เขาออกไปจากแกนกลางของดวงดาวไม่ได้ เพราะเมเรสขังเขาเอาไว้
พลังอัลฟ่ากำลังถ่ายโอนกลับมาให้เขาก็จริง แต่สิทธิทั้งหมดยังไม่ได้อยู่ที่เขา ดวงดาวจึงยังทำตามคำสั่งของเมเรสไปจนกว่าพลังจะกลับมาอย่างสมบูรณ์
ซึ่งไนท์ก็รู้อยู่แล้วว่ามันจะเกิดอะไรต่อไป อาเบลและชาร์ลจะฆ่าเมเรส ส่วนตัวเขาก็ต้องรออยู่ที่นี่เหมือนเป็นคนที่ถูกแย่งชิงพลังไปตั้งแต่แรก ทุกอย่างจะเป็นเหมือนเดิม เขาจะกลับมาเป็นอัลฟ่าที่มีทุกสิ่ง บัญชาได้ทุกอย่าง แต่ว่า...
ไม่มีเมเรส...ไม่มีหนทางออกจากพันธนาการนี้ ไม่มีทางปลดปล่อยเวสต์และคนอื่นๆ การกดขี่โอเมก้าจะยังคงเป็นเหมือนเดิม จักรวาลจะดำเนินไปในทางที่สมควร ในทางที่พระเจ้าได้ขีดเส้นเอาไว้
ทางที่เขาไม่ต้องการ
ไนท์สะบัดศีรษะ
ถ้าจะเป็นแบบนั้นก็จงให้เขาตายไปเถอะ!
เมเรสคิดว่าเขาไม่เคยคิดเรื่องเป็นแกนนำเพื่อเปลี่ยนแปลงจักรวาลเลยหรือ? คิดว่าเขาไม่เคยวางแผนอะไรเลยเรอะ?
ผิดแล้ว เขาคิดอยู่ทุกวัน...วางแผนมาตลอด ถึงวิธีการที่จะปลดปล่อยโอเมก้าและเบต้าให้เป็นอิสระ แต่หลังจากพูดคุยกับชาร์ล อาเบล และอัลฟ่าคนอื่นๆ ทั้งในและนอกที่ประชุม เขาก็พบความจริงอันน่าตกใจว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำให้อัลฟ่าเข้าใจความรู้สึกของเหล่าผู้ใต้บัญชา
คำพูดปากเปล่าไร้ประโยชน์ แม้แต่การลงมือทำก็มีแต่ทำให้เกิดความโกรธแค้นอย่างที่ตอนแรกเขาเป็น มันไม่เกิดความเข้าใจใดๆเลยในหัวของอัลฟ่าที่อวดอ้างว่าตนทรงปัญญา มันเหมือนกับว่ามีเส้นกั้นบางๆที่บดบังพวกเขาไว้จากความจริงอันนี้ ราวกับว่าพระเจ้าผู้สร้างเราขึ้นมาไม่อยากให้ลูกรักได้รับรู้ถึงความเจ็บปวดของเหล่าทาสและประชาชน
แผนการจึงไม่ใช่แค่ยากลำบาก แต่มันไม่มีความหวังเลยต่างหากที่จะทำให้จักรวาลร่วมมือ และการต่อต้านโอวาทของพระเจ้าก็คือการต่อสู้กับดวงดาวนับล้านล้านดวงเพียงลำพัง
วันนั้นราชาดาวออลเรียสิ้นหวังแค่ไหน ไนท์พอจะนึกออกแล้ว ไม่ใช่แค่รู้ถึงจุดจบตัวเอง แต่เพราะรู้ว่าท้ายที่สุด ทุกอย่างที่เหนื่อยยากผ่านมาจะไม่มีสิ่งใดเหลืออยู่เลยต่างหาก
ตอนนี้ก็เช่นเดียวกัน เขากำลังสิ้นหวังที่ทุกอย่างที่ทำมาจะต้องกลับมาเริ่มต้นใหม่ เมเรสถูกทำลาย เขาเป็นอัลฟ่า จักรวาลหมุนไปตามธรรมเนียมปฏิบัติอันเดิมที่ทุกคนเชิดชู เขาต้องเริ่มต่อสู้จากศูนย์ ไม่เช่นนั้นก็ต้องยอมแพ้ต่อกฏเกณฑ์อันเป็น นิรันดร์
ซึ่งเขาไม่ปรารถนาให้มันเป็นเช่นนั้น
ไนท์มองด้ายสีแดงที่พันอย่างเหนียวแน่นบนมือขวา เขากำเนิดมาพร้อมกับเส้นด้ายนี้ เปรียบดังเป็นเส้นเลือดใหญ่ในตัว ไม่เหมือนกับเมเรสที่เขาเพียงยกเส้นด้ายนี้ให้ชั่วคราว มันจึงหลุดออกได้ง่ายดาย
เส้นด้ายแตกแขนงออกไปมากมาย ครอบคลุมประชากรทั้งหมดของดาว ที่ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้
[ U N ]
ไนท์ยกนิ้วขึ้นเขียนอากาศเป็นคำสั่ง
[ L O ]
คำสั่งที่ไม่มีใครกล้าทำมาก่อน นับตั้งแต่ยุคของแม็กซิมัส การกระทำที่ทั้งจักรวาลถือว่าเป็นกบฎ
[ C K ]
แต่เมเรสยังไม่กลัวปลายทางของตัวเอง แล้วเขาจะต้องกลัวสิ่งใด
[ S T R I N G : CODE : U N L O C K ]
คำสั่งที่เขาค้นพบว่ามันมีมากนานแล้วตั้งแต่เริ่มศึกษาเรื่องของแม็กซิมัส แต่ก็ไม่กล้าที่จะลงมือทำ เพราะเขากังวลกับผลลัพธ์ที่จะตามมา สิ่งที่คาดเดาไม่ได้ที่เหมือนกับการตกผ่านลงไปในขอบฟ้าเหตุการณ์*ในหลุมดำ
พรึ่บ
เส้นด้ายลุกไหม้ตั้งแต่โคนจรดปลายแหลกสลายเป็นธุลีในอากาศ ไนท์รู้ว่าเอามันกลับมาไม่ได้แล้ว เส้นทางนี้เดินไปแล้วไม่มีการถอยหลัง
ตราประทับทั้งหมดจะจางหายไป โอเมก้าและเบต้า ไม่สิ ไม่มีคำเรียกนั้นอีกแล้ว พวกเขาทั้งหมดคือประชาชน และพวกเขาจะต้องแตกตื่นกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น อาจมีการประท้วง อาจมีความขัดแย้ง มีการประหัดประหารอย่างน่ากลัวบนเส้นทางนี้ และเขาก็ไม่ใช่อัลฟ่าอีกต่อไปแล้ว ไม่มีอัลฟ่าของดวงดาวเฟลม่า ไม่มีผู้กุมอำนาจของดวงดาว บัดนี้ไนท์ได้โยนดวงดาวและประชากรทั้งหมดรวมทั้งตัวเขากลับลงสู่ความเป็นไปตามวังวนของมันแล้ว สิ่งใดจะเกิดย่อมเกิด สิ่งใดจะดับย่อมดับด้วยเงื่อนไขของมันเอง ไม่มีพลังใดจะไปควบคุมได้อีกต่อไป
ปลายทางของมันอาจจะเป็นอิสระที่เขาตามหา หรือจะเป็นจุดจบเหมือนแม็กซิมัสก็สุดจะทำนายได้
เมื่อธุลีทั้งหมดปลิดปลิวไปในอากาศ ฉับพลันมิติก็ฉีกขาดออกเหมือนกระดาษ บางสิ่งทะลวงเข้ามา เปิดช่องเชื่อมต่อระหว่างมิติเอกเทศของอัลฟ่าเอาไว้อย่างแข็งแกร่ง
ไนท์สัมผัสได้ว่าบางสิ่งที่ทรงอำนาจอยู่ข้างในนั้น ในช่องว่างสีดำนี้ มันน่าเกรงขามและเต็มเปี่ยมด้วยพลัง เขาไม่จำเป็นต้องพยายามเพ่งมองก็เห็นได้อย่างชัดเจน ดาบสีทองลอยดั่งไร้น้ำหนักทอประกายออกมารอบตัวท่ามกลางบรรยากาศว่างเปล่าของมิติเอกเทศ การคงอยู่ของมันทำให้อนุภาครอบข้างสั่นสะท้าน เห็นเป็นคลื่นอากาศถูกกระแทกออกไปได้ด้วยตาเปล่า
เขาสูดหายใจลึกๆแล้วก้าวเข้าไปในมิติที่ไม่มีเจ้าของ จ้องมองดาบสีทองตาไม่กะพริบ และก็พบว่าความหวาดระแวงของเขาไม่มีประโยชน์อะไรเลย เพราะมันไม่ได้เป็นปฏิปักษ์กับเขา
ไนท์เข้าไปใกล้พอที่จะบอกได้ว่า ดาบเล่มนี้ไม่ใช่ดาบที่สมบูรณ์ และไม่ได้สร้างขึ้นมาจากโลหะชนิดใดเลย มันบิดๆเบี้ยวๆราวกับเป็นดินน้ำมันสีทองที่ถูกปั้นอย่างส่งเดชให้มีลักษณะเหมือนดาบ ด้านที่ควรจะคมก็ทื่อสนิท ด้านที่ควรจะเรียบก็บิดเบี้ยวมีตำหนิ มันเป็นดาบที่ไม่สามารถฆ่าฟันใครได้อย่างแน่นอน
ขณะกำลังลงความเห็นในใจว่านี่เป็นดาบที่ใช้การไม่ได้ ไนท์ก็สังเกตเห็นว่าด้ามสีน้ำตาลสลักไว้ด้วยถ้อยคำสีทองอร่ามประโยคหนึ่ง
'ผู้ที่ตามหาจะค้นพบ'
ไนท์ขมวดคิ้ว ค้นพบ...อะไร? นี่ไม่ใช่เวลามาเล่นใบ้คำ เขาต้องการวิธีที่จะช่วยเมเรส แล้วสิ่งนี้คืออะไร มิตินี้เป็นของใครกัน? ทำไมจึงปรากฎขึ้นเมื่อเขาทำลายพลังสตริงลงอย่างเจาะจงเช่นนี้
"แล้วเจ้ากำลังค้นหาอะไรอยู่ล่ะ อิกไนท์ คลอร์ว"
คำกล่าวเอ่ยออกมาจากริมฝีปากหยักของบุรุษสีทองคนหนึ่ง ที่เรียกเช่นนั้นเพราะคนแปลกหน้าคนนี้อาบไล้ด้วยแสงสีทองทั้งจากเส้นผม และจากใบหน้าที่หล่อเหลา เขาแต่งกายเต็มยศดั่งในอดีต ชุดของราชา...ที่คล้ายคลึงกับในตำราประวัติศาสตร์
ไนท์เบิกตากว้าง เพราะดาบสีทองและบุรุษสีทองคือสัญลักษณ์ที่ใครๆก็จดจำได้ บุคคลในอดีตที่โง่เขลา ผู้อวดดีต่อพระเจ้า เขาคือ...
'แม็กซิมัส เดเซลราสต์ แห่งออลเรีย' กำลังยืนหาวอยู่ตรงหน้าเขา
"ท่าน...ยังไม่ตายหรือ?"
มือหนายื่นมาเขกกบาลไนท์โดยที่เขาไม่ทันตั้งตัว พลางส่ายหน้า "รู้มั้ยว่าเจ้าทักทายผู้อื่นได้เลวร้ายนัก"
"มันก็สมควรจะต้องถามอย่างนี้ไม่ใช่หรือ?" ไนท์ถอยหลังไปสองสามก้าวเพื่อเพ่งมองคนตรงหน้าให้ชัดๆ บุคคลที่ควรตายไปแล้วกว่าหมื่นล้านปี มายืนหัวโด่ตรงนี้ แค่เขาไม่กรีดร้องแล้ววิ่งหนีก็นับว่าประสาทแข็งมากแล้ว
"ไม่ใช่ว่าเจ้าเป็นผู้เทิดทูนข้าหรอกหรือ เช่นนั้นก็ควรชื่นชมยินดีที่ได้พบข้าซะสิ"
"…" ถ้าไม่เผอิญว่าไนท์กำลังรีบ เมเรสกำลังแย่ และคนที่เขารักทุกคนกำลังสู้กันอยู่เหนือชั้นบรรยากาศของดาวเฟลม่า เขาอาจจะเสียเวลาชื่นชมฮีโร่ในตำนานสักนาทีสองนาที
"ท่าน...ดูแตกต่างจากที่ผมคิดไว้มาก" ไนท์ไม่สามารถบรรยายความรู้สึก ณ วินาทีนี้ได้จริงๆ ไม่รู้ว่าควรดีใจ หรือเสียใจที่ภาพลักษณ์ของราชาในตำนานตรงข้ามกับที่คิดไว้ไปไกลโข
"ตัวจริงข้าดูดีกว่านี้มากนักเด็กน้อย ที่เจ้าเห็นก็เป็นแค่เงาเท่านั้น ข้าสร้างทิ้งไว้เมื่อนานมาแล้ว จะปรากฎก็ต่อเมื่อมีคนทำตามเงื่อนไขและเปิดมิตินี้เข้ามาได้" ราชาแม็กซิมัสเอ่ยพร้อมๆกับบิดเอวซ้ายขวาไปด้วยราวกับไม่ได้เคลื่อนไหวร่างกายมานานมาก ส่วนไนท์ก็พยายามทำเป็นมองไม่เห็นอย่างสุดความสามารถ
"เงื่อนไขอะไร?"
"เจ้าได้ค้นพบกุญแจแห่งพระเจ้าแล้ว"
ไนท์ชะงัก เขามองไปที่ดาบสีทอง บุรุษตรงหน้าเหมือนจะรู้ว่าเขาคิดอะไรจึงส่ายหน้า
"ไม่ใช่ นี่เป็นดาบธรรมดาๆ ที่ข้าสร้างขึ้นและเก็บไว้ที่นี่ ซึ่งเราจะพูดถึงมันทีหลัง แต่กุญแจแห่งพระเจ้านี่ เจ้าเดาไม่ถูกหรือไร อย่าทำให้ข้าผิดหวังสิ ผู้เทิดทูนหมายเลขหนึ่ง"
"…" ฟังแล้วรู้สึกหงุดหงิดพิกล แต่ไนท์ก็พยายามคิดถึงคำใบ้ที่ตำนานของราชาสีทองเคยเอ่ยถึง กุญแจแห่งพระเจ้า เล่าลือกันว่าแม็กซิมัสทิ้งมันออกไปในอวกาศก่อนที่ดาวจะดับสลาย และในไม่กี่ปีถัดมา ภาคีก็อ้างว่าได้ค้นพบมันในดาราจักรที่ห่างไกล และเก็บกู้เอาไว้ตั้งแต่หลายพันปีก่อน
แต่ไนท์ไม่คิดเชื่อตามคำกล่าวอ้างนั้น เพราะหากภาคีได้ครอบครองกุญแจของพระเจ้าจริง สิ่งนั้นก็ควรมีพลังมหาศาลพอที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรหลายๆอย่าง และภาคีก็ควรจะมีอำนาจตั้งแต่ตอนนั้น
ดังนั้นจึงแปลได้สามอย่างว่า หนึ่งคือพวกเขาไม่รู้วิธีใช้ หรือสอง พวกเขาโกหกที่ได้ครอบครองมัน และสามคือ มันไม่ใช่สิ่งที่เป็นอาวุธ หรือมีพลังอำนาจอย่างที่ใครคิด เพราะทั้งๆที่แม็กซิมัสเป็นคนค้นพบมัน เขาก็ยังพ่ายแพ้
ดวงตาสีดำประกายมรกตมองมือขวาที่ว่างเปล่า...แล้วเงยหน้ามองราชาสีทอง
แม็กซิมัสพยักหน้า
"ใช่แล้ว ภาคีโกหกเรื่องที่ได้ครอบครองมัน ตำนานเองก็โกหกเรื่องที่ข้าส่งมันออกไปนอกดวงดาวเพื่อให้รอดพ้นการทำลาย แท้จริงแล้วกุญแจของพระเจ้าไม่เคยถูกเก็บไว้ที่ไหน เพราะมันเป็นสิ่งที่พระเจ้ามอบให้กับอัลฟ่าทุกคนอยู่แล้ว"
"เส้นด้ายพวกนั้น..." พลังที่ใช้ในการรังสรรค์สรรพสิ่งและควบคุมพลังดวงดาว มันเป็นทั้งกุญแจและแม่กุญแจในตัวของมันเอง
S T R I N G
"ถ้าเจ้าอยากหลุดจากพันธนาการ เจ้าก็ต้องตัดการชักใยทั้งหมดออก ดวงดาวและสิ่งมีชีวิตจะไม่อยู่ในกำมือเจ้าอีกต่อไป และจะไม่เป็นไปตามกฎบัญญัติทั้งหมดด้วย ข้าจำเป็นต้องหลอกภาคีอย่างนั้นไม่เช่นนั้น เจ้าคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับอัลฟ่าคนอื่นๆล่ะ"
"พวกเราจะถูกควบคุมอย่างเข้มงวด ไม่ให้ทำลายเส้นด้ายของตัวเอง"
"ใช่"
"แปลว่าผมทำลายกุญแจของพระเจ้าไปแล้ว?"
"เจ้าทำลายพันธนาการของจักรวาลนี้ไปต่างหาก กุญแจเป็นเหรียญสองด้าน หากเจ้าหวังในพลังอำนาจ ก็ต้องอยู่ในโอวาท หากเจ้าหวังซึ่งอิสรภาพ ก็ต้องฝ่าฟันด้วยตัวเอง จากนี้ไปทั้งจักรวาลจะเป็นศัตรูกับเจ้า ดาวเฟลม่าคงตกที่นั่งลำบากแล้ว"
แม็กซ์ยิ้มฝืดๆให้
"เรื่องราวในดวงดาวไม่ใช่เรื่องยากเย็นหรอก มันอยู่ที่การเตรียมพร้อม การสั่งสอนประชาชนให้ความรู้ในเรื่องของการปกครองตัวเอง การคิด การเลือกเส้นทางชีวิต อาจจะต้องใช้เวลาและมีปัญหาเล็กๆน้อยๆจากการสูญเสียการควบคุม แต่ถ้าสั่งสอนได้ดี มีกฎหมายการลงโทษชัดเจน พวกเบต้าและโอเมก้าก็ปรับตัวได้ไม่ยากหรอก แต่ที่ต้องระวังคือการแทรกแซงจากคนภายนอกต่างหาก"
"ซึ่งก็คือสิ่งที่ทำให้คุณพ่ายแพ้?"
"มีใครบอกเจ้าหรือยังว่าเจ้ามันปากเสียจริงๆ" ไนท์ส่ายหน้า ใครๆก็บอกแต่ว่าเขาปากหวานอ่อนโยนทั้งนั้น ราชาแม็กซิ-มัสคงไม่ชินกับคำถามแทงใจดำเองมากกว่า
"ตอนนี้ข้าเป็นแค่เงาที่เหลือทิ้งไว้ในมิติเอกเทศที่จะเปิดก็ต่อเมื่อมีคนทำตามเงื่อนไข และเงื่อนไขที่ว่าก็คือคนคนนั้นจะต้องทำลายสายโซ่ที่คล้องคอโอเมก้าและเบต้าทั้งหมดออกไป เป็นบุคคลที่พิสูจน์แล้วว่ากล้าท้าทายกับกฎของจักรวาล" แม็กซ์ว่าจบก็ผายมือไปข้างตัว
"ขอแสดงความยินดีอีกครั้งที่เจ้ามีคุณสมบัติครบถ้วน ซึ่งนั่นก็นำเรามาสู่ดาบเล่มนี้ เจ้าคิดว่ามันเป็นยังไง"
ไนท์ไม่รู้ว่ามันคืออะไร มันสร้างขึ้นมาจากพลังที่พิเศษยิ่งกว่า และทรงอำนาจจนพลังดวงดาวใดก็ไม่สามารถเทียบเคียง
"ข้าเป็นคนขึ้นรูปร่างดาบเล่มนี้ แต่จักรวาลเป็นผู้สร้างมันต่อ"
"หมายความว่ายังไง?"
"ตามปกติอาวุธของอัลฟ่าจะสร้างขึ้นจากพลังของดวงดาวตัวเอง ดาบเล่มนี้เดิมสร้างขึ้นจากพลังอัลฟ่าของดาวออลเรีย ตามปกติถ้าดวงดาวล่มสลายอาวุธนั่นก็จะสลายไปด้วย ถูกต้องมั้ย?"
ไนท์พยักหน้า
"แล้วทีนี้ข้าก็เริ่มสงสัยแล้วดาวฤกษ์ล่ะ พวกเทหวัตถุทั้งหลายที่ไม่มีเจ้าของล่ะ มันยังไม่สลายไปเลยแม้ไม่มีพลังของอัลฟ่าดาวดวงไหนสนับสนุน แสดงว่าในจักรวาลก็คงมีพลังงานที่เหลือเฟือล่องลอยหล่อเลี้ยงสิ่งเหล่านั้นอยู่ เพียงแต่ไม่มีอัลฟ่าคนไหนสามารถเอามันมาใช้ได้ ถ้าอย่างนั้นทำไมเราจะต้องใช้แต่พลังของเราสร้างสิ่งต่างๆล่ะ ใช้พลังของจักรวาลไม่ได้เรอะ? ข้าคิดว่าเงื่อนไขมันซ่อนอยู่ตรงนี้เอง
ปกติแล้วสิ่งที่อยู่นอกเหนือพลังของดวงดาว อัลฟ่าจะใช้ไม่ได้ เราจึงต้องห่อหุ้มมันด้วยพลังของเราก่อน เช่นการเปลี่ยนวงโคจรของดาวหางที่มีมาแต่เดิม หรือการเบี่ยงลมสุริยะของดาวฤกษ์ หรือแม้แต่การผลักหลุมดำให้ออกห่างจากดาวของเรา เป็นต้น
แต่ครั้งนี้เราจะทำในทางตรงกันข้ามกัน ไม่ใช่การหุ้มสิ่งอื่นด้วยพลังของเราเพื่อที่จะควบคุมมัน แต่เป็นการถอนพลังของเราออกจากวัตถุนั้นๆ และให้มันกลายเป็นเทหวัตถุในจักรวาลแทน"
ไนท์อ้าปากค้าง เขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย
"ข้าถอนกรรมสิทธิ์การถือครองของข้าออกจากดาบเล่มนี้ เปลี่ยนมันเป็นสสารในอวกาศที่ไม่มีเจ้าของ และทิ้งมันไว้ในช่องว่างให้มันดำรงอยู่ด้วยการดูดซับพลังของจักรวาลที่ไม่ระบุว่าเป็นของใคร ตอนนี้ผ่านเวลามากว่าหมื่นล้านปี เจ้ากำลังยืนชมผลงานของจักรวาลที่หล่อหลอมดาบเล่มนี้มาจนถึงทุกวันนี้"
ดาบสีทองเหมือนรู้ตัวว่าถูกกล่าวถึง มันหมุนตัวเองเร็วขึ้น แต่แทนที่จะปล่อยพลังออกมา คลื่นพลังที่ห่อหุ้มมันไว้ก็ถูกดูดเข้าไป ทุกสิ่งรอบตัวถูกสูบเข้าไปในตัวดาบ
"และเจ้าเดาได้หรือไม่ว่ามิตินี้อยู่ที่ใด"
เขาไม่เข้าใจคำถาม แม็กซ์จึงเฉลยให้
"มิตินี้อยู่ในช่องว่างระหว่างซุปเปอร์คลัสเตอร์ สถานที่ว่างเปล่าที่ภาคีตั้งอยู่ ซึ่งจริงๆแล้วภาคีตั้งขึ้นภายหลังที่ดาบเล่มนี้กลืนพลังงานและย่อยสลายเทหวัตถุในบริเวณนี้ไปหมดแล้วยังไงล่ะ"
ไนท์ตะลึง ถ้าเช่นนั้นก็ไม่ต้องถามแล้วว่ามันมีพลังงานมากมายแค่ไหน ถึงขนาดทำให้ส่วนหนึ่งของจักรวาลกลายเป็นพื้นที่ว่างเปล่าได้ มันเป็นอาวุธที่น่ากลัวอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
"ส่วนเงื่อนไขการใช้ก็มีอยู่อย่างเดียว นั่นคือผู้ที่จะถือมันได้ต้องมีคุณสมบัติเดียวกับมัน คือไม่ได้เป็นของดาวดวงใด ไม่ได้ถือครองพลังของอัลฟ่า เป็นดั่งเทหวัตถุบนอวกาศที่หล่อเลี้ยงด้วยพลังของจักรวาลเฉกเช่นเดียวกัน"
ไนท์เข้าใจได้ทันที ว่าทำไมแม็กซิมัสจึงให้มิตินี้เปิดได้ก็ต่อเมื่ออัลฟ่าคนนั้นทำลายพลังสตริงไปเท่านั้น เพราะมันคือเงื่อนไขของการใช้นั่นเอง
"และถ้าจะให้ดีก็ควรต้องมีสติปัญญาพอจะเข้าใจการทำงานของมิติและอวกาศสักหน่อย เพราะงั้นเจ้าหนูน้อยโอเมก้าของเจ้าจึงไม่ผ่านเกณฑ์นี้ เพราะเขายังไม่ได้เรียนรู้วิธีเปิดมิติเอกเทศเข้ามาในนี้ไงล่ะ"
ไนท์กะพริบตาปริบๆมองดาบสีทองที่เปล่งคลื่นพลังที่แข็งกร้าวออกมา แล้วมองราชาแม็กซิมัสสลับไปมาอย่างไม่อยากเชื่อ
"เลยเป็นผมงั้นเรอะ?"
"แล้วคิดว่าข้าเกริ่นมาตั้งนานทำไมล่ะ รับๆไปเถอะ ไม่ต้องเกรงใจ นี่เป็นของขวัญที่สร้างจากหยาดเหงื่อแรงกายสุดท้ายของข้าเลยนะ ขอบคุณข้าซะสิ ผู้เทิดทูนหมายเลขหนึ่ง"
เขากำลังจะซาบซึ้ง แต่พอโดนเรียกแบบนี้ก็พาลให้ความเคารพบูชาหดหายไปด้วย ไนท์เก็บสีหน้าอัศจรรย์ใจไว้อย่างมิดชิด แล้วกระแอ่มไอถามด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย
"ท่านคิดไว้อยู่แล้วว่าจะแพ้ และดวงดาวจะถูกทำลายจึงสร้างอาวุธชิ้นนี้เตรียมไว้งั้นเรอะ?"
"อันนี้จริงๆเป็นแค่แผนสำรอง เผื่อว่าทุกอย่างล้มเหลว อย่างน้อยอนาคตของคนที่เลือกเดินในเส้นทางเดียวกับข้าก็จะไม่ล้มเหลวไปกับข้า"
เสียงของราชาแม็กซิมัสก้องกังวาน ไม่มีสักเศษเสี้ยวของความท้อแท้ ในตอนนั้นเขาไม่มีพลังมากพอที่จะชี้นำจักรวาลได้ แต่แม็กซิมัสไม่เคยสิ้นความหวัง เขายอมรอคอยมากว่าหมื่นล้านปีเพื่อสร้างอาวุธเล่มนี้ และส่งต่อให้กับคนที่สืบทอดความเชื่อของเขา
ผู้ที่เชื่อว่านิยามของอัลฟ่า เบต้า และโอเมก้า ไม่มีความจำเป็นในจักรวาลนี้อีกต่อไป
"ไม่เคยมีใครคิดจะปลดเส้นด้ายในมือ ไม่มีอัลฟ่าคนไหนคิดปล่อยบางสิ่งที่เราสามารถควบคุมได้ออกไปหรอก มันคาดการณ์อะไรไม่ได้เลย แต่ที่จักรวาลกำลังเป็นไปเช่นนี้ก็เพราะพระองค์ผู้สร้างได้ละเส้นด้ายของท่านไปจากเราแล้วเช่นกัน ท่านปล่อยให้พวกเราได้เลือกเส้นทางของเราเอง มันคือความรัก? หรือคือการทอดทิ้ง? ก็แล้วแต่ผู้คนจะตีความ
เรามีอิสระที่จะทำอะไรกับด้ายในมือเราก็ได้ พระองค์ไม่เคยห้าม พระองค์อาจจะให้เส้นด้ายมาเพื่อนำทางเราที่หลงทาง แต่ในเมื่อเจ้าแน่ใจว่าค้นพบเส้นทางที่ใช่แล้ว จะจับด้ายนำทางในมืออยู่ทำไม ณ เวลานั้นก็อยู่ที่เจ้าน่ะแหละกล้าพอจะปล่อยมือหรือไม่?"
ไนท์เอื้อมมือออกไปแตะด้ามดาบ ตอนแรกเขารู้สึกเหมือนถูกต่อต้านอย่างรุนแรง ความกลัวทิ่มแทงขั้วหัวใจไม่หยุด แต่ต่อมาเมื่อเขายังไม่ยอมแพ้ เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังที่เอ่อล้นไม่มีที่สิ้นสุด คุ้นเคยกันเสมือนมันเป็นแขนขาของเขามาแต่กำเนิด และพลังของจักรวาลทั้งในอดีตกาลและปัจจุบันก็กำลังไหลบ่าเข้ามา ดาบช่วยเชื่อมต่อตัวเขาเข้ากับแหล่งของพลังงานที่ไม่มีวันหมดสิ้นจนกว่าจักรวาลนี้จะพังทลาย
"เอาล่ะ ผู้เทิดทูนอันดับหนึ่ง ไม่สิ อิกไนท์ใช่มั้ย? ถึงเวลาที่เจ้าควรจะไปสั่งสอนพวกข้างนอกนั่นให้รู้ว่ากฎของจักรวาล มันสมควรเป็นเช่นไรกันแน่" ราชาแม็กซิมัสยิ้มอย่างภาคภูมิใจ ก่อนที่ร่างสีทองของเขาจะค่อยๆปริแตกไปทีละนิด
หมดเวลาของเขาแล้ว ร่างเงาของราชาผู้รอมากว่าหมื่นล้านปีเพื่อชัยชนะในวันนี้
"ขอบคุณ" ไนท์เอ่ยจากใจจริง "...ที่ทำให้ผมไม่ผิดหวังที่นับถือคุณ ราชาแม็กซิมัส เดเซลราสต์ แห่งออลเรีย"
เสียงหัวเราะของบุรุษสีทองดังก้องเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ทุกหลักฐานการคงอยู่ของเขาจะสาบสูญไปจากจักรวาลนี้ เหลือเพียงดาบสีทอง และถ้อยคำที่สลักไว้ ยืนยันถึงตัวตนและเป้าหมายของเขาสืบต่อไป
ไนท์ควงอาวุธเล่มใหม่ขึ้นเหนือแผ่นหลัง มันดูหนาหนักเทอะทะ แต่พออยู่ในมือเขากลับเบายิ่ง เขากระโดดออกจากมิติเอกเทศ และมองขึ้นไปเหนือน่านฟ้า การต่อสู้ที่ชั้นบรรยากาศกำลังรอเขาไปปิดฉาก
อิกไนท์ คลอร์ว จะออกล่าอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อตามหาบางสิ่ง แต่เพื่อปกป้องทุกสิ่งเอาไว้
ทุกสิ่งที่เขารักและห่วงใย เหล่าผู้คนที่เป็นคนสำคัญของ อิกไนท์ คลอร์ว
ขอบฟ้าเหตุการณ์* ในเขต Event Horizon กาล-อวกาศถูกบิดเบี้ยวจนมีค่าใกล้อนันต์ หมายความว่า ระยะทางและเวลาถูกยืดออกจนมีค่าใกล้อนันต์ กล่าวคือ เมื่อแสงตกเข้าไปในขอบฟ้าเหตุการณ์ เราจะเห็นแสงแทบจะหยุดนิ่งอยู่กับที่ เพราะระยะทางและเวลาในนั้นถูกยืดออก จึงทำให้แสงใช้เวลาเข้าใกล้อนันต์เพื่อเดินทางในนั้น เราจึงไม่สามารถเห็นแสงกลับออกมาได้อีก