บทที่ 12 - เส้นทางที่บิดผัน
.
.
เมื่อใกล้ถึงแนวชายป่า วาลเรียสก้มลงพูดกับลูกหมาที่เดินอยู่ด้านข้าง
"รออยู่แถวนี้เถอะ ผมไปไม่นาน"
"งี้ดๆ ฮื่ออ"
ฟิลันส่งเสียงประท้วงอย่างไม่เห็นด้วย เจ้าลูกหมาเดินวนเวียนไปมาราวกับอยากให้อีกฝ่ายเปลี่ยนใจ มันแยกเขี้ยวขึ้นนิดหน่อยยามนึกถึงคนที่รวมหัวมาทำร้ายกันถึงในบ้านเป็นครั้งที่สอง
"ฟิลันรออยู่นี่เถอะ นะ? ผมจะรีบไปรีบกลับให้เร็วที่สุดเลย ถ้าต้องวิ่งอีกกลัวว่าแผลจะแย่ลง…"
เด็กหนุ่มเกลี้ยกล่อมเจ้าหมาซึ่งแสดงท่าทีดื้อดึงอย่างหาได้ยาก
หลังจากหว่านล้อมอยู่ครู่หนึ่ง ลูกหมาสีเทาดำถึงยอมลากขาที่บาดเจ็บเข้าไปซ่อนอยู่ในพุ่มไม้ด้วยท่าทีไม่เต็มใจ ดวงตาสีเหลืองอ่อนวาววับท่ามกลางความมืด
วาลเรียสซอยเท้าสั้นๆ ลัดเลาะไปตามแนวป่า ใช้ทางอ้อมจากรอบนอกไปที่อีกฝั่งของหมู่บ้านเพื่อหลบเลี่ยงสายตาผู้คน
ถนนในยามค่ำคืนนอกเขตร้านค้าล้วนว่างเปล่า เด็กหนุ่มลอบเข้าไปในบ้านที่อาศัยหยิบยืมหนังสือมาตลอดหลายปีอย่างรวดเร็ว
เขาพึมพำคำขออภัยและอื่นๆ อีกยาวเหยียดขณะรื้อเอากระเป๋าสะพายทนทานใบหนึ่งออกมาจากด้านหลังตู้ หลังปลดสลักเปิดฝากระเป๋าออก วาลเรียสก็หยิบหนังสือที่คิดว่าน่าจะมีประโยชน์ยัดใส่ลงไปเป็นตั้งๆ
เด็กหนุ่มสะพายกระเป๋าไว้บนไหล่พลางลอบออกจากบ้านร้าง ทิ้งอีกหนึ่งสถานที่คุ้นเคยในความทรงจำ และชั้นหนังสือที่ว่างเปล่าเป็นแถบๆ ราวกับถูกยกเค้าเอาไว้เบื้องหลัง
ดวงจันทร์เคลื่อนหลบหลังก้อนเมฆเผยให้เห็นเพียงแสงสลัว วาลเรียสมุ่งตรงไปที่บ้านของตนเองอย่างรวดเร็วเท่าที่สองขาหนักอึ้งจะเอื้ออำนวย
เด็กหนุ่มเดินผ่านรั้วไม้ที่เปิดอ้า ผ่านลานบ้านที่ยุ่งเหยิงไปด้วยรอยเท้า รวมไปถึงคราบเลือดที่ถูกทิ้งไว้อย่างไม่ใส่ใจจนเริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำคล้ำ
โชคดีที่รอบนี้ประตูบ้านยังคงปิดสนิท เขาคลำทางเข้าไปในห้องนอนโดยไม่ได้เปิดไฟ ก่อนจะกลับออกมาพร้อมตะเกียงเรืองแสงดวงเล็กๆ ที่ไม่สว่างพอจะดึงดูดความสนใจของคนรอบข้าง
วาลเรียสพยายามทบทวนรายการของใช้จำเป็นที่นึกมาตั้งแต่ช่วงเย็น วัตถุดิบและเครื่องปรุงที่เหลืออยู่ในครัวถูกกวาดมาจนเกลี้ยง เขาไม่ได้เอาอะไรจากห้องนอนมานอกจากพวกเสื้อผ้าที่ทนทานหน่อย ก่อนจะมายืนกอดอกอยู่หน้าของที่ก่ายกองอยู่รอบโซฟาด้วยท่าทีหนักใจ
เด็กหนุ่มพยายามคัดของที่ตนเองสะสมมานานอย่างยากลำบาก แม้กว่ากระเป๋าหลายช่องที่เขาขอยืมมาจากเพื่อนบ้านที่สาบสูญนั้นจะสามารถจุของได้มาก แต่ก็ไม่มีที่เหลือเพียงพอสำหรับของทั้งหมดแน่นอน
แม้จะพยายามแล้วแต่กองของมากมายนั้นก็ยังพร่องลงไปเกือบครึ่ง วาลเรียสตัดใจก้าวถอยออกมาพลางปลอบตัวเอง
"ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้กลับมาอีกแล้วสักหน่อย…"
…จริงๆ น่ะเหรอ?
ร่างเพรียวยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางบ้านที่มืดสนิท มีเพียงแสงสว่างจากตะเกียงดวงเล็ก ที่พอจะทำให้เห็นสภาพโดยรอบได้ใต้แสงสลัว
ท่ามกลางบ้านที่คล้ายจะดูแปลกตาไปแม้จะอาศัยอยู่มาตลอดชีวิต หน้าต่างสีฟ้าอ่อนกางออกข้างเด็กหนุ่มที่ยืนนิ่งอยู่อย่างเงียบงัน
หน้าต่างภารกิจซึ่งมีแจ้งเตือนสีแดงกะพริบไหวเปิดตัวเองขึ้นมาอีกครั้ง เงาสลัวที่ทอดผ่านผนังและพื้นห้องสั่นพร่าราวกับกำลังหัวเราะเยาะพวกหน้าโง่อย่างไร้เสียง และหยิบยื่นข้อเสนออันแสนเย้ายวนให้ผู้ที่สิ้นไร้หนทางไปพร้อมกัน
ดวงตาสีเขียวสะท้อนแสงสีสดจากหน้าต่างที่สามารถมองเห็นได้เพียงผู้เดียว
เด็กหนุ่มสะบัดมือวูบ ก่อนจะหันหลังจากไปอย่างไม่ลังเล
เสียงลงกลอนประตูดังก้องทั่วบ้านหลังน้อย ปิดผนึกสถานที่แห่งนี้เอาไว้จนกว่าผู้เป็นเจ้าของจะหวนกลับมา
วาลเรียสรีบมุ่งหน้ากลับไปยังชายป่า ป่านนี้ฝ่ายที่ถูกทิ้งให้รอคอยคงจะเริ่มกระวนกระวายได้ที่แล้วแน่ๆ
แสงจากดวงจันทร์ทอดลงบนร่างที่เดินอยู่เพียงลำพังบนถนนสายเล็ก ดวงตาสีเขียวสาดประกายแน่วแน่อย่างคนที่ตัดสินใจดีแล้ว
ถ้าอยากปกป้องลูกหมาบางตัว เขามีแต่จะต้องเก่งขึ้นมากกว่านี้เท่านั้น!
.
ดวงจันทร์ลอยขึ้นสูงเหนือท้องฟ้า ส่องแสงสลัวผ่านกลุ่มเมฆสีทึม
เวลาแทบจะล่วงเลยเข้าสู่วันใหม่ แต่นอกจากมื้อเช้าแล้วหนึ่งคนหนึ่งสุนัขก็ยังไม่ได้กินอะไรเป็นชิ้นเป็นอันอีกเลย หลังผ่านสถานการณ์ที่ชวนให้ตึงเครียดเหล่านั้นไปได้ ก็เริ่มรู้สึกทั้งเหนื่อยทั้งเพลียขึ้นมาจนแทบจะทนไม่ไหว
เมื่อผ่านแนวชายป่าที่คุ้นเคย วาลเรียสจำต้องอาศัยลูกสุนัขซึ่งดูน่าเชื่อถือมากกว่าในเวลาแบบนี้เป็นผู้นำทาง
ฟิลันก้มลงดมกลิ่นจากต้นไม้ใบหญ้ารอบๆ บ้าง เงยขึ้นสูดกลิ่นพลางเงี่ยหูฟังบ้าง ท่ามกลางแนวป่าที่มีเพียงเสียงของแมลงกลางคืนดังขึ้นเป็นครั้งคราว ต้นไม่ที่เรียงรายอยู่รอบข้างนั้นแทบจะดูเหมือนๆ กันไปหมดในสายตาของคนที่ไม่คุ้นเคย
เจ้าลูกหมาลากขาที่บาดเจ็บไปทีละน้อยท่ามกลางสายตาที่มองมาด้วยความเป็นห่วง ดีที่ผ่านไปไม่นาน พวกเขาก็เจอโพรงเล็กๆ อยู่ที่โคนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง
ดูเหมือนที่แห่งนี้จะเคยเป็นรังของตัวอะไรบางอย่างมาก่อน แต่ร่องรอยที่มันทิ้งไว้ก็จางหายไปมากแล้ว เหลือเพียงหลุมตื้นๆ ที่เริ่มมีหญ้าและพืชคลุมดินต้นเล็กๆ เข้าครอบครอง วาลเรียสจึงวางใจได้ว่าจะไม่มีสัตว์ตัวไหนกลับมาทวงบ้านของมันคืนเร็วๆ นี้
เด็กหนุ่มนั่งพักตรงโคนต้นไม้ใหญ่ แม้จะไม่ใช่ต้นเดิมกับที่เคยนั่งเป็นประจำ แต่ก็ยังทำให้คนที่ตัดสินใจละทิ้งบ้านที่ตนเองอาศัยมาตลอดชีวิตรู้สึกสงบขึ้นเล็กน้อย
"ไม่เป็นไรใช่ไหม?"
"งี้ด"
วาลเรียสก้มลงตรวจดูผ้าพันแผลรอบขาหน้าของอีกฝ่าย หลังกินของรองท้องกันไปนิดหน่อยเพื่อหยุดเสียงกระเพาะที่กำลังครวญคราง เขาจึงดึงผ้าหนาๆ ออกมาจากกระเป๋าที่สะพายอยู่ด้านข้าง
เด็กหนุ่มปูผ้าผืนหนึ่งรองบนพื้นบริเวณที่ยุบลงไปเป็นหลุมตื้นๆ โพรงนี้เล็กจนพอให้เขาสอดตัวเข้าไปได้อย่างไม่อึดอัดนักเท่านั้น
"มา นอนกันเถอะ"
วาลเรียสเลิกชายผ้าห่มขึ้นพลางกวักมือเรียกเจ้าลูกหมาที่ยืนอยู่ข้างๆ
ฟิลันเดินวนไปมาสองสามรอยบก่อนจะยอมแทรกตัวตามเข้ามา กลุ่มขนนุ่มนิ่มเบียดอยู่ข้างคนที่นอนขดตัวเข้าหากัน
เด็กหนุ่มชาวไร่ซึ่งอ่อนเพลียมาตั้งแต่เช้าผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็วกว่าที่ตัวเองคาดเอาไว้ เหลือเพียงเสียงลมหายใจสม่ำเสมออยู่ข้างดวงตาสีเหลืองอ่อนซึ่งยังคงทอประกายวาววับ
ลูกสุนัขนอนปรือตาอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนา ความอบอุ่นที่ถูกกักเก็บไว้ใต้ผืนผ้าชวนให้รู้สึกสบายตัวอย่างยิ่ง โดยเฉพาะตอนที่บาดแผลทั่วร่างเริ่มปวดตุบๆ ขึ้นมา
ฟิลันซึ่งตั้งใจจะอยู่เฝ้ายามในคืนนี้ดวงตาหรี่ลงทีละน้อย มันพยายามต่อสู้กับเปลือกตาที่ให้ความรู้สึกหนักอึ้งขึ้นทุกทีอย่างเต็มที่ ก่อนจะพ่ายแพ้ให้กับความอ่อนเพลียที่เกาะกุมไปทั่วร่าง
.
วาลเรียสรู้สึกตัวยามปลายผ้าห่มด้านหนึ่งถูกเลิกขึ้น ดวงตาสีเขียวกะพริบถี่ๆ อย่างคนยังตื่นไม่เต็มตา ทันเห็นเพียงเงาร่างของเจ้าก้นขนที่ผลุบออกไปจากโพรงไม้ก่อน ตามด้วยแสงสว่างที่ส่องลอดเข้ามา
"อะ โอย…"
เด็กหนุ่มพลิกตัวกลิ้งออกมาจากหลุมดินเล็กๆ อย่างเชื่องช้า รู้สึกปวดเมื่อยไม่น้อยหลังจากขดตัวนอนอยู่บนพื้นแข็งๆ มาพักใหญ่ ก่อนจะตื่นเต็มตายามเห็นภาพรอบข้างภายใต้แสงอาทิตย์เป็นครั้งแรก
ต้นไม้ใหญ่เรียงรายเป็นแนวยาวราวกับไม่มีที่สิ้นสุด นอกจากต้นเล็กๆ ซึ่งขึ้นเบียดกันเป็นสุมพุ่ม และหญ้าเล็กๆ ซึ่งงอกคลุมพื้นจนแทบไม่เห็นสีของดินดำ ยามเงยหน้าขึ้นยังเห็นกิ่งก้านขนาดใหญ่ซึ่งราวกับกำลังสานใบกั้นแสงจากเบื้องบน
รอบข้างมีเพียงเสียงกิ่งไม่ซึ่งไหวเอนเสียดสีกันไปตามสายลมที่พัดผ่าน และเสียงแมลงที่กำลังร้องเรียกหาคู่จากที่ไกลๆ เท่านั้น บรรยากาศเงียบสงบต่างจาดกที่แนวชายป่าราวกับหลุดมายังอีกโลกหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น
สัมผัสนุ่มนิ่มที่เบียดเข้ามาข้างขาเรียกให้วาลเรียสก้มลงมอง เจ้าลูกหมาเงยขึ้นมองอีกฝ่ายด้วยดวงตากลมโต ท่าทางน่ารักน่าชังเช่นนั้นทำให้รอยยิ้มจางวาดขึ้นตรงมุมปากได้ไม่ยาก
"ฟิลันล่ะเป็นยังไงบ้าง? เจ็บแผลมากไหม…"
เด็กหนุ่มก้มลงอุ้มลูกสุนัขขึ้นมานั่งบนตัก มือหนึ่งช้อนใต้อุ้งเท้าที่บาดเจ็บขึ้นมาเบาๆ น้ำหนักที่กดลงบนหน้าขาราวกับกำลังฉุดความคิดที่ล่องลอยราวกับกำลังอยู่ในฝันให้กลับลงมาสู่ความเป็นจริง
แม้คล้ายถูกผลักให้เผชิญหน้ากับโลกที่ไม่คุ้นเคย แต่เมื่อมีเจ้าลูกหมาเป็นเพื่อนร่วมทาง วาลเรียสคิดว่าเส้นทางสายนี้ก็คงไม่เลวร้ายจนเกินไป
หลังล้างและเปลี่ยนผ้าพันแผลใหม่ให้ลูกสุนัขเสร็จ น้ำในถุงหนังซึ่งเทมาจากเหยือกในห้องครัวก็แทบจะหมดเกลี้ยง
"รู้อย่างนี้น่าจะตักน้ำจากบ่อมาเยอะๆ หน่อย"
เด็กหนุ่มบ่นพึมพำขณะล้วงของที่เตรียมมาออกมาจากกระเป๋าสะพายข้างตัว
หลังจากแบ่งน้ำที่เหลือล้างปากหลังกินอาหารแห้งแข็งๆ กันตายไปหนึ่งมื้อ หนึ่งคนหนึ่งสุนัขที่ยังคงรู้สึกหิวน้ำก็มีงานชิ้นแรกที่ต้องทำในวันนี้ทันที
"ฟิลันพอรู้มั้ย ว่าแถวนี้มีน้ำหรือเปล่า?"
วาลเรียสก้มลงมองเจ้าก้อนขน รู้สึกผิดหน่อยๆ ที่ต้องให้ลูกหมาซึ่งยังบาดเจ็บมาทำงานอีกแบบนี้
"โฮ่ง!"
เจ้าของชื่อส่งเสียงตอบรับสั้นๆ ก่อนจะเริ่มเดินไปช้าๆ เท่าที่ร่างกายจะอำนวย
เจ้าลูกหมาหันซ้ายมองขวา มันเงยขึ้นสูดกลิ่นน้ำในอากาศ พลางพยายามมุ่งหน้าไปยังแหล่งน้ำที่เริ่มเลือนลางในความทรงจำ
ก่อนที่จะได้รับความช่วยเหลือ ฟิลันเคยวนเวียนอยู่ในป่าแถบนี้มาช่วงหนึ่ง แม้จะไม่ได้ชำนาญพื้นที่มากนัก แต่ก็พอจะหาทางหลีกเลี่ยงอันตรายอย่างพวกสัตว์ร้ายหรือมอนสเตอร์เจ้าถิ่นได้
ทั้งตัววาลเรียสแทบไม่มีอะไรที่พอจะเป็นอาวุธได้นอกจากพวกมีดทำครัว สุดท้ายเด็กหนุ่มเลยหยิบพลั่วด้ามยาวออกมาถือไว้เพื่อความอุ่นใจ มองซ้ายมองขวาที่มีแต่ต้นไม้สุดสายตาอย่างไม่สบายใจ
เดินมาครู่ใหญ่ทั้งสองถึงได้ยินเสียงน้ำไหลอยู่ไกลๆ แต่กว่าจะมาถึงริมลำธารที่ไหลเอื่อย แสงที่ส่องลงมาจากด้านบนนั้นก็สว่างจ้าราวกับเที่ยงวันแล้ว
"ฮ้า…อย่า…อย่าเพิ่งลงไปเล่นน้ำนะ…"
วาลเรียสซึ่งไม่คุ้นเคยกับการเดินป่าทรุดลงนั่งพลางหอบหายใจ ต่างจากฟิลันซึ่งสะบัดหางตรงไปยังริมน้ำตื้นๆ อย่างไม่รอช้า
ลิ้นสีชมพูตวัดน้ำเย็นๆ สาดกระจายเป็นหย่อมเล็กๆ เจ้าลูกหมาดื่มน้ำจนพอใจแล้วถึงเดินกลับมาวนเวียนข้างอีกฝ่าย เงยขึ้นมองคนที่กำลังรื้อของออกมาจากกระเป๋าอย่างสงสัย
"ไม่รู้ว่าจะใช้ได้หรือเปล่า แต่คงต้องลองดู"
วาลเรียสจ้องชิ้นส่วนอุปกรณ์ที่ตนหยิบออกมาวางรอบๆ ด้วยสายตาครุ่นคิด ก่อนจะตัดสินใจวางมือจากมันชั่วคราว คว้าถุงหนังใส่น้ำได้ก็เดินตรงไปยังลำธารทันที
แม้ว่าตรงกลางน้ำจะดูสะอาดและใสเย็นกว่า แต่เด็กหนุ่มก็เลือกตักน้ำจากบริเวณริมๆ แล้วถอยกลับมาอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับฟิลันซึ่งเดินมายืนข้างๆ ขณะหันมองไปมา
แม้ว่าจะเป็นแค่ลำธารเล็กๆ ที่ไม่น่าจะมีมอนสเตอร์ซ่อนตัวอยู่ แต่พวกเขาในตอนนี้ยังไม่พร้อมจะรับมือแม้แต่กับปลาดุร้ายสักตัวหนึ่ง
"เอาล่ะ…"
วาลเรียสซึ่งดื่มน้ำจนชื่นใจแล้ว กลับมานั่งหน้ากองชิ้นส่วนเครื่องมือที่ตนเองรื้อออกมากองบนพื้น
แม้ว่าจะเคยเห็นวิธีประกอบมาจากแค่ในหนังสือเท่านั้น แต่เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของตนเองและเจ้าก้อนขนในป่าลึกแบบนี้ เขาคงต้องลองดูสักตั้ง!