ผมออกมาโดยไม่ได้บอกเวสต์ อันที่จริงผมไม่ได้บอกใครเลย เพราะมันไม่ควรมีใครรู้ว่าในห้องความลับของอัลฟ่าประจำดาวจะมีเส้นทางลับไปหลังบ้านคนอื่นแบบนี้
ท่านไนท์ ท่านแอบไปสร้างไว้ได้ยังไง และปลายทางของมันเป็นดังที่เขียนไว้จริงหรือเปล่า ผมไม่รู้ว่าควรภาวนาให้ผิดหวังดีหรือไม่
ผมก้าวผ่านอุโมงค์น่ากลัวเข้าไปช้าๆ ทางเดินไม่ได้ลำบากอะไร เข้าไปไม่กี่ก้าวก็เจอสระน้ำขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ ผิวน้ำเหมือนฉาบด้วยปรอท ผมก้มมองก็เห็นเพียงใบหน้าของตัวเอง
บางสิ่งซ่อนอยู่ข้างใต้ และผมก็รู้ด้วยสัญชาตญาณว่าผมต้องผ่านผิวน้ำนี้ลงไปเพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย
ท่านไนท์คุ้มครองผมด้วย
ผมกลั้นใจกระโดดลงไปทั้งตัว ถ้ามัวแต่ลังเลค่อยๆลงทีละก้าวผมอาจจะถอดใจกลับไปก่อนได้ เมื่อผ่านเข้าไปความรู้สึกเหมือนไหลผ่านน้ำตกเชี่ยวกราด แรงเหวี่ยงรุนแรงทำให้ตัวผมหมุนคว้างจนหาทิศทางไม่เจอ แถมสายน้ำเย็นเฉียบก็แทรกเข้าไปในเนื้อผ้าจนสะท้านไปถึงกระดูก
ขณะที่ผมกำลังสงสัยว่าการตายระหว่างการเดินทางในช่องว่างแบบนี้จะเหลือซากศพให้เวสต์มากู้หรือไม่ ผมก็ไปถึงปลายทางโดยไม่คาดคิด
เบื้องหน้าผมคือหมู่เมฆสีขาว การเคลื่อนผ่านพวกมันไปทำให้ทุกรูขุมขนของผมชุ่มฉ่ำสดชื่น และใต้ทัพเมฆคือผิวดาวเคราะห์ ประกอบด้วยแผ่นดินที่เป็นเกาะเล็กเกาะน้อยกระจัดกระจายดูไม่สำคัญ เพราะสิ่งปลูกสร้างเกือบทั้งหมดผุดขึ้นมาจากน้ำ ไม่ก็ลอยอยู่บนอากาศ มองไปทางไหนก็เห็นแต่ผืนน้ำสีเขียวมรกตที่ระยิบระยับ และเมืองที่เป็นส่องประกายดั่งคริสตัล
ที่นี่คือดาวบริวารแห่งสายน้ำ ดาวของอาเบลสักดวงสินะ
เมื่อเข้าใกล้เบื้องล่าง ผมตั้งใจจะใช้พลังลอยตัวแบบพื้นฐานของอัลฟ่าตามที่เวสต์สอนมาในหลักสูตรเอาตัวรอด แต่พลังนั้นกลับไม่ทำงาน ไม่ว่าผมจะพยายามอีกกี่ครั้งก็ไม่เกิดผลเช่นกัน พลังรอบตัวต่างก็ต่อต้านผม ไม่มีพลังของดวงดาวส่งมาให้ผมเลย
ทำไมกัน? แล้วผมก็เพิ่งรู้ตัวจากคำเตือนของเวสต์ในบทส่งท้ายการเรียนเอาตัวรอด ว่าอัลฟ่าที่เดินทางไปต่างดวงดาวจะต้องสะสมพลังจากดาวตัวเองไว้ก่อนออกมา เพราะที่ต่างดาวพลังจากดวงดาวของตนจะส่งมาไม่ถึง ยิ่งระยะทางไกลมากๆ อัลฟ่าคนหนึ่งก็เปรียบเสมือนโอเมก้าตัวน้อยๆเท่านั้นเอง
แล้วโอเมก้าที่ร่อนลงมาจากความสูงขนาดนี้จะเหลืออะไรให้เก็บกู้เรอะ?
แย่แล้ว...ผมหลับตาปี๋รอรับแรงกระแทกที่ผิวดาว แต่วันนั้นก็ไม่มีวันมาถึง เพราะจักรพรรดิอาเบลดูเหมือนจะรู้ว่ามีแขกมาเยือนได้รวดเร็วมาก แถมมีมารยาทออกมารับแขกด้วยตัวเองเลยทีเดียว
แต่แบบนี้มัน...แย่ยิ่งกว่ารึเปล่านะ แอ้ก!
มือเรียวงามยื่นมาบีบคอผมตรงๆ หิ้วหัวผมไว้กลางอากาศ เรี่ยวแรงของมือเล็กๆน่าถนุถนอมนี้กลับมหาศาลจนผมหน้าเริ่มขึ้นอืด
"แก"
ท่านสอบตกเรื่องการต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองนะท่านอาเบล ต้อนรับแบบนี้จะมีแขกที่ไหนกล้ามาเยี่ยมบ้านท่านกัน
"เราบอกให้แกอยู่เงียบๆที่ดาวไม่ใช่เรอะ!!"
ใบหน้างดงามตวาดก้อง ทำเอาหูผมแทบดับ
ใจเย็นก่อนท่านจักรพรรดิ ผมก็ไม่ได้อยากมาหรอกนะ ถ้ามันไม่จำเป็นน่ะ
"อ้าว ไนท์ เอ็งมาทำอะไร?"
เสียงนี้คุ้นๆ
ชาร์ล?
ผมกรอกตาที่ใกล้ถลนไปทางขวา เป็นชาร์ลจริงๆด้วย ไม่ใช่ว่านายไปอยู่ทัพหน้าตามที่ข่าวรายงานมาเรอะ แล้วตกลงนายมาทำอะไรกันที่นี่ เดี๋ยวๆอย่าบอกนะว่านายเป็นพวกตีท้ายครัวเพื่อนน่ะ? ผมเริ่มผูกโยงเรื่องไปไกล
"ไนท์มาทำอะไรที่นี่น่ะ?" คราวนี้ชาร์ลหันไปถามอาเบลแทน หลังพิจารณาแล้วว่าปล่อยให้พยายามหายใจก่อนน่าจะดีกว่า
"ไม่รู้" อาเบลยักไหล่ แล้วค่อยคลายมือออกเล็กน้อยก่อนที่ผมจะขาดอากาศ
"แต่เป้าหมายใกล้เข้ามาแล้ว ข้าว่าเอ็งควรไปอยู่ตามที่ตกลงกันไว้"
ชาร์ลเอ่ยต่อ อาเบลจึงส่งเสียงฮึทีหนึ่งแล้วก็โยนผมให้เบต้าที่มารอรับอย่างรู้ใจ
"เอาไปขังไว้ อย่าให้ออกมาเพ่นพ่านอีก ไม่งั้นหัวแกจะไม่ได้ตั้งอยู่บนบ่า"
นี่หมายถึงหัวเบต้าคนนั้นหรือหัวผมด้วยล่ะ แต่ไม่ว่าจะหมายถึงใคร ทั้งผมและเบต้าก็พร้อมใจกันผงกศีรษะ โค้งคำนับให้ประหนึ่งขอชีวิตไว้ล่วงหน้า
อาเบลดีดนิ้ว พริบตาก็หายไปพร้อมกับชาร์ล
อัลฟ่าสามารถเคลื่อนย้ายในดาวตัวเองได้อย่างรวดเร็วดังใจนึกอันนี้ผมมีประสบการณ์มาด้วยตัวเองแล้ว แต่เดี๋ยวก่อนสิ ผมยังไม่ได้บอกเรื่องที่ตั้งใจจะบอกเลยนะ แล้วผมจะถ่อมาให้โดนบีบคอฟรีๆทำไมกัน
ผมพยายามจะบอกเบต้าหน้าบึ้งตึงที่เป็นคนพาผมไปที่ห้องคุมขัง แต่เจ้าตัวก็ส่ายหน้าปฏิเสธการรับรู้ทุกอย่าง พร้อมกับยืนกรานจะลากผมไปขังให้ได้ พอผมขืนแรงสู้ เจ้านั่นก็เรียกโอเมก้าทหารที่แข็งแกร่งเข้ามา เมื่อเห็นพละกำลังและกล้ามเนื้อขนาดเท่าเสาในโถงราชวัง ผมก็ตัดสินใจยอมให้พวกเขาพาผมไปยังห้องขังโดยดี
ผมตั้งใจไว้ว่าเมื่อไรที่อาเบลโผล่หน้างามๆของเขามา ผมจะตะโกนใส่หน้าเขาก่อนที่เขาจะบีบคอ หรือตัดหัวผม
ทางเดินสู่ที่คุมขังมืดสลัว ผมหรี่ตามองสำรวจ พยายามจดจำทางเผื่อทางหนีทีไล่ แต่แล้วสายตาผมก็ไปปะทะเข้ากับสิ่งมีชีวิตหน้าตาหลากหลายถูกยึดติดผนังไว้ ทั่วร่างห่อหุ้มด้วยรากแข็งสีดำดั่งโลหะ บ้างถูกเสียบทะลุ บ้างถูกโอบรัด
"นั่นอะไรน่ะ" ผมถามอย่างกล้าๆกลัวๆ จากที่เดินอยู่ห่างๆพวกทหาร ตอนนี้ผมแทบจะเข้าไปกอดแขนอันแข็งแรงของโอเมก้าทหารที่ทำหน้าขึงขังตลอดเวลาเอาไว้แน่น
เบต้าผู้เรียบร้อยเหลือบมองแล้วเอ่ยอย่างไม่รู้สึกอะไร "นั่นคือเหล่าคนที่ไม่สามารถทำหน้าที่ได้ตามพระประสงค์ ต้องลงมาทำหน้าที่สุดท้าย ณ ที่แห่งนี้ นำชีวิตที่องค์จักรพรรดิมอบให้คืนให้กับดวงดาว"
ผมเคยได้ยินท่านไนท์เล่าให้ฟังว่า ร่างเดิมของเผ่าพันธ์ุดาว ABELL คือพืช โดยมีจักรพรรดิเป็นต้นหลักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเพียงหนึ่งเดียว ทั้งกลืนกินและสรรค์สร้างสิ่งมีชีวิตอื่น หากมีสิ่งใดบนดาวที่ไร้ประโยชน์แล้ว จะถูกเอามาฝังให้รากดูดกลืนแร่ธาตุไปเป็นน้ำเลี้ยงที่หล่อเลี้ยงดวงดาวต่อไป...
อ่า ผมเปลี่ยนใจละ ผมว่าผมทำตัวสุภาพ ค่อยๆพูดจาอย่างนอบน้อมดีกว่านะ ถ้าผมไม่อยากเป็นปุ๋ยเหมือนอัลฟ่าฝึกหัดสามคนก่อน และเบต้าอีกนับไม่ถ้วน
"โปรดพักอยู่ที่นี่อย่างสงบ อัลฟ่าแห่งดาวเฟลม่า" เบต้าผู้เรียบร้อยพาผมมายังที่หมาย โค้งส่งท้ายก่อนจะปิดประตูขังผมไว้ในคุก
เอ่อ คุกในแบบที่ดาวผมเรียกว่าห้องพักหรูระดับสี่ดาวน่ะนะ
ผมกะพริบตาปริบๆกวาดตาไปทั่ว เครื่องเรือนดูใหม่เอี่ยม ทุกอย่างถูกเก็บอย่างเป็นระเบียบและสะอาดสะอ้านเหมือนมีคนมาดูแลทุกวัน แสงแดดส่องผ่านเข้ามาในห้องอย่างพอดี มองเห็นวิวของทะเลที่กว้างใหญ่และเกาะแก่งไกลสุดลูกหูลูกตา
เจ้าเบต้านั่นพาผมมาผิดที่หรือเปล่า คุกที่จักรพรรดิอาเบลคนนั้นพูดถึง มันไม่น่าจะเป็นที่นี่นะ
แล้วที่ผมจินตนาการถึงห้องมืดทืบชื้นแฉะ มีกองเศษเนื้อและเลือดกระจายไปทั่วพร้อมกับอุปกรณ์หน้าตาสยดสยองเต็มฝาผนังคือผมมองโลกในแง่ร้ายมากไปงั้นเรอะ
ผมเปิดลิ้นชักทุกอัน ส่องใต้ตู้เตียงทุกที่เพื่อหาร่องรอยการปรับปรุงครั้งใหญ่ หรืออุปกรณ์น่ากลัวที่อาจจะมีซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่งแต่ก็ไม่พบ ที่นี่เหมือนเป็นห้องรับรองอาคันตุกะทั่วๆไป
หรือไม่ก็เป็นที่ทำให้เหยื่อตายใจ?
ผมกลืนน้ำลายอีกที สะบัดหน้าไล่ความผวา
ทำไมผมต้องคิดถึงเรื่องน่ากลัวตลอดเวลาด้วยนะ แต่มันก็ช่วยไม่ได้ ถ้าลองได้ถูกทักทายด้วยการบีบคอจนหน้าเขียวแล้วล่ะก็ คนสติดีที่ไหนจะเชื่อว่าตัวเองจะได้รับการรับรองแบบปกติได้ล่ะ
"อาหารเย็นครับ" เบต้าคนเดิมนำถาดสีเงินเข้ามาเสิร์ฟอาหาร ทุกอย่างหน้าตาน่ากินมาก กลิ่นหอมอ่อนๆ แถมร้อนกำลังดีอีก ทำเอาผมน้ำลายสอจนแทบลืมวัตถุประสงค์การมาเยือนไปแล้วถ้าไม่รีบเรียกสติกลับมาก่อน
"อะแฮ่ม เอ่อ ตอนนี้จักรพรรดิอาเบลอยู่ที่ไหนเรอะ คือว่าผมมีเรื่องสำคัญจะบอกท่านน่ะ"
เจ้าเบต้าผู้เรียบร้อยไม่สบตาผม แต่ตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ
"ท่านเสร็จธุระแล้ว อีกไม่นานจะมาพบปะกับท่าน ขอให้ท่านรับประทานอาหารให้อิ่มท้องก่อน แล้วนี่เป็นชุดสำหรับผัดเปลี่ยน โปรดชำระร่างกายให้สะอาดด้วยครับ"
อืม ดูแลดีสุดๆ ผมกำลังชื่นชมกับมารยาทของเบต้าที่ขอตัวออกจากห้องไปอย่างสงบเสงี่ยม แล้วจึงค่อยเอะใจกับประโยคสุดท้าย
ทำไมต้องชำระร่างกายก่อนเจอด้วยล่ะ? นี่ผมดูสกปรกโสโครกขนาดนั้นเลยเรอะ? หรือเป็นธรรมเนียมของที่นี่ ต้องสะอาดจนผิวสะท้อนแสงได้จึงจะเข้าพบองค์จักรพรรดิได้งั้นเรอะ
ผมหยิบชุดมาสำรวจ เป็นผ้าไหมที่เรียบลื่น ใส่สบาย ผมรีบกินอาหารจนเกลี้ยงแล้วเตรียมถอดเสื้อผ้าไปชำระร่างกายอย่างว่าง่าย ประตูก็ถูกกระแทกเปิดออก
"ทำไมแกมาอยู่ที่นี่!!"
คนมาถึงตวาดเสียงดัง ผมตกใจจนหัวใจไปอยู่ตาตุ่ม...อะอาเบลกลับมาแล้ว ผมลุกลี้ลุกลนใส่เสื้อผ้ากลับแล้วรีบทูลบอกความจริง
"บะเบต้าของท่านเป็นคนพาผมมาที่นี่เองนะ"
ขอโทษนะเบต้าผู้แสนดีคนนั้น แต่ทุกคนต้องเอาตัวรอดไว้ก่อน ยังไงก็ขอให้เจ้าปลอดภัยนะ ถ้าโดนเนรเทศก็มาอยู่ที่ดาวผมได้ ผมจะยกตำแหน่งเบต้าอันดับหนึ่งให้เลย
"งั้นเรอะ" สีหน้าอาเบลเหมือนจะคาดโทษเอาไว้
"แล้วแกมาที่นี่ทำไม"
อ่า ในที่สุดก็ได้เข้าประเด็นที่พาผมมาเสี่ยงอันตรายซะที ผมรีบลุกขึ้นคว้าโอกาสที่เข้ามาทันที
"เจ้าตัวประหลาดนั่นกำลังมาที่นี่อาเบล เจ้าหน้ากากที่ล่าอัลฟ่า!"
"แกรู้ได้ยังไง?"
คำถามที่ผมไม่รู้จะบอกยังไงดี ผมไม่รู้ว่าไอ้แผนที่นั่นมันทำงานยังไง ไม่รู้ว่าท่านไนท์ทำได้ยังไง และก็ไม่รู้ด้วยว่าการพาอาเบลไปที่แก่นดาวเพื่อดูด้วยตาตัวเองจะสามารถทำได้หรือเปล่า
"ผมรู้เพราะว่าที่แก่นดาว มันมีแผนที่แปลกๆ ที่ระบุเส้นทางของมัน อาเบล ผมคิดว่าเป็นฝีมือของรุ่นก่อนที่พยายามจะแกะรอยมันไว้ แต่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาทำได้ยังไง"
จักรพรรดิทำสีหน้าครุ่นคิด คิ้วเรียวของเขาขมวดมุ่นเหมือนกำลังคำนวนถึงความเป็นไปได้ในสิ่งที่ผมพูด แล้วเขาก็พยักหน้าเบาๆ
"เรื่องของแผนที่นั้นน่าสนใจ เพราะมันกำลังมาที่นี่จริงๆ เรากำลังวางแผนล่อมันมา" อาเบลเอ่ยเรียบๆ
ห๊ะ
ผมคิดว่าตัวเองหูฝาดไป แต่ไม่...อาเบลไม่ใช่คนพูดพล่อยๆ
"นายล่อมันมา? เพื่ออะไรกัน?"
อาเบลเหลือบมองผมด้วยหางตาประหนึ่งผมเป็นสิ่งมีชีวิตที่โง่งมที่สุดในจักรวาล
"มันจะได้จบไง จะได้ไม่ต้องเสียเวลา เสียทรัพยากรกองทัพไปคุ้มกันสมาชิกโง่ๆ ที่ยืนเซ่อให้โดนล่า"
อันนี้ด่าผมจริงๆ เจ็บแปล๊บไปถึงทรวงในเลย
"จริงๆแล้วตามแผนแรกเราตั้งใจจะใช้ดาวของใครสักคนล่อมันไปตรงนั้น แล้วยิงทิ้งทั้งดาวไปเลย แบบนั้นจะแน่นอนกว่า"
ข้อเสนอนี้เหมือนมีคนเอ่ยถึงในที่ประชุม แต่โดนท่านประธานปัดตกไปนี่หน่า
"ตอนนั้นมันมีปัญหาว่าจะใช้ดาวไหนเป็นเป้าล่อมันล่ะ? เชื่อเลยว่าไอ้คนเสนอมันก็ไม่คิดจะเสนอดาวตัวเองหรอก"
อ่า แล้วท่านมองผมทำไม อย่าทำร้ายดาวที่น่ารักของผมเลยนะ แต่เมื่อกี้อาเบลบอกว่าเขากำลังล่อมันมาที่นี่ นี่แปลว่าเขายอมใช้ดาวของตัวเองเป็นสนามรบงั้นเรอะ เขาเป็นคนดีขนาดนี้เลยเรอะเนี่ย
"นี่ไม่ใช่ดาวหลักหรอก" อาเบลเอ่ยเหมือนรู้ว่าผมคิดอะไรอยู่ "ดาวดวงนี้เป็นหนึ่งในดาวบริวารที่รกร้างที่สุด จริงๆก็เหมือนดวงจันทร์ที่โคจรรอบดาวแม่อีกทีน่ะแหละ พังไปสักดวงก็ช่างมัน ขี้เกียจตั้งชื่อให้อยู่แล้ว"
"…"
ผมได้ฟังแล้วสมองว่างเปล่าไปเลยครับ สมกับเป็นคำพูดของหมู่ดาวที่มีดาวบริวารมากที่สุดจริงๆ นี่คือเหตุผลที่ท่านชอบเล็งปืนน่ากลัวนั่นใส่ดาวชาวบ้านใช่มั้ย ท่านรู้หรือเปล่าว่าคนอื่นเขาไม่ได้มีดาวหลายดวงแบบท่านนะ
"แล้วเมื่อกี้ที่ว่ามันเข้ามาใกล้แล้ว?"
"อืม มันมาแล้ว แต่จู่ๆก็หายไป จับสัญญาณไม่ได้เฉยๆ มันคงรู้ตัวแล้วถอยไปแล้ว เฮอะ มันก็ดีแต่เล่นงานพวกกระจอกที่ไม่ได้เตรียมตัวเท่านั้นแหละ"
อาเบลสบถอย่างหัวเสีย ส่วนผมนี่โล่งอกที่ไม่เกิดการต่อสู้ขึ้นอีก เจ้าตัวประหลาดนั่นนับว่ามีสัญชาตญาณดีเหมือนกันนะ
"ส่วนแกในเมื่ออยากลนหาที่นัก ชีวิตตัวเองก็ดูแลเองล่ะ แกไม่นับเป็นอาคันตุกะของดาว เป็นแค่ผู้ลักลอบเข้าดาวผิดกฎหมาย ตามปกติแล้ว ต่อให้เอาแกไปโยนทิ้งในโซนขยะอวกาศก็ไม่ผิดกฎภาคีหรอกนะ"
อุ๊ก แล้วท่านจะเอาผมไปโยนตรงนั้นทำไมล่ะ แต่แบบนี้แปลว่าการมาเยือนของผมมันไร้ประโยชน์ตั้งแต่ต้นจนจบเลยนี่หน่า ผมอนาถตัวเองจริงๆ
"แกมาที่นี่ผ่านเส้นทางนั้นสินะ" อาเบลเอ่ยทำลายความเงียบ
หมายถึงไอ้ทางลับที่เขียนว่าห้องนอนอะไรนั่นใช่มั้ย แสดงว่าทางลับนี้เป็นสิ่งที่ได้รับอนุญาตจากองค์จักรพรรดิน่ะสิ แต่ชื่อทางลับน่าจะเป็นความคิดของท่านไนท์เองมากกว่าผมกล้าพนันหมดหน้าตักเลย
เมื่อเห็นผมพยักหน้า อาเบลหลุบตาลงแล้วสักพักก็ลืมตากว้าง ทับทิมสีแดงก่ำคู่นั้นอ่านลึกเข้าไปในดวงตาของผมอย่างค้นหา แล้วเอ่ยถามเพียงแผ่วเบา
"แกน่ะ...ใช่ไนท์จริงๆหรือเปล่า?"