ติ้งงงงง! ติ้งงงงง!! ติ้งงงงง!!!!
{กำลังประมวลผลหอคอย กรุณารอสักครู่}
เสียงเดิมๆที่เคยได้ยินปรากฏขึ้นอีกครั้ง พร้อมทั้งหน้าจอสี่เหลี่ยมแบบเดิม หอคอยสีดำทึบค่อยๆเปลี่ยนกลายเป็นสีขาวปนเทา แต่ละคนยืนนิ่งเมื่อเห็นหอคอยเปลี่ยนไป ทุกสรรพสิ่งบนโลกเงียบงันมีเพียงเสียงลมหายใจเท่านั้นที่ได้ยิน
ผ้าเช็ดหน้าผืนบางค่อยๆเช็ดคราบเลือดบนใบหน้าของคนงาม หลงจือหยางยืนด้านหน้าของเยว่ชิงเผยรอยยิ้มอ่อนโยนให้คนรัก หลังจากนี้พวกเขาจะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขบนโลกใบนี้ ก่อนจะกลับดินแดนเทพ
"บาดเจ็บตรงไหนรึเปล่า"หลงจือหยางสำรวจร่างกายของคนรักแม้จะรู้ดีว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งมากขนาดไหนก็ตาม แต่เพราะยิ่งรักมากจึงมีความเป็นห่วงที่มากตามไปด้วย เยว่ชิงยกมือทาบทับแก้มของคนพี่ก่อนจะดึงให้อีกฝ่ายมองมาที่หน้าตัวเองก่อนจะส่ายหน้าจากนั้นก็เอ่ยถามอีกฝ่ายเช่นเดียวกัน
"แล้วพี่ละครับ"หลงจือหยางเองก็ส่ายหน้าก่อนที่จะอ้าปากถามเสียงเก่าแก่ในหอคอยก็ดังขึ้นอีกครั้ง
{กรุณากดอ่านรายละเอียด}
ทุกคนบนโลกไม่รอช้าก่อนจะเริ่มอ่าน ยิ่งอ่านมากเท่าไหร่ก็ยิ่งอ้าปากกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ
{{หอคอยได้หลุดออกจากการควบคุมเป็นที่เรียบร้อยจึงไม่กำหนดระยะเวลาในการเคลียร์หอคอย รวมทั้งไม่มีการปรากฏดันเจี้ยนขึ้นบนโลกอีก
มนุษย์ทุกคนยังสามารถเข้าหอคอยได้ตามปกติ โดยแต่ละชั้นหลังเคลียร์ไปแล้ว คนที่เคยเข้าไปจะไม่สามารถเข้าไปได้อีก ถึงแม้จะยังไม่ปิดถาวรแต่ก็เพื่อพัฒนาฝีมือของเด็กรุ่นใหม่ในอนาคตที่จะเกิดมา
ยกเว้นในชั้นของบอสหลักที่จะเป็นชั้นการพักผ่อนของแต่ละคน ไม่มีสัตว์อสูรใดๆเกิดขึ้นหลังเคลียร์เรียบร้อยแล้ว
หอคอยที่อยู่ในระหว่างการเคลียร์สามารถกดถ่ายทอดสดได้เองเพื่อให้มนุษย์ทุกคนบนโลกได้รับรู้
อัตรารางวัลการเคลียร์หอคอยที่เพิ่มมากขึ้นและมีกิจกรรมประจำปีให้เข้าไปท้าทายเพื่อของรางวัลระดับสูง
พืชและผลไม้ในดันเจี้ยนสามารถนำออกมาได้คล้ายไอเทมหรือหินวิญญาณ}}
หลังจากตกตะลึงในเรื่องของหอคอยเรียบร้อยแล้วทุกคนก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนแน่นอนว่าบางคนก็นอนเหมือนซ้อมตาย เพราะใช้พลังไปมากมายจริงๆ ในส่วนของผู้เสียชีวิตก็ทำแบบที่เคยทำ
มีการถ่ายทอดสดไปทั่วโลกเพื่อร่วมไว้อาลัยให้กับผู้ที่จากไปหลังจากนั้นก็เป็นช่วงเวลาพักผ่อนยาวๆของฮันเตอร์แต่ละคน
เพราะทุกอย่างยังต้องเดินหน้าต่อไป อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยเปิดประกาศรับสมัครครูอาจารย์จำนวนมาก ตามด้วยใบจบการศึกษาของศิษย์บางคนที่สามารถจบได้ทันทีเพราะหอคอยได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว
ถึงจะไม่ได้กังวลเช่นเดียวกับแต่ก่อน แต่ก็บอกได้ว่าทุกคนต่างก็ไม่หย่อนหยาน ยังคงขยันแบบเดิม
บุรุษหลายๆคนมีความเข้าใจรูปแบบผสมกันมากขึ้น หลังจากผ่านพ้นช่วงสงครามแต่ละคนก็มีความสนใจที่จะสร้างกลุ่มประลองจากหลากหลายกิลด์ แน่นอนว่าหลงจือหยางไม่ปฏิเสธและยินดีที่แต่ละคนไม่มีใครคิดจะหยุดการพัฒนาตัวเองถึงแม้ในตอนนี้หอคอยจะไม่ได้ดูน่ากลัวเหมือนเก่าแล้วก็ตาม
ในขณะที่เกอเองก็มีความคิดคล้ายๆกัน แต่ถึงอย่างนั้นการต่อสู้กับจิตวิญญาณแบบเดียวกันย่อมพัฒนาได้ดีกว่าอยู่แล้ว
ทางฝั่งสตรีเองก็ไม่น้อยหน้า พวกเธอมีผลงานเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของทุกคนว่ามีดีไม่แพ้กัน ถึงแม้จะเป็นเพียงดอกไม้และต้นไม้ก็ตาม
ทุกคนต่างตระหนักอย่างดีว่าตัวเองมีความสามารถและคุณค่ามากแค่ไหน
ดินแดนเทพ
"เจ้าคิดไม่ได้จริงๆนะหรือ ถึงได้ท้าทายแม่ทัพสวรรค์ครั้งแล้วครั้งเล่า"บิดาสวรรค์เอ่ยปากถามเทพที่อยู่ในหอคุมขัง มารดาสวรรค์นางมีรูปโฉมที่งดงาม เกิดกับเทพชั้นสูง ต่อให้มีใบหน้าที่งดงามแค่ไหนแต่จิตใจของนางกับสกปรกเกินไป
"สิ่งที่ข้าทำมันถูกต้องแล้ว ท่านต่างหากที่เป็นถึงบิดาสวรรค์เหตุใดยังต้องเก็บมันไว้ข้างกาย"นางยกมือขึ้นมากัดเล็บระบายความคิดในหัวออกมาไม่หยุด ทั้งๆที่ข้าทำเพื่อท่าน เพื่อบัลลังก์ของท่านแท้ๆ ทำไม ทำไม ทำไมนางถึงต้องมาถูกขุมขังที่นี่ นางคือมารดาสวรรค์ ผู้ที่อยู่ใต้เทพเพียงองค์เดียว อยู่เหนือผู้อื่นทั้งสามภพด้วยซ้ำไป
"อย่าเรียกแม่ทัพสวรรค์ว่ามัน ในยามนี้ศักดิ์ของเจ้าต่ำยิ่งกว่าท่านแม่ทัพไปแล้ว"บิดาสวรรค์ตวาดลั่น เหตุใดจะไม่เข้าใจที่มารดาสวรรค์กล่าว แม่ทัพสวรรค์คือเทพองค์เดียวที่เกิดมาพร้อมอาวุธข้างกายถึงสองอย่าง และสามารถเลือกที่จะเป็นบิดาสวรรค์ได้ตลอดกาล
การผลัดเปลี่ยนบิดาสวรรค์มันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด หากเป็นลูกแท้ๆที่เกิดจากพลังของตัวเอง บิดาสวรรค์คนเดิมสามารถสละบัลลังก์ได้ทันทีเพราะถือเป็นหนึ่งในสายเลือด
แต่ที่แดนเทพไม่เหมือนแดนมนุษย์ บัลลังก์เป็นฝ่ายเลือกบิดาสวรรค์ หากแม่ทัพสวรรค์ต้องการบัลลังก์จริงๆบิดาสวรรค์องค์ปัจจุบันมีสองทางเลือก
หนึ่งคือสละบัลลังก์ทันทีแต่จะกลายเป็นเทพที่ถูกเทพด้วยกันหันหลังให้ เพราะการเป็นบิดาสวรรค์จู่ๆก็สละให้กับอีกคนทันที จะเกิดข้อกังขามากมายตามมา
และสองคือการเข้าสู่การหลับใหลชั่วนิรันดร์ เพียงแต่ว่าบิดาสวรรค์รู้ดีว่าแม่ทัพสวรรค์ไม่อยากนั่งบัลลังก์มากขนาดไหน คงมีเพียงมารดาสวรรค์และคนของนางที่มองไม่ออก
คาดหวังให้เขาสละบัลลังก์ให้กับบุตรตนโดยไม่สนว่าบัลลังก์ได้เลือกขึ้นมาหรือไม่
"ข้าจะเรียกแล้วมันจะทำไม"อีกฝ่ายอาละวาดกลับโดยไม่สนว่าจะมีใครเข้ามาได้ยิน เสียงฝีเท้าก้องกังวานมาใกล้ขึ้นเรื่อยตามมาด้วยคำพูดของเทพองค์หนึ่งอย่างชัดเจน
"ข้าก็คงจะตบปากเจ้าให้เลือดออกสักครา ลดความหยิ่งผยองลงไปได้บ้างคงดีไม่น้อย"ภาพคนงามที่นับว่างามที่สุดในดินแดนเทพได้ปรากฏสู่สายตาของนางอีกครั้ง เหตุใดนางจะจำไม่ได้
"เทพจิ้งจอกเก้าหางเยว่ชิง"นางพูดน้ำเสียงแค้นเคือง ด้วยใบหน้างดงามนั่น นางที่เคยเป็นที่หนึ่งไม่ว่าจะหน้าตาหรือฐานะล้วนเป็นที่หนึ่งมาโดยตลอด จนกระทั่งสัตว์เดรัจฉานนี้ได้บรรลุเป็นเทพ
วันนั้นเป็นวันที่นางลืมไม่ลง วันที่เสียงกระซิบของเทพองค์อื่นๆต่างก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าเทพจิ้งจอกขาวเก้าหางต่างหากที่เรียกว่างดงามจริงๆ
แตกต่างจากตัวของนางที่ใช้ฐานะของตัวเองจนได้มันมา ทั้งๆที่นางงดงามถึงเพียงนี้ เป็นถึงมารดาสวรรค์เหตุใดจึงพ่ายแพ้ต่อเดรัจฉานตัวหนึ่ง
แม้กระทั่งบิดาสวรรค์ที่เอ่ยปากชมเชยถึงความงดงามอันหาได้ยากของเทพจิ้งจอกเก้าหาง
"โอ้ นึกว่าจะจำข้าไม่ได้เสียแล้ว"ใบหน้างดงามที่เส้นผมขาวสลวยคลอเคลียใบหน้า ยามที่เอนเอียงใบหน้าน้อยๆประกอบคำพูดไม่ว่าผู้ใดได้พบเห็นคงจะหลงเสน่ห์ไม่ยาก โดยที่อีกฝ่ายไม่ต้องใช้ทักษะเสน่ห์อาคมเลยแม้แต่น้อย
"ทำไมข้าจะจำไม่ได้ เป็นข้านี่แหละที่ผลักแกลงไป ฮึ คงจะทรมานมากเลยสินะกว่าจะผ่านวันเวลามาได้"เพราะความแค้นส่วนตัวนางจึงละเมิดกฏแห่งเทพ กำหนดชะตาชีวิตให้อีกฝ่ายพบเจอแต่เรื่องสิ้นหวัง มีชีวิตโดดเดี่ยวไปตลอดกาล โดยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีระบบช่วยเหลือ
อีกทั้งบิดาสวรรค์ก็เตรียมการเรื่องนี้ไว้ให้อีกฝ่ายยามกลับคืนสู่ดินแดนเทพอีกครา
"ฮึฮึ งั้นก็ขอบคุณที่ทำให้ข้าได้หัวใจแม่ทัพสวรรค์สักที ครานี้เจ้าก็กระอักเลือดได้เลยมารดาสวรรค์ โอ๊ะ รู้สึกว่าจะเป็นอดีตไปแล้วสินะ"ว่าจบก็ก้าวฉับๆมายืนตรงหน้าอีกฝ่ายก่อนจะปรายตามองอย่างเหยียดหยามเสร็จแล้วก็เชิดหน้าออกจากที่คุมขัง
แต่ยังไม่ลืมทักทายบิดาสวรรค์อีกด้วย จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงกรี๊ดยาวๆ
โดยด้านหน้ามีเทพที่หล่อเหลาที่สุดในดินแดนยืนรอรับอยู่ เทพจิ้งจอกขาวกระโดดเข้าไปคลอเคลียจุดรอยยิ้มมุมปากเล็กๆให้กับแม่ทัพสวรรค์ได้เป็นอย่างดี ก่อนที่พวกเขาสองคนจะเข้าพักตำหนักของจิ้งจอกเก้าหางแทนที่จะเป็นตำหนักแม่ทัพ
"ท่านพี่ ท่านไม่เคยได้มาตำหนักข้าเลย"เจ้าตัวยู่ปากอย่างน่าสงสาร แสร้งตัดพ้ออีกฝ่าย ด้วยรู้ดีว่าในตอนนั้นแม่ทัพสวรรค์ไม่ว่างพอจะไปเยี่ยมเยียนตำหนักใคร มีแต่จิ้งจอกขาวที่ลักลอบเข้าเขตของแม่ทัพสวรรค์ครั้งแล้วครั้งเล่า
พอแปลงกายเป็นจิ้งจอกตัวน้อยก็ถูกอีกฝ่ายหิ้วคอออกมาวางไว้ด้านนอกเสมอ ในช่วงนั้นแม่ทัพสวรรค์ที่ไร้ใจก็ดังกระฉ่อนอีกครั้ง
ซึ่งแน่นอนว่ามีเทพองค์อื่นๆให้ความสนใจแม่ทัพสวรรค์ แต่ไม่มีใครจะสามารถทำทุกสิ่งสารพัดหน้าหนาได้เท่าจิ้งจอกขาวเลยสักคน
"คราวหน้าหากเรากลับดินแดนเทพ พี่จะมาอยู่กับเจ้าดีรึไม่"เพื่อเป็นการเอาใจคนน้อง คนพี่ก็ไม่ขัด
"ดีแน่นอน ข้าขอนอนกอดท่านได้รึไม่ งานจะเริ่มตอนเย็นนี่น่า"แม่ทัพสวรรค์พยักหน้าก่อนจะย่อกายโอบอุ้มคนรักแนบอกเดินเข้าห้องบรรทมที่ปูด้วยขนห่านทองคำที่มีความหนานุ่มเหมาะแก่การอยู่อาศัยของจิ้งจอกขาว
ยามที่แม่ทัพหนุ่มวางคนงามในอ้อมกอดลง อีกฝ่ายก็พลิกทาบทับบนตักของแม่ทัพสวรรค์ดวงตาสีฟ้าสวยฉ่ำวาวไปด้วยความหิวกระหายจนต้องงับปากแม่ทัพสวรรค์เบาๆเพื่อดับความกระหายชั่วคราว
แม่ทัพสวรรค์ไม่รอช้าดูดเลียริมฝีปากคนน้อง ฟังเสียงอื้ออึงในลำคอคนงาม
ทางฝั่งของเสวียนอวี้เองก็เช่นกันที่ได้รับเชิญมาดินแดนเทพชั่วคราว ขุนพลที่แข็งแกร่งที่สุดเดินจับมือคนงามบรรยากาศที่ไม่สามารถรับรู้ได้ว่าเป็นเทพ เซียน หรือมารกันแน่ทำให้หลายๆคนที่ผ่านไปผ่านมาให้ความสนใจ
มารอสูรจิวอิงมองใบหน้าหล่อเหลาของคนรักจากด้านข้างก็มีความรู้สึกภูมิใจขึ้นมาแบบไม่รู้ตัว อีกฝ่ายสง่างามถึงเพียงนี้กลับมอบหัวใจให้กับอีกฝ่ายที่เป็นเพียงมารอสูรตนหนึ่งที่ไม่มีใครคบ
ถึงแม้ตอนแรกจะหวาดกลัวที่ใครสักคนเดินเข้ามาในชีวิต แต่ก็ต้องขอบคุณตัวเองในวันนั้นที่ยอมเอ่ยปากรับคำท้าแปลกๆนั่นจนมาเป็นแบบทุกวันนี้
"อารมณ์ดีแบบนี้ คิดอะไรอยู่แน่ๆ"เสวียนอวี้วางมือลงบนศีรษะนุ่มนิ่ม มองเข้าไปยังดวงตาสองสีอย่างเผลอไผล เช่นเดียวกับครั้งแรกที่ได้พบเจอกับมารอสูรผู้ที่งดงาม อีกทั้งดวงตายังไม่มีใครเหมือน
จะบอกว่าเสวียนอวี้เป็นเทพที่แปลกก็ได้ ที่หลงรักคนผู้นี้เพราะดวงตาสวยแบบแปลกๆ แต่ยิ่งได้รู้จักความรักแรกเริ่มก็กลายเป็นขึ้นมาจากหลุมของคนงามไม่ได้เสียแล้ว