บรรยากาศยามโพล้เพล้ของท้องฟ้าเหนือพระราชวังนิทธาราเป็นสีม่วงแดงเหมือนทุกวัน แต่ชาวดาวเฟลม่ากลับไม่คิดอย่างนั้น พวกเขาเงยหน้ามองความสงบเงียบที่โรยตัวลงมาแล้วรู้สึกขนลุกชันอย่างไม่มีสาเหตุ
ซ่า
ฝนตกลงมาอย่างผิดฤดูไล่ให้ทุกคนกลับเข้าที่พักด้วยความกังวลใจ
วันนี้ประชาชนแทบทุกคนรู้สึกหวาดหวั่นได้ง่ายๆกับสิ่งเล็กน้อยรอบตัวที่ผิดแปลกไป ราวกับว่ามีบางสิ่งกำลังคุกคามความรู้สึกปลอดภัยของพวกเขาอยู่โดยที่พวกเขามองไม่เห็น และอีกไม่นานมันคงจะคลี่ตัวออกมาให้พวกเขาได้รับรู้
ครืน
เหนือเมฆฝนขึ้นไปร่วมสองหมื่นห้าพันฟุต การต่อสู้ยังไม่จบ สนามแม่เหล็กกดดันตรึงการเคลื่อนไหวจากรอบทิศ ตามด้วยลำแสงความร้อนทะลุทะลวง
อาเบลใช้พลังได้ไม่เต็มที่เพราะที่นี่ไม่ใช่ดาวของเขา และดาวเฟลม่าก็อยู่ห่างจากดาวแม่ของเขามาก เมื่อต้องมาปะทะพลังอัลฟ่าประจำดาวตรงๆแล้ว เขาค่อนข้างเสียเปรียบ แต่ดูเหมือนสัตว์ประหลาดนั่นก็ไม่ได้เชี่ยวชาญการใช้พลังอัลฟ่าเท่าไร การปะทะนี้จึงพอจะเรียกว่าสูสีได้
ชาร์ลลอยอยู่ไม่ห่าง คอยคุ้มกันไม่ให้มีลูกหลงหลุดลงไปทำร้ายผิวดาวและประชาชนข้างล่าง ส่วนเวอร์ชูวก็หยักยิ้มบางๆลอยไปลอยมาอยู่นอกการต่อสู้ ทำตัวเป็นผู้ชมที่ดีอย่างเต็มที่
อาเบลโจมตีใส่หน้ากากสีดำไม่ยั้งเพื่อแย่งชิงพลังของไนท์มา เพราะถ้ายังมีพลังอัลฟ่าอยู่ ดวงดาวจะไม่ดับสลาย ไนท์คนใหม่ก็สามารถกำเนิดขึ้นมาสืบทอดตำแหน่งอัลฟ่าได้
ต่อให้ไม่ใช่ไนท์คนเดิมที่รู้จักเขา แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็มีหนี้บุญคุณต้องชดใช้ และการช่วยดาวของไนท์ก็เป็นวิธีเดียวที่เหลืออยู่ที่เขาจะตอบแทนได้
อาเบลมีเทคนิคการใช้พลังที่มีประสิทธิภาพ แม้จะดึงพลังจากดวงดาวมาได้น้อยกว่า แต่เขาใช้ได้อย่างชาญฉลาดกว่า เขาหลอมอนุภาคกลายเป็นธาตุที่แข็งที่สุดในจักรวาลแล้วยิงออกไปด้วยความเร็วเศษหนึ่งส่วนสิบ ของความเร็วแสง วัตถุธาตุโค้งเล็กน้อยในสนามแม่เหล็กที่สัตว์ประหลาดใช้ป้องกันตัว แต่ก็เป็นวิถีโค้งที่อาเบลคำนวนไว้ก่อนอยู่แล้วด้วยมวลของวัตถุที่เขาสร้าง
มันสร้างกำแพงต้านวิถีกระสุน แต่อาเบลชิงแยกธาตุอีกครั้งในเศษเสี้ยววินาที และระเบิดด้วยความแรงหนึ่งในล้านของปฏิกิริยาในแกนดาวฤกษ์
เมื่อแรงระเบิดของฮีเลียมและไฮโดรเจนหยุดลง ฝุ่นหมอกจางลงแต่เจ้าหน้ากากก็ยังยืนอยู่ตรงนั้น ไม่มีแม้รอยแผล อาเบลแค่นเสียงอย่างไม่สบอารมณ์ที่การโจมตีของเขาไม่ระคายผิวมันเลย แต่นี่คือการสู้ในดาวไม่ใช่ในอวกาศ ขีดจำกัดของความรุนแรงนั่นมีอยู่มิฉะนั้นจะเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตในดาวได้ เพราะแค่นี้ชาร์ลก็แทบหมดแรงแล้วที่ต้องคอยกันคลื่นพลังที่กระจายออกไป
"พลังของมันอ่อนลงแล้ว" ชาร์ลร้องบอก
แสดงว่าเมื่อครู่ไม่ใช่มันไม่ได้รับบาดเจ็บ เพียงแต่มันแค่เยียวยาตัวเองได้รวดเร็วเท่านั้นเอง ตอนนี้พลังอัลฟ่าในมือของมันกำลังสั่นไหว และลดอำนาจลงอย่างที่ชาร์ลบอกจริงๆ
แต่ในฉับพลันนั้นก้อนพลังอัลฟ่าของไนท์ก็ลุกไหม้เป็นเปลวไฟสีฟ้า และสลายหายไปในอากาศ
"เกิดอะไรขึ้น"
เจ้าสัตว์ประหลาดยังยืนอยู่ตรงหน้า แต่เขาไม่รู้สึกถึงไนท์ที่ไหนอีกแล้ว
อาเบลชาว่าบไปทั้งตัว เขาตื่นตระหนกที่สุดในชีวิต
"หรือว่ามันกลืนกินไนท์เข้าไปแล้ว?" ชาร์ลเอ่ยเสียงแหบแห้งถึงสิ่งที่น่ากลัวที่สุด
อัลฟ่าดาวอื่นๆ ยามเมื่อพ่ายแพ้ก็หายสาบสูญไปไม่มีร่องรอยเหลือให้ติดตามเช่นกัน พวกเขาจึงสรุปกันว่าอัลฟ่าที่โดนกลืนกินเข้าไปจะหายไปอย่างถาวร...พร้อมกับดวงดาวดวงนั้น และพลังสตริง
"ไนท์..."
อาเบลจ้องเขม็ง ดวงตาของเขาเจือสีเลือด ความโกรธเกรี้ยวปะทุออกมาเหมือนการระเบิดของดาวฤกษ์
ไม่ต้องพูดอะไรมากกว่านี้อีกแล้ว เจตนาของอาเบลบัดนี้เหลืออยู่เพียงสิ่งเดียว
"ตาย…"
ร่างของเขาเรืองแสงสีฟ้าอ่อน สายน้ำของผิวดาวกระเพือมไหว การใช้พลังนี้ทำให้ร่างกายเขาบาดเจ็บสาหัส และเกิดความเสียหายรุนแรงต่อดวงดาว แต่ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องสนใจอีกแล้วว่าประชาชนจะโดนลูกหลง เพราะถ้าไม่มีไนท์ ไม่มีอัลฟ่า ไม่มีพลังของดวงดาว ก็ไม่มีประชาชนเช่นกัน
เขาจะให้มันหายสาบสูญไปโดยเร็วที่สุด นี่คือความปรานีสุดท้าย และสิ่งเดียวที่เขาจะตอบแทนไนท์
วูบ
แสงสีทองพาดตัดนภาเป็นดั่งม่านสีทองที่คลี่ลงมากั้นการต่อสู้
ผู้มาใหม่ใส่หน้ากากเช่นเดียวกับสัตว์ประหลาด มันตวัดดาบสีทองขึ้นพาดบ่าอย่างไม่ทุกข์ร้อน หลังแสดงให้ทุกคนเห็นว่าการฟาดฟันเพียงครั้งเดียวก็สามารถผลักการโจมตีที่รุนแรงของจักรพรรดิอาเบลออกไปนอกอวกาศได้
ทั้งหมดตกตะลึง ยกเว้นเวอร์ชูวที่เลิกคิ้วน้อยๆ
ทั้งที่สัมผัสพลังใดๆไม่ได้เลย แต่กลับน่าเกรงขาม มันเหมือนภาชนะที่ว่างเปล่า และกำลังดึงดูดทุกสิ่งเข้าไป ไม่มีใครละสายตาไปจากมันได้
"แกเป็นใคร" อาเบลกัดฟันถามเพื่อถ่วงเวลาให้ตัวเองฟื้นตัว ส่วนชาร์ลก็ก้าวเข้ามาเตรียมรับมือแทนอาเบลที่บอบช้ำ
แต่ผู้มาใหม่หาได้คิดตั้งตัวเป็นศัตรูกับพวกเขาไม่ มันเพียงแค่ถอนหายใจ และถอดหน้ากากออกช้าๆ
เผยรอยยิ้มที่พวกเขาคุ้นเคยดี
อิกไนท์...