"ฝุ่นละออง PM 2.5 มาจากไหน..."
[การเผาในที่โล่ง 54 %]
[เขม่าควันจากปล่องโรงงานอุตสาหกรรม 17 %]
[การขนส่ง ไอเสียจากเครื่องยนต์ 13 %]
[การผลิตไฟฟ้า 8 %]
[ที่พักอาศัย 7 %]
[ไม่ระบุ 1 %]
"ซึ่งเป็นปัญหาวิกฤตทางด้านอากาศที่ทุกชีวิตใช้ในกระบวนการแลกเปลี่ยนก๊าซหายใจ..."
ต้าเหนิง หวัง "ฝุ่นละออง PM 2.5 อันตรายขนาดไหน..."
"โรคมะเร็งปอด โรคถุงลมโป่งพอง โรคปอดอุดตันเรื้อรัง ติดเชื้อระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง โรคหัวใจขาดเลือด และโรคหลอดเลือดสมอง ภาวะสมองเสื่อมเร็วกว่าปกติ..." แคสซิโอเปียราวกับโต้ตอบนักข่าวในหน้าจอ
"ภูมิแพ้ที่ตาเรื้อรัง ปัญหาการได้ยินและการพูด ภูมิแพ้ มีอันตรายต่อเด็กในครรภ์…"
แคสซิโอเปียใช้ส้อมจิ้มฟักทองนึ่งที่เฉือนเป็นชิ้นแผ่นบางนุ่มพอดีคำเข้าปาก "สารต้านอนุมูลอิสระที่มีในผักและผลไม้เหมาะมากๆ สำหรับช่วงเวลานี้" เธอยังคงแกะกระดาษกาว
"องค์การอนามัยโลกรายงานสถิติคนเสียชีวิตจากการได้รับมลพิษทางอากาศและฝุ่นละออง PM 2.5 มากถึง 4.2 ล้านคนต่อปี" เกร็กกระแสเสียงจริงจัง
"จนกว่าสถานการณ์ PM 2.5 จะดีขึ้น ไม่ควรมีสิ่งมีชีวิตใดได้รับผลกระทบจากปัญหาฝุ่นควันพิษ…"
แย่ล่ะสิ! ไม่ใช่หมอก!
= ริมระเบียง-ดาดฟ้า =
"อื้ม อากาศบริสุทธิ์" อเล็กซานเดอร์อ้าปาก สูดจมูก ปอด-ท้องขยาย แต่เพียงครู่เดียว เขาเริ่มไอเสียงแค่กๆๆๆๆๆๆ อย่างผนังจมูกและลำคอแห้งฉับพลัน ราวกับคาร์บอนไดออกไซด์เข้ากระแสเลือดจนเป็นกรดมากขึ้น กระตุ้นกล้ามเนื้อที่ใช้ในการหายใจจนหอบและถี่กระชั้นอย่างลำบาก
อเล็กซานเดอร์แน่นหน้าอกจนทรุดล้มลง
"โรคฝุ่นจับปอด" เสียงอะลีฟ หยุดเท้าของบดินทร์อยู่กับที่
รุ่นพี่ชั้นปีที่ 7 สวมหน้ากากสำหรับป้องกันมลพิษทางอากาศ ใส่แว่นตา ทั้งร่างกายมองไม่เห็นผิวหนังของเขา
"ถ้านายสูดฝุ่นละอองของสารแอสเบสตอสหรือใยแก้ว ใยหินเข้าไป นายก็คงต้องเดินทางไปดินแดนหน้า มีชีวิตอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว"