ขณะที่ตรงกลางของสนามรบเหลือแค่คนไม่ถึงหลักพันคน ซึ่งเป็นคนที่ยังยืนหยัดอยู่ แต่ถึงอย่างนั้นในแถบด้านนอกก็ร้อนระอุไม่แพ้กัน กล่าวโดยง่ายถ้าพื้นที่สี่เหลี่ยมแบ่งออกเป็นสี่ระยะ
โดยที่ตรงกลางมีแต่คนระดับBขึ้นไป ที่คอยจัดการกับกลุ่มกบฏโดยตรงที่มีระดับสูงแบบเดียวกัน
ในพื้นที่ถัดออกมาเล็กน้อยคือกลุ่มของคนที่อยู่ระดับC ซึ่งมีจำนวนมากกว่าแสนคนที่กำลังรับมือกับสัตว์อสูรระดับสูงอย่างแม่ทัพอสูรหรือบอสอสูรที่ออกมาจากดันเจี้ยน ก่อนจะปล่อยสัตว์อสูรระดับต่ำๆให้หลุดลอดออกไป
ซึ่งส่วนถัดไปคือคนที่อยู่ระดับD ที่ค่อนข้างรับมือกับสัตว์อสูรได้ค่อนข้างตึงมือเพราะต้องรับมือกับสัตว์อสูรประเภททหารหรือขุนพล แน่นอนว่ามีการร่วมมือของคนระดับEโดยเฉพาะคนที่มีความสามารถในการฆ่าฟันได้อย่างดี
ในส่วนของสุดท้าย คือกลุ่มคนที่ปกป้องพื้นดินของผู้ที่อยู่อาศัย มีระดับEกับระดับFคอยรับมือกับอสูรชุดสุดท้ายที่คิดหนีโดยการล่ามนุษย์เพื่อกิน แต่น่าเสียดาย ต่อให้หลุดไปได้พวกมันก็ไม่มีทางพบเจอมนุษย์อีกแน่นอน
ในส่วนของแถบนี้จะแบ่งเป็นกลุ่มละครึ่งชั่วโมง โดยการยืนรับมือเต็มๆสามสิบนาทีก่อนจะออกไปพัก จากนั้นก็มีกลุ่มใหม่วนเวียนเข้ามา ส่วนชุดแรกที่บาดเจ็บก็ถูกส่งลงชั้นใต้ดินเพื่อรักษา โดยที่ตอนนี้มนุษย์ที่สังเวยชีวิตยังมีไม่ถึงหนึ่งพันคน
...เพราะแบบนั้นห้วงทมิฬจึงหิวมากเป็นพิเศษ
หลังการเปิดฉากการปะทะกันระหว่างฮันเตอร์ระดับสูงและกลุ่มกบฏ มองด้วยสายตาก็รู้ว่าฝั่งไหนได้เปรียบ โดยเฉพาะสิบรุมหนึ่ง ต่อให้อีกฝ่ายมีสองจิตวิญญาณแล้วยังไง ในเมื่อกลุ่มกบฏแต่ละคนไม่ได้มีความเข้าใจในจิตวิญญาณที่สองเสียเท่าไหร่
กว่าจะเข้าใจว่าเป็นเพียงตัวหมากบนกระดานที่นายท่านของพวกมันเอาไว้เดินเกม แล้วพร้อมจะสละทุกเมื่อก็ถอยหลังไม่ได้อีก
หลงเยี่ยนหมิงเองก็ไม่คิดจะไว้ชีวิตผู้ใด เพราะห้วงทมิฬอาวุธชิ้นสุดท้ายของเขาต้องการชีวิตของผู้คนสังเวยเป็นจำนวนมาก และหากโลกนี่ล่มสลายลงพลังเจตจำนงของโลกจะถูกหลงเยี่ยนหมิงดูดซับทันที
เพราะโลกแต่ละใบเกิดจากพลังของเทพส่วนหนึ่งพร้อมกับเจตจำนงของตัวโลกใบนั้นๆนั่นเอง
จิ้งจอกขาวสูงเก้าเมตรค่อยๆแผ่หางทั้งเก้าออกจากกันตามฉบับของการล่าเหยื่อ ฝ่าเท้ายกขึ้นสูงก่อนจะตะปบคนในชุดคลุมจนคนทั้งหกกระโดดถอยออกไป หางทั้งเก้ายืดยาวไล่ล่าไม่ลดละ
มารอสูรจิวอิงดวงตาเปลี่ยนเป็นสีดำล้วนจนไม่มีเห็นสีขาว กลิ่นอายความตายเข้าปกคลุมคนทั้งหก หนึ่งในนั้นยกมือให้สัญญาณไปจัดการกับจิ้งจอกเก้าหาง ส่วนเขาจะรับมือกับคนตรงหน้าที่ดูอันตรายที่สุด
เยว่ชิงตกอยู่ในวงล้อมของชายชุดคลุมห้าคนที่อยู่ระดับSทั้งหมด ส่วนจิวอิงปะทะกับคนที่อยู่ระดับSS แบบหนึ่งต่อหนึ่ง
จิ้งจอกขาวมองตาปริบๆไอ้ความรู้สึกเสียเปรียบสุดๆนี่มันอะไรกัน ทั้งเขาและมารอสูรจิวอิงต่างก็อยู่ระดับSSS แต่ตอนนี้เขากำลังโดนรุมด้วยระดับS ห้าคน ส่วนจิวอิงเจอกับSSหนึ่งคน
...รู้สึกเสียเปรียบเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าจิ้งจอกขาวก็ปรายตามองอย่างเหยียดหยาม
แต่ละคนที่สวมหน้ากากก็ได้แต่มองตากันโดยไม่มีคำพูดใดๆ ซึ่งตั้งแต่เข้าร่วมสงครามมามีเพียงผู้นำคนนั้นที่ออกคำสั่งกับเจ้าเด็กเอาแต่ใจ นอกนั้นก็ไม่มีคำพูดหรือเสียงใดๆออกมา
เยว่ชิงเดาว่าคนพวกนี้อาจจะถูกฝึกให้เป็นนักฆ่าไปโดยปริยาย หากถูกสอบสวนก็ต้องตายไม่ว่าตายด้วยตัวเองหรือตายเพราะตัวการใหญ่กันแน่ แต่มันก็ดี เพราะเวลาใกล้ตายมันจะได้เงียบ
จิ้งจอกขาวกระโจนเข้าใส่เป้าหมาย ก่อนจะใช้หางจัดการผลักดันคนอื่นๆออกจากตัว ไม่ว่ายังไงก็ต้องกำจัดทีละคน ยิ่งคนทั้งห้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่ทัดเทียม ไม่นานขนขาวๆก็เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด
เยว่ชิงกลับคืนร่างมนุษย์หลากจากจัดการเสร็จสิ้น เช่นเดียวกับฮันเตอร์แบบทีมที่เน้นรุมยำ ไม่นานร่างกายของกลุ่มกบฏสลายหายไปซึ่งแตกต่างจากมนุษย์คนอื่นๆที่ยังเหลือร่างแม้ไร้วิญญาณ
เยว่ชิงคาดหวังว่าภายในห้วงทมิฬวิญญาณของคนที่สังเวยไปแล้วจะไม่ฟื้นคืนชีพซ้ำๆ
ฝั่งจิวอิงยืนเผชิญหน้ากับชายที่มีระดับสูงสุดที่สุดในฝ่ายกบฏ ซึ่งเดาว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นอดีตร้อยสามเสาหลัก
"อย่าหวังว่าจะชนะคนอย่างฉัน"โซ่สองเส้นสีแดงปรากฏในฝ่ามือของฝั่งตรงข้าม ด้านปลายของโซ่มีมีดแหลมคมติดอยู่ ก่อนที่ร่างกายอีกฝ่ายจะปรากฏกลิ่นอายความตายแบบเดียวกับเสวียนอวี้
"อย่างที่เฉินจงอีพูด เป็นได้แค่ของเลียนแบบ"คนอื่นๆเลือกจิตวิญญาณที่สองเป็นดาบ เป็นกระบี่แบบเดียวกับหลงจือหยางทั้งๆที่ความสามารถไม่เทียบเท่าอีกฝ่ายเลยด้วยซ้ำ แถมตอนนี้เขายังเผชิญหน้ากับคนที่มีกลิ่นอายคล้ายคนรักของตัวเองอีก
...ซึ่งมันทำให้จิวอิงโมโหมากๆ ไม่นานอีกฝ่ายก็สลายหายไป คิดเหรอว่าขอแค่ไม่เข้าใกล้มารอสูรจิวอิงก็คงไม่เป็นอะไรแล้ว สิ้นคิดจริงๆขอเพียงจิวอิงต้องการครอบครองโลกใบนี้เพียงแค่ขยายขอบเขตพลังไปทั่วโลก ก็สามารถปลิดชีพมนุษย์พร้อมกันทั้งโลกได้แล้ว
ไม่จำเลยจริงๆทั้งที่ตอนนั้น ตอนที่เหล่าเกอรับหน้าที่ในการเคลียร์ดันเจี้ยนพิเศษ เยว่ชิงก็พูดออกไปแล้วแท้ๆว่าพลังของเขาสามารถฆ่าคนทั้งโลกได้
...ไม่ฉลาดเอาเสียเลย
ซึ่งถ้าระบบอยู่ด้วย คงพยักหน้าราวกับไก่จิก นอกจากหลงจือหยางที่ชอบสังเกตชาวบ้านแล้ววางแผนสามสี่ตลบ ระบบยังไม่เคยพบเห็นคนไหนฉลาดเทียบเท่าเลยสักคน
"ได้เวลาพิพากษา"ภายในห้วงทมิฬเองในตอนนี้แม่ทัพสวรรค์อย่างหลงจือหยางก็เข้าปะทะกับเทพเยี่ยนหมิง ในมือของเยี่ยนหมิงปรากฏหอกสีเขียวที่มีลักษณ์เลื่อยคล้ายงูพันกันจนกลายเป็นด้ามจับ
ทั้งสองคนปะทะเข้าหากัน แม่ทัพสวรรค์มีใบหน้าเรียบเฉยในทุกๆการปะทะ ในขณะหลงเยี่ยนหมิงเต็มไปด้วยความเครียดแค้น จนอยากฆ่าแม่ทัพสวรรค์ด้วยมือตัวเอง
ดาบพิพากษาทุกครั้งที่ฟาดฟันย่อมปรากฏบาดแผลและทุกๆบาดแผลจะถูกดูดเลือดออกมา จนตอนนี้ร่างกายของหลงเยี่ยนหมิงเต็มไปด้วยรอยบาดหลายสิบรอย ในทุกๆรอยมีละอองเลือดพวยพุ่งเข้าไปในดาบพิพากษา
นี่คืออีกหนึ่งเหตุผลที่แม่ทัพสวรรค์มักเป็นที่หวาดกลัวของเทพทั่วไป บนดินแดนเทพคนที่ไม่ควรมีเรื่องด้วยมากที่สุด ต้องมีรายชื่อของแม่ทัพสวรรค์แน่นอน
"ข้าจะฆ่าเจ้าให้ได้"หลงเยี่ยนหมิงเค้นเสียงออกมา ก่อนจะดึงพลังของห้วงทมิฬเข้าสู่ร่างกาย
"ทำให้ได้อย่างที่พูดสิ"หลงจือหยางเห็นแบบนั้นก็เก็บดาบพิพากษาลงไป แล้วนำดาบจักรพรรดิมังกรขึ้นมาแทน
เสวียนอวี้ที่รับมือกับซากศพก็รับรู้ได้ว่าดวงวิญญาณบางดวงถูกหลงเยี่ยนหมิงดูดกลืนเข้าตัวเองไปแล้ว ถึงแม้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาซากศพไม่ว่าจะมนุษย์หรือสัตว์อสูรที่ตายบนโลกเขาจะรับมือมาตลอดก็ตาม แต่ยามนี้จะกลายเป็นหลงจือหยางเองที่รับมือ
ภายใต้สายตามนุษย์ที่ยังคงอยู่บนโลกไม่ได้ลงชั้นใต้ดินต่างยกมือบังสายตายามที่แสงอาทิตย์ลอดผ่านชั้นบรรยากาศสีดำที่ปกคลุมมาตลอดหลายวัน ไม่นานเสียงเฮ ก็ดังไปทั่วคนบางกลุ่มแจ้งข่าวเรื่องน่ายินดีให้กับผู้คนที่อยู่ชั้นใต้ดินได้รับรู้
กลุ่มแรกที่ออกมาด้านนอกคือกลุ่มหมอและพยาบาล ตราบใดที่ผู้บาดเจ็บได้รับบาดเจ็บสาหัสการเคลื่อนย้ายโดยไม่จำเป็นอาจจะทำให้แผลอักเสบได้
ยามนี้เมื่อพวกเขาได้ขึ้นมาบนสนามรบก็รีบวิ่งเข้าไปดูอาการและเครื่องมือการแพทย์ที่เตรียมพร้อมก็เพียงพอต่อจำนวนประชากรหลักแสน ส่วนคนนับล้านที่บาดเจ็บเล็กๆน้อยก็ได้ฮันเตอร์สายรักษาบรรเทาอาการลง
เพราะตอนนี้ยังไม่มีสายรักษาคนไหนสามารถรักษาอาการบาดเจ็บสาหัสได้เลยสักคน ทำได้เพียงยื้อเวลา พอหมอและพยาบาลขึ้นมาด้านบนแต่ละคนก็ผ่อนครายความตึงเครียด จากนั้นก็ส่งเสียงเฮเช่นเดียวกับคนอื่น
หิว หิว หิว ยามที่หลงเยี่ยนหมิงดึงพลังของห้วงทมิฬมาใช้ ในหัวได้ยินเสียงพึมพำของห้วงทมิฬจนสับสนไปหมด มนุษย์บนโลกมีนับพันล้านคนแต่ทำไมพลังที่ได้รับมาถึงน้อยนิด แถมห้วงทมิฬยังคงส่งเสียงว่าหิวตลอดเวลา
ความสามารถที่น่ากลัวของการอัญเชิญห้วงทมิฬคือการดึงพลังของผู้เสียชีวิตมากักเก็บเป็นพลังของตัวเอง ในยามที่หลงเยี่ยนหมิงดึงพลังกลับร่างก็ควรจะได้รับพลังมหาศาลถ้ามนุษย์บนโลกตายเกินกว่าครึ่ง แม้แต่สามเทพและมารอสูรร่วมมือกันยังยากที่จะบอกว่าชนะ
"เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ อ๊ากกกก"หลงเยี่ยนหมิงไม่สามารถรับความจริงได้ เมื่อทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง ก่อนที่ใบหน้าบิดเบี้ยวจะคืนปกติมีเพียงแววตาเท่านั้นที่ผิดปกติไปจากทุกที
"แก! ตาย!!!"หลงเยี่ยนหมิงคำรามลั่น กระโดดเข้าฟาดฟันโดยไม่สนสิ่งใด สนเพียงแค่ฝ่ายตรงข้ามต้องตาย
หลงจือหยางยกดาบรับแรงปะทะโดยสีหน้าไม่เปลี่ยน จนกระทั่งที่หอกและดาบกดดันกันและกันจนหลงเยี่ยนหมิงได้ขยับเข้าใกล้
แม่ทัพสวรรค์คนที่หน้านิ่งในสนามรบมาโดยตลอดก็ยกยิ้มมุมปากให้อีกฝ่าย รวมทั้งส่งสายตาเหยียดหยามใส่อีกด้วย
"อ๊ากกกก"และแล้วหลงเยี่ยนหมิงก็สติหลุด เป็นไปตามที่หลงจือหยางต้องการ ยิ่งเป็นไปตามที่คิดเจ้าตัวก็อารมณ์ดีขึ้นมาทันที
เสวียนอวี้ที่ยืนกอดอกดูอยู่ห่างๆก็ได้แต่ส่ายหน้า ดูท่าคงใช้เวลาไม่นานที่หลงจือหยางจะจัดการอีกฝ่าย เพราะอีกฝ่ายขาดสติยับยั้งและไม่สามารถสู้กับแม่ทัพสวรรค์ได้แน่นอน
หลงจือหยางยกดาบจักรพรรดิรับหอกที่ฟาดลงมา หัวคิ้วขมวดลงเล็กน้อย ยามนี้อีกฝ่ายเหวี่ยงหอกได้สะเปะสะปะโดยที่มีแต่ความแรงที่ส่งมา ไม่มีจิตวิญญาณใดๆในหอกให้สัมผัส
ฝ่ามืออีกข้างปรากฏดาบพิพากษาอีกครั้งก่อนจะเสียบทะลุหัวใจหลงเยี่ยนหมิง
"จับกุมกบฏหลงเยี่ยนหมิง"สิ้นคำพูดของหลงจือหยาง ข้างกายที่เคยว่างเปล่าก็ปรากฏขุนพลสององค์เข้ารวบตัวหลงเยี่ยนหมิงและทำความเคารพต่อแม่ทัพสวรรค์และเอ่ยทักทายขุนพลที่แข็งแกร่งที่สุดอีกด้วย
ติ้งงงงง! ติ้งงงงง!! ติ้งงงงง!!!!
{กำลังประมวลผลหอคอย กรุณารอสักครู่}