Chereads / ลูกหมาตัวนั้น...คือ Last Boss งั้นเหรอครับ!? / Chapter 12 - บทที่ 11 - ใบหน้าของผู้เสแสร้ง

Chapter 12 - บทที่ 11 - ใบหน้าของผู้เสแสร้ง

บทที่ 11 - ใบหน้าของผู้เสแสร้ง

.

.

"ฮ้าว…"

วาลเรียสอ้าปากหาวขณะยกสองแขนขึ้นเหนือหัว เดินพลางบิดขี้เกียจออกมาจากประตูบ้านของตัวเองตั้งแต่เช้ามืด

ด้านหลังยังมีลูกสุนัขที่ก้าวเตาะแตะด้วยท่าทีสะลึมสะลือตามมาติดๆ เจ้าลูกหมาอ้าปากกว้างจนเห็นลิ้นสีชมพูอ่อน ราวกับกำลังหาวตามด้วยท่าทีน่ารักน่าชัง

"เอาล่ะ วันนี้ก็มาเริ่มกันเลย!"

หลังพูดให้กำลังใจตัวเองเสร็จสิ้น เด็กหนุ่มคว้าส้อมพรวนดินอันเล็กๆ ขึ้นมาเหน็บไว้ตรงข้างเอว คว้าถังไม้เดินตรงไปยังบ่อน้ำด้วยท่าทีกระฉับกระเฉง

เพื่อให้มีเวลาเหลือพอไปคัดเลือกเควสที่ดูเข้าท่า วาลเรียสเปลี่ยนมาตื่นเช้าขึ้นอีกนิดเพื่อจัดการงานในไร่ของตนให้เสร็จเรียบร้อย ก่อนจะวุ่นอยู่กับการทำงานและกลับมาดูแลฟิลันที่บ้าน

พอสถานการณ์เป็นแบบนี้ วาลเรียสเลยไม่กล้าปล่อยให้เจ้าลูกหมาออกมาเล่นด้านนอกนานนัก แม้จะกังวลอยู่บ้างว่าอีกฝ่ายจะเบื่อหรือไม่ แต่ฟิลันก็ไม่เคยทำตัวดื้อดึงให้เขาต้องหนักใจเลยแม้แต่น้อย

ลูกหมาสีเทาดำเดินตามคนที่อยู่ด้านหน้าต้อยๆ เจ้าก้อนขนเถลไถลไปข้างทางบ้างเมื่อมีแมลงหรือสิ่งอื่นๆ ที่น่าดึงดูดใจ แต่ถ้าได้ยินเสียงเรียกของเด็กหนุ่มก็จะรีบวิ่งกลับมาหาทันที

ฟิลันใช้ช่วงเวลารดน้ำตอนเช้าเดินสำรวจรอบแนวรั้วของบ้านหลังเล็กซึ่งตอนนี้นับว่าเป็นอาณาเขตของมัน จมูกสีชมพูอ่อนขยับฟุดฟิดยามเจ้าหมาก้มลงดมกลิ่น

เมื่อกลางดึกมีฝนตกลงมาเล็กน้อย กลิ่นของน้ำ ดินแห้ง และกลิ่นอื่นๆ จึงผสมปนเปกันไปหมด อุ้งเท้าน้อยๆ กดลึกลงบนพื้นหมาด ทิ้งรอยเท้าสายหนึ่งตามหลังมาเป็นทางยาว

ใบหูทรงสามเหลี่ยมกระดิกไปมายามได้ยินเสียงผิดปกติ ดวงตาสีเหลืองจับจ้องไปยังพุ่มไม้หลังแนวรั้วที่ขยับไหวเบาๆ

ฟิลันเงยหน้าขึ้นสูดกลิ่น แต่ลมเย็นๆ จากด้านหลังกลับพัดไปทางพุ่มไม้ดังกล่าว ลูกสุนัขที่อยู่เหนือลมจึงไม่ได้กลิ่นที่เป็นประโยชน์อะไรเลย

"โฮ่งๆ !"

มันตัดสินใจเห่าเรียกอีกคนให้มาดูด้วยกัน ก่อนที่ลูกหมาตัวเล็กค่อยๆ ก้าวเข้าไปก่อนอย่างระมัดระวัง

"ฟิลัน? มีอะไรเหรอ…"

วาลเรียสซึ่งกำลังรดน้ำผักหันไปตามเสียงของเจ้าลูกหมา ก่อนที่เสียงหนึ่งจะดังมาจากทางหน้าบ้าน

"เจ้าหนู! อยู่รึเปล่า?"

เด็กหนุ่มหันไปอีกทาง เขาทันเห็นเงาร่างของเพื่อนบ้านที่อาศัยอยู่ตรงข้ามยืนอยู่หน้าประตูร้ัวเพียงชั่วครู่ ก่อนที่เสียงร้องของฟิลันจะดังขึ้นกะทันหัน

"เอ๋ง!?"

ลูกสุนัขสะดุ้งสุดตัวยามความเจ็บปวดแล่นปราดที่อุ้งเท้าหน้า มันกระโดดพลางสะบัดตัวหนีตามสัญชาตญาณ แต่กลับไม่อาจดิ้นหลุดจากเขี้ยวโลหะแหลมที่แทงผ่านกลุ่มขน ฝังลึกลงไปถึงเนื้อหนังได้

"ฟิลัน!?"

วาลเรียสเบิกตากว้างเมื่อคล้ายจะเห็นสีสันของเลือด ถังไม้ในมือหล่นกลิ้งอยู่บนพื้นขณะที่เด็กหนุ่มกระโจนไปข้างหน้า แต่กลับไปไม่ถึงตัวของเจ้าลูกหมา เมื่อไหล่ขวาถูกใครบางคนคว้าจับเอาไว้กลางคัน

"ทำอะไร!? ปล่อยผม!"

เด็กหนุ่มหันไปเจอเพื่อนบ้านที่วิ่งเข้ามาประชิดตัวตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ วาลเรียสพยายามขืนหนี แต่มือของอีกฝ่ายนั้นกลับยึดตัวของเขาเอาไว้อย่างแน่นหนาราวกับคีม

"โทษที แต่ถ้าหมาป่าตัวนั้นยังอยู่ บ้านฉันก็ยังหลับไม่สนิทกันสักคืนเดียว…"

เสียงพึมพำเป็นเชิงขอลุแก่โทษดังขึ้นข้างหู วาลเรียสสัมผัสได้ถึงความโกรธที่แล่นขึ้นเป็นริ้ว โดยเฉพาะเมื่อเห็นชายในชุดนักล่าเดินเข้าไปหาลูกหมาของตนด้วยท่าทีหมายมาด

"ทั้งที่มันยังไม่เคย…ไม่เคยทำร้ายใครเลยด้วยซ้ำ!"

เด็กหนุ่มโกรธจนปากคอสั่น แต่ที่มากยิ่งกว่านั้น คือแค้นใจที่ตนเองไม่มีพลังใดๆ จะไปห้ามปรามเหล่าชาวบ้านซึ่งรวมหัวกันมาจัดการฟิลันโดยเฉพาะได้เลยสักนิดเดียว

"ปล่อย! ปล่อยผมนะ! อย่าทำอะไรมัน…ฟิลันหนีไป!"

เสียงของคนที่อาศัยร่วมกันมาแรมเดือนดังมาจากที่ไกลๆ เจ้าลูกหมาฝืนความเจ็บร้าวที่อุ้งเท้าหน้าขณะพยายามลุกขึ้นยืน มันแยกเขี้ยวขาวขู่คำรามใส่ชายที่เดินเข้ามาใกล้อย่างดุร้าย

"เย็นไว้…เย็นไว้…ว่าง่ายๆ นะไอ้ตัวเล็ก"

นายพรานก้าวเข้าไปใกล้เหยื่อซึ่งเหยียบโดนกับดักของตนเองไปเต็มๆ อย่างย่ามใจ มือหนึ่งควงไม้ยาวติดตะขอปลายแหลมไปมาด้วยท่าทีอารมณ์ดี

"คงไม่อยากให้ฉันใช้ไม้แข็งหรอกใช่ไหม?"

ฟิลันคำรามในลำคอเป็นคำตอบ

ดวงตาสีเหลืองทอประกายดุร้ายขณะกวาดมองรอบตัว มันอ้าปากกว้างพลางกระโจนเข้าหาคนที่อยู่ตรงหน้าอย่างรวดเร็ว!

"ไอ้ตัวเลี้ยงไม่เชื่องนี่!"

นายพรานสะบัดไม้จับสัตว์คู่กายอย่างรวดเร็วพลางใช้สกิลของตน ประกายสีขาวสว่างวาบ ก่อนที่ท่อนไม้ซึ่งมีหนามแหลมเรียงรายอยู่เต็มจะฟาดเข้ากลางลำตัวของลูกหมาอย่างจัง

"กรร! ฮื่อ…"

หยดเลือดไหลซึมลงมาตามแนวขนสีเทาดำ ฟิลันพยายามหลบเลี่ยงท่อนไม้ติดหนามที่ถูกเหวี่ยงลงมา แต่เมื่อขาข้างหนึ่งยังติดอยู่ในกับดักเหล็ก ลูกสุนัขจึงแทบจะถูกไล่ตีอย่างไม่มีทางสู้

"เก่งนักใช่ไหม? คงต้องตีให้หมอบก่อนถึงจะยอมเชื่อง…"

ใบหน้าของนายพรานพลันปรากฎแววเหี้ยมเกรียมสายหนึ่ง เดินหน้ารุกไล่เหยื่อในกำมือจนไม่ทันสังเกตเห็นท่าทีของอีกฝ่าย

ฟิลันที่กำลังรอคอยจังหวะอยู่ เมื่อเห็นช่องว่างของชายซึ่งก้าวเข้ามาอย่างย่ามใจ ลูกสุนัขก็ดีดตัวขึ้นขย้ำท่อนแขนของคนที่ทำร้ายมันทันที!

"โอ๊ย!? ไอ้เวรนี่!!"

นายพรานที่ถูกเหยื่อแว้งกัดร้องลั่น สะบัดแขนออกไปข้างหน้าตามสัญชาตญาณ แต่กลับเปิดทางหนีให้ลูกสุนัขโดยไม่ได้ตั้งใจ

ฟิลันซึ่งกัดเนื้ออีกฝ่ายจมเขี้ยวอาศัยจังหวะที่นายพรานสะบัดมันออกรีบอ้าปาก ลูกหมาโดนเหวี่ยงจนตัวลอยกลิ้งไปบนพื้นสองตลบ ลุกยืนได้ก็วิ่งหนีเข้าไปในแนวป่าที่อยู่ถัดออกไปไม่ไกลทันที

"อย่าหนีนะ!"

นายพรานกุมแขนข้างที่บาดเจ็บด้วยสีหน้าบิดเบี้ยว รีบไล่ตามเหยื่อที่ประมาทจนเผลอปล่อยให้หลุดมือไปทันที

.

"ฟิลัน…ฟิลัน!"

มือหนึ่งยกขึ้นป้องใบหน้าขณะก้าวผ่านแนวต้นไม้ใหญ่ ร่างของเด็กหนุ่มเคลื่อนผ่านแนวป่าไปอย่างทุลักทุเล กิ่งไม้ที่เฉียดผ่านผิวเนื้อซึ่งอยู่นอกร่มผ้าทิ้งรอยแดงเป็นเส้นเอาไว้หลายสาย

"อยู่ที่ไหนกันนะ…"

วาลเรียสกวาดตามองรอบข้างอย่างไม่แน่ใจ แม้เขาจะเคยมานั่งเล่นอยู่ที่ชายป่าหลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยเข้าไปในป่าลึกขนาดนี้มาก่อน

กว่าแรงที่จับไหล่ตนเองไว้จะคลายออก ทั้งลูกหมาทั้งนายพรานก็หายลับไปในแนวป่าจนไม่เหลือแม้แต่เงาแล้ว เด็กหนุ่มสะบัดตัวออกจากมืออีกฝ่ายได้ก็วิ่งตามไปทันที ไม่สนใจเสียงห้ามปรามของชาวบ้านที่มามุงดูอยู่โดยรอบแม้แต่น้อย

ไม่สิ เรียกว่ามาดูผลงานของตัวเองซะมากกว่า!

วาลเรียสสบถคำด่ายาวเหยียดเมื่อนึกถึงท่าทีเสแสร้งของคนที่ก้าวเข้ามากล่าวขอโทษกับเขา เพื่อความปลอดภัย? เพื่อความสบายใจของทุกคนในหมู่บ้าน?

ข้อแก้ตัวพรรคนั้นฟังแล้วอยากจะอ้วก!

รอยเลือดที่ลากยาวตั้งแต่บริเวณลานบ้านหลังเล็ก มาจนถึงตอนนี้ยังไม่แห้งดีเสียด้วยซ้ำ แค่เห็นเลือดสีแดงหยดเล็กๆ ที่กระเซ็นอยู่ตามกิ่งไม้ใบหญ้าสูงระพื้น ขอบตาของเด็กหนุ่มก็เริ่มร้อนผ่าวขึ้นมาหน่อยๆ

จะบาดเจ็บมากไหม? ตอนนี้อยู่ที่ไหนแล้ว? หรือว่าโดนตามจับได้แล้วหรือเปล่า?

วาลเรียสพยายามข่มกลั้นอารมณ์ขณะหอบหายใจ แสงอาทิตย์ซึ่งแผดเผาลงมาจากเบื้องบนนั้น ยิ่งทำให้คนไม่ค่อยออกกำลังกายรู้สึกอ่อนเพลียมากขึ้น

แม้จะเหน็ดเหนื่อยแต่เขาก็ไม่คิดจะหยุดพัก เด็กหนุ่มเดินวนเวียนอยู่ในป่าตั้งแต่เช้าตรู่ แต่ตะโกนเรียกจนเสียงแหบแห้งแล้วก็ยังไม่เจอแม้แต่เงาของเจ้าก้อนขนที่ตนตามหา

วาลเรียสเอนหลังพิงต้นไม้ด้วยลำคอที่แห้งผาก เวลาที่ล่วงเลยมาจนถึงยามบ่ายแก่แล้วทำให้เขาเริ่มรู้สึกวิงเวียน

ร่องรอยบนพื้นหญ้าหายไปนานแล้ว นอกจากจะยังหาฟิลันไม่เจอ ตอนนี้เขาอาจจะพลอยหลงป่าไปด้วยแล้วก็ได้

เด็กหนุ่มส่งเสียงขลุกขลักในลำคอราวกับอยากจะหัวเราะ อดรู้สึกสมเพชตัวเองขึ้นมาไม่ได้

ถ้าเขาเก่งกว่านี้ แข็งแกร่งกว่านี้ล่ะก็…

เสียงกรอบแกรบดังมาจากด้านหลัง วาลเรียสสะดุ้งเฮือก

เขาค่อยๆ หันหน้าไปมองช้าๆ หัวใจเต้นแรงจนรู้สึกเจ็บ

โอกาสครึ่งหนึ่ง เขาอาจจะเจอเข้ากับมอนสเตอร์ดุร้ายที่ซ่อนตัวอยู่ในป่าเข้าแล้ว

ส่วนอีกครึ่งหนึ่ง…

"ฟิลัน!"

เสียงอุทานแหบพร่าที่ผู้เป็นเจ้าของยังรู้สึกว่ามันทุเรศสิ้นดีดังขึ้นเบาๆ เด็กหนุ่มทรุดลงคุกเข่าหน้าลูกสุนัขที่เดินโซเซออกมาจากพุ่มไม้ สองมือยกค้างอยู่กลางอากาศ ไม่รู้จะวางมือลงตรงไหนของกลุ่มขนที่เปื้อนเลือดเกรอะกรัง

"หงิง…"

เจ้าลูกหมาเดินเซๆ เข้าไปหาฝ่ามือที่รอรับ วาลเรียสก้มลงกอดอีกฝ่ายเอาไว้หลวมๆ พยายามไม่ให้โดนบาดแผลจนบาดเจ็บมากกว่าเดิม

"ปะ เป็นยังไงบ้าง? เจ็บตรงไหน…หาผมเจอได้ยังไงเนี่ย"

เด็กหนุ่มเปลี่ยนคำถามที่ฟังดูงี่เง่าหน่อยๆ เสียกลางคัน เขาสูดจมูกเบาๆ เมื่อรู้สึกว่าภาพตรงหน้าเริ่มเบลอหน่อยๆ เพราะน้ำตาที่เอ่อขึ้นมา

"หงิงๆ งี้ดด"

ฟิลันครางเสียงยาวราวกับอยากจะออดอ้อน หรือไม่ก็กำลังส่งเสียงฟ้องเรื่องที่เกิดขึ้นกับมันอยู่ในที

วาลเรียสส่งเสียงหัวเราะกระท่อนกระแท่นออกมาสองสามคำ เผลอกอดลูกหมาตรงหน้าแน่นเกินไปวูบหนึ่ง

"ไม่เป็นไรแล้วนะคนเก่ง กลับบ้านเรา…ไม่สิ ไปจากที่นี่กันเถอะ"

.

หลังจากปลอบโยนเจ้าหมาที่บาดเจ็บ (หรือไม่ก็ลูกหมาปลอบโยนเจ้านายที่ฟูมฟายหนักกว่ามัน) เรียบร้อยแล้ว วาลเรียสเพิ่งนึกได้ว่าตนควรหาทางทำอะไรสักอย่างกับบาดแผลของอีกฝ่าย

โชคดีที่หลังจากเรื่องราววุ่นวายทั้งหลายแหล่ ส้อมพรวนดินอันนั้นก็ยังติดอยู่ข้างเอวเด็กหนุ่มอย่างแน่นหนา เขาเลยใช้มันฉีกเอาแขนเสื้อที่ยังดูสะอาดออกมาข้างหนึ่ง

"หวังว่ามันจะได้ผลนะ…"

วาลเรียสบ่นพึมพำกับตนเองขณะสอดปลายโลหะแหลมเข้าไประหว่างเงี่ยงของกับดัก ลูกสุนัขหอบหายใจแฮ่กๆ ขณะที่เขาออกแรงงัดเต็มแรง

เสียงโลหะเบียดสีกันฟังดูเสียดหู เด็กหนุ่มต้องใช้น้ำหนักตัวโถมเสริมแรงลงไปด้วยถึงสามารถง้างกับดักเหล็กออกมาได้เล็กน้อย ฟิลันอาศัยจังหวะดังกล่าวชักอุ้งเท้าหน้าออกมาทันที

ซี่โลหะแหลมดีดปิดอย่างแรงจนงับปลายขนสีเทาไปหลายเส้น ส้อมพรวนดินก็บิดงอไปเรียบร้อย วาลเรียสทิ้งอุปกรณ์ที่เสียชีวิตในหน้าที่ไปอย่างไม่อาลัยอาวรณ์นัก ขณะที่เจ้าลูกหมายกอุ้งเท้าที่บาดเจ็บขึ้นเลียทันที

"อย่าเลียสิ เอ…เอ่อ ช่างเถอะ"

เด็กหนุ่มขมวดคิ้วพลางครุ่นคิด เขาไม่แน่ใจว่าในสถานการณ์ที่ไม่มีน้ำสะอาดให้ล้าง ไม่มียาให้ทาเช่นนี้ควรทำยังไง สุดท้ายเลยปล่อยให้มันทำแผลด้วยวิธีแบบหมาๆ ไปตามใจชอบ

ฟิลันยื่นอุ้งเท้าที่เลียคราบเลือดและฝุ่นดินออกจนเกลี้ยงมาด้านหน้า วาลเรียสใช้แขนเสื้อที่ฉีกออกมาพันรอบบาดแผลแน่นๆ

แผลที่เหลือนั้นถึงจะดูน่ากลัวแต่ไม่ร้ายแรงนัก วาลเรียสเช็คแล้วเช็คอีกอยู่หลายรอบ ก่อนจะยอมรามือไปเมื่อเห็นว่ารอยเหล่านั้นเลือดหยุดไหลหมดแล้ว

หนึ่งคนหนึ่งสุนัขนั่งอยู่ข้างกันเงียบๆ ใต้โคนต้นไม้ใหญ่ รอจนเวลาล่วงเลยไปจนเย็นย่ำ จึงค่อยๆ มุ่งหน้ากลับไปทางหมู่บ้านโดยใช้ความมืดที่เริ่มโรยตัวลงมาเป็นที่กำบัง