเวลหมอนั่นหรือเปล่า" นักผจญภัยรายหนึ่งวิจารณ์แบบตั้งใจให้ยูกิโตะได้ยิน "พวกที่เห็นว่าทางการให้งบเพิ่มสำหรับงานกำจัดก็อบลิน ก็เลยมาลองเสี่ยงดวงสินะ"
"ต๊าย น่ารักจริง เลเวลน้อยอย่างกับเด็กเลย" หญิงสาวในกลุ่มเดียวกันหัวเราะ
"นี่อย่าไปหัวเราะเค้าสิ นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะ เดี๋ยวก็ได้ตายเข้าจริง ๆ หรอก" หนุ่มคนสุดท้ายเป็นคนเดียวที่ไม่ได้ดูพูดไปขำไป ยูกิโตะดูไม่ออกว่าเขาเล่นละครหรือจริงใจแต่อย่างน้อยก็ฟังดูระคายหูน้อยกว่าสองคนแรก
เขาพยายามไม่ใส่ใจ หลังลงทะเบียนเสร็จก็มีนักผจญภัยหลายคนที่เข้ามาทัก ซึ่งส่วนใหญ่คนที่เป็นนักผจญภัยดั้งเดิมของสาขานี้ดูเหมือนจะเป็นห่วงเขาจริง
"ข้าดีใจนะที่มีคนมาช่วยหมู่บ้านเยอะ ๆ แต่ถ้าเจ้ามาแล้วตายขึ้นมามันก็ทำให้ลำบากใจนะ ยังไงอย่างน้อยก็น่าจะมารวมกลุ่มกับพวกเรา" ชายร่างใหญ่พูดใส่แบบตรงไปตรงมา เขาฟันธงไปแล้วว่าถ้าไม่มีกลุ่ม ยูกิโตะคงไม่มีทางรอด
"ข้าดูแลตัวเองได้ ขอบคุณท่านทั้งสองที่เป็นห่วง" ยูกิโตะขอบคุณชายคนนั้นและหญิงสาวชุดสีม่วงที่มาพร้อมกัน
"ไม่ได้เป็นห่วงอะไรสักหน่อย อุตส่าห์มีน้ำใจมาชวน ถ้าอยากไปเสี่ยงตายคนเดียวก็เอาเถอะ" ฝ่ายผู้หญิงตอกกลับด้วยเสียงเหวี่ยง ๆ ยูกิโตะไม่เข้าใจว่าเธอโกรธอะไร เขาว่าเขาก็ปฏิเสธอย่างสุภาพแล้ว
ยูกิโตะพับเรื่องทุกอย่างทิ้ง สิ่งที่เขาสนใจในตอนนี้มีแค่สองเรื่องคือการรักษาสมดุลระหว่างการเอาชีวิตรอดและการช่วยเหลือไม่ให้หมู่บ้านนี้ถูกทำลายจากก็อบลิน
ทั้งสองเรื่องกลายเป็นเรื่องเดียวกัน เพราะค่าตอบแทนที่เพิ่มขึ้น เขาก็จะรอดพ้นจากการอดตายไปได้ ยูกิโตะเริ่มจากการรับงานปราบปรามก็อบลินกลุ่มเล็ก ๆ ก่อน
ก็อบลินไม่กี่ตัวไม่ใช่ปัญญาสำหรับเขางานทั้งหมดที่รับมาจึงจบลงอย่างรวดเร็ว เร็วไปจนบ่อยครั้งเขาถูกตั้งคำถามว่าเขาทำภารกิจสำเร็จจริงหรือไม่ แต่ทุกคนก็ไม่สามารถพูดอะไรได้เพราะยูกิโตะมีหลักฐานคือศพของก็อบลินจำนวนมากที่ถูกเขาจัดการ
เรื่องที่ทำให้ทุกคนยิ่งสงสัยก็คงเป็นเลเวลที่ต่ำจนน่าใจหายของเขาไม่เปลี่ยนแปลงเลยแม้จะล่าก็อบลินไปขนาดนั้น ข่าวลือไม่ดีของเขาจึงถูกพูดถึงกันมากขึ้น
"หมอนั่นทำยังไงถึงล่าก็อบลินเยอะแยะแบบนั้น แต่เลเวลไม่ขึ้นเลย"
"หรือว่าเป็นพวกวางกับดัก ถ้าวางกับดักทิ้งไว้แล้วเจ้าตัวอยู่ไกลเกินไปก็ไม่ได้ค่าประสบการณ์ใช่ไหม"
สำหรับนักผจญภัยทั่วไปมันไม่มีคำตอบสำหรับเรื่องนั้น แต่ยูกิโตะรู้เหตุผลเป็นอย่างดี มันเป็นเพราะเขาใช้วิชานินจาในการสังหารหมู่พวกก็อบลิน ไม่ใช่ว่าเขาไม่ได้ค่าประสบการณ์ แต่ค่าประสบการณ์ทั้งหมดดันไปขึ้นที่หน้าต่างสเตตัสในโลกเดิม ในขณะที่หน้าต่างในฐานะจอมเวทของเขานั้นเกือบจะนิ่งสนิท
ยูกิโตะยังไม่ได้ทดสอบอย่างจริงจัง แต่ข้อสันนิษฐานของเขาคือทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้เขาเอาชนะศัตรูเป็นผลลัพธ์มาจากวิชานินจาทั้งนั้น มันจึงทำให้อาชีพในฐานะจอมเวทของเขาไม่กระเตื้อง
ถ้าต้องการให้คนยอมรับมากขึ้น ยูกิโตะจำเป็นต้องเพิ่มเลเวลของจอมเวทด้วย แต่เขาไม่ได้สนใจเลย
ยิ่งนานวันสถานการณ์ก็ยิ่งตึงเครียด กองทัพของโซเชียที่เคยมีกำหนดการจะเคลื่อนพลลงมาเสริมกำลังป้องกันก็ถูกยกเลิกกะทันหันเนื่องจากเกิดศึกสำคัญทางทิศตรงกันข้าม งบสำหรับภารกิจจัดการกับก็อบลินเองก็ถูกตัดลงจนน่าใจหาย ไม่ว่าใครต่างก็คิดเหมือนกันว่าหมู่บ้านพิลูทถูกทิ้งเสียแล้ว
"ต้องอพยพขึ้นเหนือ พวกเราทุกคนจะปลอดภัยหากไปถึงป้อมปราการโบลอมได้" หัวหน้าหมู่บ้านคุยปรึกษากับบรรดาผู้อาวุโส หัวหน้ากิลด์นักผจญภัย และข้าหลวงที่ถูกส่งมาแจ้งข่าว
"แต่ถ้าทิ้งที่ทำกินไป เราไม่ต้องอดตายกันหมดเหรอ"
"ถ้าพวกก็อบลินบุกมา ก็ตายกันหมดก่อน ไม่ต้องรอจนถึงอดตายหรอก"
นักผจญภัยไร้อันดับแบบยูกิโตะไม่ได้อยู่ถูกเชิญให้ร่วมประชุมด้วย แต่เขาได้ยินการสนทนาทุกอย่างโดยไม่ตกหล่นผ่านวิชานินจาเสริมทักษะการได้ยิน ข้อสรุปของการประชุมไม่แตกต่างจากที่เขาคาดไว้ พวกเขาแน่ใจว่ากองทัพใหญ่ของก็อบลินกำลังจะผ่านหมู่บ้านนี้ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
"ฝากท่านผู้ใหญ่บ้านดูแลเรื่องการอพยพไป ส่วนข้าจะลองหาวิธีดูว่าจะถ่วงเวลาพวกมันไว้ได้ไหม"
"ตอนนี้นักผจญภัยมีเหลือเท่าไหร่ขอรับ"
"รวมข้า นักผจญภัยท้องถิ่น และพวกที่ยังทำภารกิจค้างอยู่ก็น่าจะร่วมร้อยคน แต่ข้าติดต่อไปยังสาขาอื่นเพื่อขอกำลังคนเพิ่มแล้ว ถ้าโชคดีเราอาจจะได้มามากถึงสามร้อยคน"
"ถ้าโชคดี…" หัวหน้าหมู่บ้านถอนหายใจ
"แล้วพวกก็อบลินล่ะ พวกมันอาจจะไม่ได้เอาทัพใหญ่มาก็ได้ใช่ไหม" อีกคนถามอย่างยังมีหวัง
"สายข่าวรายงานว่าน่าจะมีอย่างน้อยหนึ่งแสนตน" รองหัวหน้ากิลด์ตอบตามจริง ไม่มีประโยชน์ที่จะให้ความหวังลม ๆ แล้ง ๆ โอกาสรอดเดียวของคนในหมู่บ้านคือหนีไปให้ไกลขณะที่ยังทำได้
แล้ววันที่ทุกคนหวาดกลัวก็มาถึง บริเวณที่ราบสูงทางตอนใต้ของหมู่บ้านพิลูท กองทัพก็อบลินจำนวนหนึ่งแสนตนก็ปรากฏตัวขึ้น แตกต่างจากการโจมตีของก็อบลินทั่วไปที่เหมือนกับกองโจร ก็อบลินที่มีราชานั้นมีการจัดทัพกันมาเป็นอย่างดี ก็อบลินไรเดอร์ที่ขี่ไดร์วูล์ฟทำหน้าที่เป็นกองหน้า ก็อบลินชูตเตอร์ที่อยู่แนวหลังมีทั้งหนังสติ๊ก หอก หรืออุปกรณ์ที่เหมือนกับหน้าไม้ พวกมันมีแม้แต่ก็อบลินที่สามารถใช้เวทมนตร์ร่วมทัพมาด้วย
ยูกิโตะในวันนี้อยู่ในชุดที่แปลกตา ไม่ใช่ชุดของชาวบ้านแบบที่เขาใช้อยู่ตลอดและก็ไม่ใช่ชุดจอมเวทอย่างอาชีพที่เขาถูกยัดเยียดให้ตั้งแต่เกิด มันเป็นชุดสีดำทั้งตัวใบหน้าครึ่งล่างถูกซ่อนไว้แต่ทุกคนที่เคยเห็นเขาต่างพากันจำได้ว่าเขาคือใคร
ยูกิโตะไม่ได้สนใจคำสั่งที่ให้รอ เขารู้ดีว่าเบื้องหน้าของกองกำลังมีหลุมพรางกับดักจำนวนนับไม่ถ้วน แต่สิ่งเหล่านี้ยังไม่เพียงพอที่จะหยุดก็อบลินนับแสนได้ ถ้าเขาไม่ลงมือก่อนจะมีผู้คนมากมายต้องสละชีวิต
คาเนชิโระ ยูกิโตะใช้วิชานินจาเดินผ่านหลุมพรางทั้งหมดไปอย่างหน้าตาเฉย ในขณะที่ทุกคนกำลังตกใจที่เห็นเขาล้ำหน้าออกไปเพียงลำพัง ยูกิโตะก็ใช้วิชานินจาต่อมา นี่เป็นครั้งแรกที่เขาใช้วิชานินจาต่อหน้าผู้คนในโลกนี้
"วิชานินจา… หมื่นร่างเงาอสูร" เขาพึมพำ ในพริบตาต่อมาเงาของเขาก็แยกออกมาและกลายตัวไปจนทั่ว มันคือตัวเขาเองอีกเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าตน
สงครามระหว่างมนุษย์เพียงคนเดียวที่แยกร่างนับหมื่นกับก็อบลินเริ่มขึ้น ยูกิโตะเปิดใช้สกิลคลังเก็บของนินจา สกิลที่การทำงานเหมือนกับคลังเก็บของมิติที่เขามีในโลกนี้ ต่างกันเพียงแค่มันเป็นสกิลที่เขาได้มาจากโลกเดิมและข้าวของที่อยู่ในนั้นก็มาจากโลกนินจาด้วยเช่นกัน
ชุดที่ยูกิโตะใช้ ดาบแบบยูเมะคุอิ ดาวกระจาย และอีกสารพัดอุปกรณ์นินจาเป็นสิ่งที่ตกค้างมาจากโลกเดิม แม้พวกมันจะไม่ใช่ข้าวของที่ดีที่สุดที่ยูกิโตะเคยใช้เพราะทุกอย่างที่เขาสวมใส่ก่อนตายไม่ได้ตามมาด้วย แต่อย่างน้อยมันก็คือข้าวของชั้นรองลงมา
ยูกิโตะเคยคิดว่าเขาเสียทุกอย่างไปแล้วในตอนที่ตายลงในโลกก่อน แต่มันไม่ใช่เลย เขาอาจจะเสียตัวตนเดิม ฐานะชื่อเสียง เกียรติประวัติที่สั่งสมมาตลอดสี่สิบกว่าปี แต่นั่นไม่ใช่ทุกอย่างของเขา อย่างน้อยที่สุดเขายังมีสกิล สเตตัสและข้าวของส่วนหนึ่งที่ยังเหลืออยู่ในสกิลคลังเก็บของนินจา
ชูริเคนถูกขว้างออกไป บางส่วนขยายใหญ่ขึ้นจนมีขนาดใหญ่พอที่จะตัดร่างก็อบลินออกเป็นสองส่วน บางส่วนเมื่อสัมผัสกับเป้าหมายก็ระเบิดและเปลี่ยนบริเวณนั้นให้กลายเป็นทะเลเพลิง มีกระทั่งชูริเคนที่ถูกสลับที่กับร่างแยกและจบลงที่การตัดศัตรูเป็นชิ้น ๆ
ก็อบลินไม่ได้เอาแต่ตั้งรับ พวกมันพยายามค้นหาจุดอ่อน ก็อลลินชาแมนตัวหนึ่งร่ายเวทเพื่อตรวจสอบหาร่างจริง มันใช้เวลาไม่นานก็รู้ว่ายูกิโตะอยู่ที่ไหน แต่การจับเขาให้อยู่หมัดเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้เลย ยูกิโตะมีวิชามากมายที่ทำให้เขาสามารถสลับที่กับท่อนไม้ ใช้ควันอำพราง หรือแม้แต่คาถาลวงตา
ไม่นานนักหนึ่งในร่างแยกของยูกิโตะก็เข้าประชิดตัวก็อบลินคิงได้ อีกฝ่ายเองก็ไม่ได้รออยู่เฉยมันร่ายเวทเพื่อเสริมพลังตนเองเอาไว้แล้ว ทั้งสองฝ่ายต่างเข้าปะทะกันด้วยความเร็วสูง
ก็อบลินคิงต่างจากก็อบลินตัวอื่น ไม่เพียงแค่เรี่ยวแรง สติปัญหา มันยังเร็วจนสามารถหยุดดาบของร่างแยกยูกิโตะได้
ในชาติที่แล้วยูกิโตะถูกพร่ำสอนมาว่านินจาคือมือสังหาร หน้าที่ของเขาไม่ใช่การดวลและเอาชนะ แต่มันคือการทำทุกทางเพื่อให้แน่ใจว่าเป้าหมายจะถูกกำจัด ยูกิโตะจึงไม่ได้ใช้แค่ดาบในการรับมือกับก๊อบลินคิง เขาใช้อาวุธลับที่เรียกว่าคุไนซัดใส่อีกฝ่ายโดยหวังว่าพิษร้ายแรงถึงสี่ชนิดจะทำให้ศัตรูถึงฆาต
มันไม่เคยไม่ได้ผล แม้แต่นินจาที่มีต้านทานพิษสูงก็ยากที่จะรับมือกับพิษชนิดพิเศษที่ยูกิโตะเตรียมไว้ สิ่งที่ยูกิโตะคิดไม่ถึงคือก็อบลินคิงไม่ได้แค่มีสกิลต้านพิษ แต่มันมีสกิลพิษไร้ผล
"ยุ่งยากเข้าไปอีก" เขาถอนหายใจ
เมื่อเห็นยูกิโตะสู้อย่างดุเดือดตามลำพัง หลายคนก็ไม่สามารถอดกลั้นไว้ได้อีก พวกเขาเลิกหวังพึ่งกับดักที่อาจจะไม่มีวันได้ใช้และพยายามฝ่าออกไป หัวหน้ากองกำลังเห็นแบบนั้นก็ไม่อดทนเช่นกัน เขาสั่งให้นักรบทุกคนเปิดฉากโจมตีบ้าง
ก็อบลินทั่วไปถ้าไม่หวาดกลัวจนหนีทัพไปก็ล้วนถูกยูกิโตะและผู้คนที่ทยอยตามมาสังหารจนเกือบหมดสิ้น พวกระดับสูงรับมือได้ยากกว่าแต่ก็ถูกยูกิโตะกันออกห่างจากราชาของพวกมัน เวลานี้จึงมีเพียงร่างแยกสี่ตนเท่านั้นที่กำลังเผชิญหน้ากับก็อบลินคิง
ยูกิโตะล้อมหน้าล้อมหลัง ร่างแยกที่อยู่หน้าสุดของก็อบลินคิงเผชิญหน้าตรง ๆ ด้วยดาบยูเมะคุอิที่มีความยาวแค่ราวสองฟุต ด้านข้างคนหนึ่งใช้เคียวโซ่พยายามยึดร่างของราชาเอาไว้ ส่วนอีกคนก็ใช้อาวุธลูกตุ้มติดโซ่ก่อกวนในลักษณะเดียวกัน คนสุดท้ายที่อยู่ข้างหลังมีกรงเล็บเหล็กอาบยาที่มีผลทำให้เป็นอัมพาตแต่เขาไม่ได้หวังแค่การสร้างบาดแผลเล็ก ๆ น้อย ๆ ทุกการโจมตีคือการโจมตีหวังผลที่ต้องการให้ถึงชีวิต