Chapter 46 - ตอนที่45.

"ตอนนี้ประตูคงอยู่ด้านนอกแล้ว รีบลงมือกันเถอะ"ชายร่างสูงในผ้าคลุมสีดำสวมใส่หน้ากากสีดำให้เห็นเพียงดวงตาและที่สำคัญ ผู้คนหลายหมื่นหลายแสนคนก็สวมใส่แบบเดียวกัน 

ผู้คนในผ้าคลุมยื่นมือขวาไปด้านหน้าก่อนจะปลดปล่อยควันสีดำไปยังวงแหวนเวทย์ขนาดใหญ่ที่จะสร้างสิ่งที่นายท่านของพวกมันเรียกว่า ห้วงทมิฬ

ห้วงทมิฬประตูต่างมิติมีลักษณะภายนอกคือวังน้ำวนขนาดใหญ่มีสีเทาไปจนถึงสีดำสนิท มันกลืนกินเจ็ดสิ่งด้วยกัน โลภะ ริษยา ราคะ เกียจคล้าน เย่อหยิ่ง โทสะ ตะกละ 

หรือขอแค่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่แข็งแกร่ง มุ่งมั่นก็สามารถใช้เปิดห้วงทมิฬได้ และที่สำคัญในขั้นตอนที่กำลังทำพิธีอยู่นั้นห้ามว่อกแว่กเด็ดขาด ซึ่งนั้นมันคือคำลวงที่หวงเยี่ยนหมิงบอกไว้

การเปิดห้วงทมิฬจำเป็นต้องสังเวยพลังชีวิตของผู้ที่อัญเชิญออกมา โดยที่ผู้สังเวยจะเป็นคนที่อ่อนแอมากที่สุดไล่ระดับไปที่คนแข็งแกร่งที่สุด จนกว่ามันจะอิ่มจนกว่าจะพอใจไม่งั้นจะไม่หยุด

ต่อให้มีคนสังเวยชีวิตมากมายแล้วอย่างไง ในเมื่อหลงเยี่ยนหมิงบอกตั้งแต่ต้นหากว่อกแว่กในช่วงทำพิธีก็อาจจะตายได้ มนุษย์กลุ่มนี้ดันโลภกันเองแล้วเกี่ยวอะไรกับเขา 

ต่อให้พวกมันขัดขืนหรือโมโหแต่ก็ไม่กล้าทำอะไรเขาอยู่ดี หลงเยี่ยนหมิงยังคงเป็นเทพเจ้าและเชาก็ยังคงเป็นเทพเจ้าต่อไป 

แต่น่าเสียดายที่พลังของเขาถดถอยลงไปมาก ยามนี้ไม่ต่างอะไรกับคนธรรมดาที่มีจิตวิญญาณระดับSSเลยด้วยซ้ำ ขอเพียงมีกลิ่นอายของเทพยังคงอยู่ เขาก็สามารถใช้มันข่มขู่คนเหล่านี้ได้อีกนาน

วงเวทย์ห้วงทมิฬกินเวลาไปเต็มๆห้าวันห้าคืน บางส่วนสูญสลายหายไป ผู้คนในผ้าคลุมได้แต่หน้าซีดตัวสั่น หวาดกลัวว่าคนถัดไปจะเป็นตัวเอง เพราะตอนนี้ผู้คนที่ร่วมด้วยหลงเหลือเพียงหลักหมื่นต้นๆในขณะที่ด้านนอกมีคนนับล้านรอจะฆ่าพวกเขาอยู่

ถึงอยากจะถอยแต่ก็ไม่มีหนทางให้หนีรอดไปได้ อนิจจา หากพอใจในสิ่งที่มีแต่แรก คงไม่พาตัวเองมาจนถึงที่นี่

"ห้วงทมิฬ มิติแห่งการกลืนกินพลังชีวิตของมนุษย์ ยิ่งมีคนสังเวยมากแค่ไหนโอกาสที่โลกจะพังทลายก็เพิ่มมากขึ้น"เทพแห่งชะตาเปิดหนังสือเล่มเก่านั่งอ่านบริเวณหน้าต่าง สายตามองตรงไปยังสระน้ำที่มีดอกบัวสีขาวบริสุทธิ์เบ่งบาน

"เทพแห่งชะตา แล้วจะทำเช่นไรถ้าหาก..."เซียนตัวน้อยผู้ที่เรียนรู้การตรวจชะตาเอ่ยถามขึ้น เทพตรงหน้าเป็นอาจารย์ของเขาที่นั่งอมยิ้มอยู่ ทั้งๆที่พูดถึงห้วงทมิฬสิ่งที่น่ากลัวแบบนั้น แต่ทำไมถึงยังยิ้มอยู่อีก เซียนตัวน้อยไม่เข้าใจ

"ข้อยอมรับว่าหลงเยี่ยนหมิงเป็นคนฉลาด แต่น่าเสียที่ฝ่ายตรงข้ามของเขาคือแม่ทัพสวรรค์"เทพชะตาเอ่ยแถลงไขให้แก่เซียนตัวน้อยผู้ใสซื่อ ก่อนจะถอนหายใจ เทพแห่งชะตามักใสซื่อเสมอ แต่ผ่านไปสักพักก็จะกลายเป็นคนสองหน้าเก่งรวมทั้งหมดความใสซื่อภายในเวลาไม่กี่สิบปี ถ้าจะโทษเทพองค์ไหนสักองค์ รายนามอันดับหนึ่งก็คงเป็นบิดาสวรรค์

"ไม่ว่าจะเกิดเป็นมนุษย์กี่ภพกี่ชาติ เชื่อเถอะหลงเยี่ยนหมิงมีแต่พ่ายแพ่ให้แม่ทัพสวรรค์อยู่ดี"ผู้มาเยือนตำหนักชะตาเอ่ยขึ้นก่อนจะก้าวเท้าเข้ามาในห้องอย่างคุ้นเคย ใบหน้าหล่อเหลาร่างกายสมส่วนแต่น่าเสียดายในสายตาของเทพแห่งชะตา บิดาสวรรค์เป็นเพียงตาเฒ่าผู้เอาแต่ใจเสียมากกว่า อ่อ มารยาททรามด้วย

"ข้ายังไม่ได้เชิญท่านเลยบิดาสวรรค์"เทพชะตายู่ปากเล็กน้อย ยามที่เขาเป็นเซียนเขาเกิดในครอบครัวขุนนางระดับสูงมีพ่อเป็นอาจารย์ส่วนพระองค์ของรัชทายาท ทำให้เรียนรู้ศาสตร์ศิลป์มาพอสมควร จากนั้นก็บรรลุเป็นเทพ

แต่ไม่คิดเลยจริงๆว่าเทพบางองค์จะหน้าไม่อายถึงเพียงนี้

"เฮ้อ เจ้าก็รู้ว่าหัวใจข้าเจ็บปวดจากการถูกทรยศของมารดาสวรรค์ขนาดไหน ข้าต้องการคนปลอบใจ"เทพชะตาขมวดคิ้ว เทพองค์อื่นมีมากมายทำไมถึงเป็นตนไปได้ แต่พอเห็นบิดาสวรรค์ยกมือกุมหัวใจใบหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวดก็ใจอ่อนยวบ

"ตามใจ ข้าจะร่วมดื่มกับท่านก็ได้"ยามที่เทพชะตามุ่งตรงไปยังไหสุรา โดยไม่รู้เลยว่ายามลับหลังบิดาสวรรค์ผู้น่าสงสารจะยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา

จะเอาเวลาไปสนใจชะตาของแม่ทัพสวรรค์กับกบฏหลงเยี่ยนหมิงไปทำไม ในเมื่อคนสุดท้ายที่จะชนะก็เป็นแม่ทัพสวรรค์อยู่แล้ว เอาเวลาที่ส่องสี่คนนั้นมาดูแลบิดาสวรรค์อย่างเขาดีกว่า

อนิจจา เทพชะตาท่านก็ยังใสซื่ออยู่นะ

"ห้วงทมิฬ"เสวียนอวี้เป็นคนแรกที่เลิกคิ้วขึ้นหลังได้ยินหลงจือหยางเอ่ยออกมา ในความทรงจำของเขาคือในดินแดนเทพต้องเคยเผชิญหน้ากับห้วงทมิฬมาบ้างแล้ว แต่เพราะดินแดนเทพมีแต่เทพกับเซียน ห้วงทมิฬเลยใช้ไม่ค่อยได้ผลแต่ก็สูบพลังชีวิตจนเซียนบางคนถึงกับล้มไปเลยก็มี

"นี่คือสิ่งที่บอกว่ารับมือได้"หลงจือหยางพยักหน้าหนักแน่น มีความมั่นใจเต็มสิบส่วนว่าหลงเยี่ยนหมิงต้องใช้ห้วงทมิฬดูดกลืนพลังชีวิตของมนุษย์แน่นอน

"ไม่งั้นจะปล่อยให้จิ้งจอกน้อยออกความเห็นเรื่องตัวตุ่นขุดดินไปทำไม"เสวียนอวี้หมดคำจะพูด ปลายนิ้วเคาะกับโต๊ะเป็นจังหวะหนักเบาก่อนจะนึกได้ถึงบางอย่าง

"มนุษย์อยู่ชั้นใต้ดิน จะรอดห้วงทมิฬไปได้เหรอ"เสวียนอวี้นึกไปถึงตอนที่ห้วงทมิฬปรากฏแล้วมีเสียงกรีดร้องของมนุษย์ตามด้วยร่างกายสลายไปตามสายลม จากนั้นมันจะตามด้วยความสิ้นหวังที่จะปรากฏในสายตาของมนุษย์คนอื่นๆ ที่เลวร้ายสุดคือมนุษย์ยอมตายด้วยน้ำมือตัวเองมากกว่าคนอื่น

"หินพลังวิญญาณไง"หลงจือหยางนั่งเอนหลังพิงโซฟา ปรายตามองเสวียนอวี้ราวกับคุยกับคนโง่ เจ้าตัวยกยิ้มมุมปาก ถ้าห้วงทมิฬปรากฏตัวออกมาอยากรู้จริงๆถ้ามันไม่เห็นมนุษย์บนโลกสักรายยกเว้นกลุ่มพวกเขา มันจะน่าดูขนาดไหน

"แกมันร้าย"เสวียนอวี้ชี้นิ้วไปที่หลงจือหยางแล้วพูดแบบเค้นเสียงออกมา

หลงจือหยางก็แค่ยักไหล่ ไม่ได้สนใจอะไรทั้งนั้น สมองก็นับเป็นส่วนหนึ่งของความแข็งแกร่งละนะ หลงจือหยางวางแผนเป็นขั้นเป็นตอนเสียขนาดนี้จะยอมเสียเปรียบในสงครามได้ยังไง 

ยิ่งศัตรูฝั่งตรงข้ามเดาง่ายก็ยิ่งเข้าทางเขาทันที หลงเยี่ยนหมิงขึ้นมาเป็นเทพได้ไม่นานมีความทะเยอทะยานในบัลลังก์ ใช้พลังตัวเองสังเวยเรียกห้วงทมิฬออกมา ยามนั้นคงรับรู้ได้ว่าห้วงทมิฬใช้กับเทพและเซียนไม่ได้ผล

เพราะแบบนั้นอีกฝ่ายต้องใช้ห้วงทมิฬอีกครั้งและคราวนี้คงไม่ได้สังเวยพลังของตัวเองแน่ เพราะพลังของตนเองคงสูญหายไปไม่น้อย ไม่เพียงพอที่จะสังเวย จึงต้องรวบรวมกำลังคนซึ่งกลุ่มคนเหล่านั้นมีความโลภที่สุดโต่ง

ตั้งแต่ตอนที่ตรวจสอบเหล่ากบฏที่หายไป หลงจือหยางก็เริ่มมั่นใจไปแล้วแปดส่วน ยิ่งเห็นดันเจี้ยนมาถึงแต่กลับยังไม่มีใครออกมา จึงมั่นใจเต็มสิบส่วนว่าอีกฝ่ายจะต้องเปิดห้วงทมิฬเป็นแน่

ในส่วนของการเอาชนะอีกฝ่าย จะตัดสินได้ก็ต่อเมื่อได้เห็นกลุ่มกบฏทั้งหมด ถ้ากลุ่มกบฏยังเหลือหลายหมื่นคนปลายๆหรือแสนคนต้นๆ ก็เป็นไปได้ที่หลงเยี่ยนหมิงใช้พลังตัวเองบางส่วนสังเวย นั่นหมายความว่าอีกฝ่ายยังมีพลังอยู่มาก

แต่ถ้ากลุ่มกบฏเหลือหลักหมื่นต้นๆก็มั่นใจได้ว่าอีกฝ่ายยังบาดเจ็บจากการเปิดห้วงทมิฬครั้งก่อน ไม่มีพลังเพียงพอจะเปิดห้วงทมิฬด้วยพลังตัวเอง

ส่วนมนุษย์คนอื่นๆที่สามารถเปิดห้วงทมิฬไปได้ ก็ต้องขอบคุณดันเจี้ยนครั้งก่อนที่ปะทะกับลูกเขยของตาเฒ่าหวังเค่อซวนที่ใช้พลังจิตวิญญาณแห่งความมืด จิตวิญญาณที่สองที่หลงเยี่ยนหมิงมอบให้

สุดท้ายก็คงต้องขอบคุณความไม่รอบคอบของอีกฝ่ายนั่นแหละ ที่ทำให้เขาสามารถอ่านสถานการณ์ล่วงหน้าได้ขนาดนี้

"ไปหาเมียก่อนแล้วกัน มองหน้าแกแล้วจะอ้วก"หลงจือหยางลุกขึ้นก่อนจะกล่าวออกมาจากนั้นก็เดินไปที่ห้องนอนของตัวเอง ปล่อยให้เสวียนอวี้กระฟัดกระเฟียดต่อไป

หลังจากบอกให้แยกย้ายกันไปก็มีเพียงเยว่ชิงกับจิวอิงแยกย้ายกันไปนอนพักเอาแรง ส่วนหลงจือหยางกับเสวียนอวี้ก็พูดคุยกันต่อ ซึ่งนั้นคือสงครามเล็กๆตอนจับกลุ่มกบฏนั่นเอง 

หลงจือหยางก้าวเท้าเข้าไปในห้องก่อนสายตาจะอ่อนลงยามเห็นคนรักตัวน้อยนอนกอดหมอนข้างเอาไว้ หลงจือหยางถอดเสื้อตัวนอกออกเหลือเพียงเสื้อกล้ามตัวบางก่อนจะขึ้นไปนอนด้านหลังของคนรักแล้วโอบกอดเอวบางเอาไว้

"อือ"จิ้งจอกตัวขาวส่งเสียงครางอือในลำคอยามถูกรบกวนเวลานอนพักผ่อน ร่างกายที่เครียดเกร็งก็ผ่อนครายเมื่อได้กลิ่นกายของคนรัก เจ้าตัวผลักหมอนข้างออกไปแล้วหันหน้าไปซุกอกคนรักแทน

หลงจือหยางยกยิ้มมองคนรักอย่างพึงพอใจต่อปฏิกิริยาที่แสดงออกมาอย่างน่ารักน่ากอด เจ้าตัวยกมือสางผมนุ่มนิ่มของคนรักจนกลิ่นหอมของยาสระผมติดปลายนิ้ว 

หลงจือหยางใช้ปลายจมูกของตัวเองเขี่ยปลายจมูกของอีกฝ่าย ยามที่คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากันหลงจือหยางก็กลั้นยิ้มจนปวดแก้ม บางทีอาการคลั่งรักของเขาก็มากเกินไปจริงๆน่าเสียดายที่ลดมันลงไม่ได้จริงๆ นานวันเข้ามันก็มีแต่มากขึ้น มากขึ้น

หลงจือหยางเลิกแกล้งคนรักก่อนจะดึงรั้งร่างกายคนรักแนบอก จากนั้นก็หลับตาลมสูดดมกลิ่นกายหอมๆจนหลับไป

บรรยากาศเย็นๆจนมันสร้างความรู้สึกน่าขนลุกทำให้หลายๆคนที่สังเกตการณ์เป็นระยะมองขึ้นไปด้านบน มองดันเจี้ยนบนท้องฟ้าที่เปิดออกช้าๆ ด้านในไม่มีสัตว์อสูรสักตัวแต่นั่นก็เพียงพอที่จะส่งสัญญาณเสียงเรียกรวมพลทันที

หลงจือหยางกุมมือเยว่ชิงมาถึงจุดกึ่งกลางตามที่วางแผนรับผิดชอบเอาไว้ ดันเจี้ยนค่อยๆเปิดออกกว้างตามด้วยสิ่งที่คุ้นเคยกันดีอย่างเทพทั้งสาม 

ละอองสีดำขึ้นปกคลุมท้องฟ้า มันแผ่ขยายไปเรื่อยๆจนโลกตกอยู่ภายในความมืดมิด ไม่นานพวกเขาก็รู้สึกขยะแขยงต่อละอองความมืดที่ปกคลุม มันเหมือนมีดวงตานับล้านจับจ้องพวกเขาจนขนหัวลุกไปหมด

แต่ถึงจะอย่างนั้นก็ไม่มีใครคิดจะถอยเลยสักคนเดียว

ใช้เวลาไม่นานผู้คนในชุดคลุมสีดำค่อยๆปรากฏทีละคน คนเหล่านั้นลอยอยู่ด้านบน ด้านหลังยังเต็มไปด้วยสัตว์อสูรอีกมากมายนับไม่ถ้วน คนในสนามรบย่อมรู้สึกหวาดกลัวเป็นธรรมดา

ยกเว้นหลงจือหยางที่การคาดการณ์ของเขาครบหมดจนต้องเผยรอยยิ้มออกมา

เอาละ...ได้เวลาจบสงครามสักที