ฉันมองไม่เห็นค่าพลังยกเว้นเลเวลของเขา ชาติก่อน ๆ เลเวลของฉันต่ำจนมองเลเวลเขาไม่เห็นด้วยซ้ำ นี่จึงเป็นครั้งแรกที่ฉันรับรู้ความน่ากลัวนี้
เฮนรีแข็งแกร่ง เขาเร็วกว่าฉันหลายเท่า ดาบของเขาทรงพลังยิ่งกว่าดาบของท่านอาจารย์ เขาไม่จำเป็นต้องใช้ลูกเล่นเพื่อให้เหนือกว่าอีกฝ่าย ลำพังแค่พละกำลังกับท่วงท่าที่ไร้ที่ติ ฉันก็จินตนาการไม่ออกแล้วว่าจะมีมนุษย์ที่ไหนเอาชนะเขาได้
สี่ปีที่ฝึกกับท่านอาจารย์ ฉันเก่งขึ้นกว่าเดิมเป็นสิบเท่า แม้แต่ท่านอาจารย์เองก็ยอมรับว่าหากฉันฝึกฝนต่ออีกสักสิบปีก็น่าจะมีระดับไม่ต่างจากท่าน แต่กับเฮนรีมันไม่ใช่อะไรแบบนั้น
คำตอบก็คือสกิล เฮนรีมีสกิลบางอย่างที่ทำให้เขากลายเป็นอัจฉริยะ ฉันได้เปรียบคนทั่วไปเพราะมีสกิลสะสมมาจากชาติก่อน แต่ตราบใดที่ไม่ได้มีสกิลแบบเดียวกัน ฉันอาจจะไม่มีวันตามเขาทันแม้จะต้องฝึกไปตลอดกาล
เจ็บใจจนอยากร้องไห้ แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกดีใจจนเนื้อเต้นที่มีคู่แข่ง ฉันแพ้แต่ก็ยังปากดีทิ้งท้ายเอาไว้
"คราวหน้าฉันจะเก่งกว่านี้อีก"
เฮนรีไม่ได้พูดตอบ แต่เขาส่งยิ้มบาง ๆ มาให้ ฉันเพิ่งรู้ว่าคนที่ดูเย็นชาแบบเขายิ้มแบบนี้เป็นด้วย
ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ที่ศิษย์เก่าอย่างฉันและเฮนรีหาเรื่องแวะเวียนกลับมาที่โรงฝึก เยี่ยมเยียนท่านอาจารย์ก็เหตุผลหนึ่ง แต่เหตุผลหลักของฉันคือการแก้มือเฮนรี
มันน่าเจ็บใจจะตาย ตาเฮนรีที่เหมือนกับหุ่นยนต์คนนั้นเนี่ยนะ ฉันเกลียดเขามาตั้งแต่ไหนแต่ไร จะแพ้ใครก็ไม่ว่าฉันทนไม่ได้ที่จะแพ้เขา
เราประลองกันครั้งแล้ว ครั้งเล่า วันแล้ว วันเล่า แม้ว่าภายหลังพวกเราทั้งคู่จะไม่ได้ยืมใช้โรงฝึกของอาจารย์อีก แต่ฉันก็แวะไปที่ปราสาทของเขาบ้าง แน่นอนว่าเพื่อท้าประลอง
ฉันไม่ได้คิดอะไรกับเขาสักนิด ฉันพยายามย้ำกับตัวเองซ้ำ ๆ ในบรรดาเพื่อนของเมซ เฮนรีหัวแข็งที่สุด อวดดีที่สุด เข็มงวดไปเสียทุกเรื่อง แค่เป็นเพื่อนก็อึดอัดแล้ว มันไม่มีทางหรอกที่ฉันจะคิดอะไรมากไปกว่านั้น
จนวันที่อยู่ ๆ เขาก็ดึงตัวฉันเข้าไปแล้วพวกเราสองคนก็จุมพิตกันอย่างดูดดื่ม
ฉันไม่เคยทำตัวเหลวไหลแบบนี้เลย รู้สึกโกรธและงงกับตัวเอง ทำไมตอนที่เขาล่วงเกินฉันถึงไม่ขัดขืน อย่างน้อยก็ควรจะจบด้วยการตบหน้าเขาไปสักรอบ
ฉันคงมัวแต่ตกใจนั่นแหละ เฮ้ย นั่นเฮนรีผู้ไม่แสดงอารมณ์อื่นนอกจากความฉุนเฉียวเวลาเห็นเรื่องไม่ถูกต้องนะ เมื่อคนแบบนั้นเกิดเข้าไปจูบใครเข้า ไม่ว่าใครก็ต้องตั้งตัวไม่ทันทั้งนั้นแหละ
ตามนี้แหละ ฉันก็แค่ตกใจ ฉันบอกกับตัวเองว่ามันจะไม่มีทางเกิดขึ้นอีก
ฉันไม่ควรจะเจอกับเขาอีก แต่ความรู้สึกอยากเอาชนะ ทำให้การประลองเกิดขึ้นอีกครั้ง ฉันแพ้อย่างที่คาดเอาไว้
ก่อนกลับเฮนรีมาขอโทษเรื่องที่เกิดขึ้นครั้งก่อน มันยิ่งกระตุ้นให้ฉันโกรธมากขึ้นที่ถูกเขาล้อเล่น แล้วเฮนรีก็ทำสิ่งที่ฉันไม่คาดคิด เขาสารภาพรักกับฉัน
ฉันไม่รู้ว่าเขาจะมาไม้ไหน แต่เขาดูจริงจังมาก เขาพูดถึงเรื่องแต่งงานทั้งที่ฉันยังไม่ทันได้คิดไปไกลขนาดนั้น
พวกเราจูบกันอีกครั้ง แต่ฉันกลับปฏิเสธเรื่องงานแต่งงานไป
ฉันเคยล้มเหลวกับการแต่งงานมาแล้วสองครั้ง ฉันไม่พร้อมกับที่จะร่วมชีวิตกับใครอีก อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในเร็ว ๆ นี้
ยิ่งฉันถอย เฮนรีก็ยิ่งรุกหนัก เขาเข้าหาทั้งฉันและท่านพ่อ ท่านแม่ ถึงกับหลอกให้ฉันไปเจอกับครอบครัวของเขา เฮนรีในตอนนี้ไม่เหมือนเฮนรีที่ฉันรู้จักเลยสักนิด
ฉันรู้สึกพ่ายแพ้ ไม่เพียงแค่การประลอง แต่ทั้งที่คิดว่าจะไม่มีทางรู้สึกอะไรกับเขาแต่ฉันก็ทำไม่ได้ บ้าจริง นี่ฉันรักคนหัวแข็งอย่างเฮนรีเนี่ยนะ
แล้วฉันก็ตัดสินใจปล่อยเลยตามเลย ฉันยังยืนกรานว่าหัวเด็ดตีนขาดฉันก็จะไม่แต่งงานกับเขา ฉันรู้ว่าปัญหามากมายจะตามมาทีหลัง และเหนืออื่นใดเมื่อแต่งงานกันฉันก็จะได้สกิลของเขามา ฉันอยากชนะเขาให้ได้โดยไม่ต้องพึ่งวิธีโกงแบบนั้น
ผู้ชายหากได้อะไรอย่างใจสักครั้งแล้ว เขาก็จะรู้สึกต้องการสิ่งนั้นน้อยลง ฉันไม่เคยทำแบบนี้มาก่อนในชาติที่แล้วมา แต่ชั้นเจตนาปล่อยตัวปล่อยใจไปกับเฮนรี
พวกเรามีความสัมพันธ์กันฉันท์ชู้สาว น่าตลกที่ฉันกำลังรอให้เขาเบื่อฉันอยู่ แต่เฮนรีดันเป็นผู้ชายประหลาด มันดันตรงกันข้าม เขาหลงใหลฉันหนักข้อขึ้นทุกวัน
ถ้ามีน้องสาวหรือลูกสาวที่เกิดคิดว่าอาจจะได้เจอคนแบบเฮนรี ฉันคงจะสวดให้แบบข้ามวันข้ามคืน ถึงจะมีประสบการณ์ผู้ชายไม่มาก แต่ฉันพูดได้เต็มปากว่าผู้ชายคนนี้ไม่ปกติ มันเป็นเรื่องธรรมดาที่ยิ่งเธอเอาตัวเข้าแลก เขาก็ยิ่งเห็นคุณค่าของเธอน้อยลง เป็นไปไม่ได้หรอกหนู ไอ้ที่จะติดใจลีลารักของเธอแล้วยิ่งหลงน่ะ
แต่เฮนรีมันบ้า เขาตรงกันข้ามกับความธรรมดา และฉันก็ดันบ้าพอกันที่ไปชอบคนแบบนั้น
ฉันใช้ชีวิตแบบนั้นอยู่นาน เคยบอกเฮนรีด้วยซ้ำว่า ฉันยินดีอยู่ในสถานะแบบนี้ เขาไม่จำเป็นต้องตบแต่งอะไร และฉันก็ไม่คิดจะเรียกร้องอะไรด้วย แต่เขาก็ยังคงยืนกรานว่าต้องการแต่งกับฉันเท่านั้น
ราว ๆ ปีที่หกของการคบกันแบบลับ ๆ ในที่สุดฉันก็ใจอ่อน แน่นอนว่าฉันยังไม่เคยเอาชนะเขาได้ แต่ฉันก็ไม่มีความคิดอยากเอาชนะเขาแล้ว
ในวัยยี่สิบเจ็ด ในที่สุดฉันก็แต่งงานกับผู้ชายที่เหมือนกับสามีของฉันมาตลอดหกปี
[คุณได้รับสกิลพรสวรรค์แห่งดาบ]
"นั่นไงล่ะ"
[คุณได้รับสกิลผู้กล้า] (ดูรายละเอียดเพิ่ม)
[คุณได้รับสกิลผู้ถูกลิขิตให้ปราบจอมมาร]
"หืม ผู้กล้า… จอมมาร"
แม้จะมีปราสาทของตระกูลเจย์ฟรีดอยู่ที่เมืองหลวง แต่พื้นที่อาณาเขตที่แท้จริงของตระกูลเจย์ฟรีดอยู่ที่เมืองนอสริงก์ที่อยู่ตอนเหนือสุดของอาณาจักร
เฮนรีมีราชการลับที่เขาต้องจัดการที่เมืองหลวงเป็นครั้งคราว แต่ฉันรู้ว่าอย่างไรเสียบ้านที่แท้จริงของเขาก็ยังคงเป็นนอสริงก์ มันทำให้ฉันตัดสินใจย้ายไปที่นั่นแทน
แต่ฉันก็ไม่กล้าพาครอบครัวไปด้วย แม้ฉันเชื่อว่าตระกูลเจย์ฟรีดจะสามารถปกป้องดินแดนของตนไว้ได้ แต่อย่างไรเสียนอสริงก์ก็ยังเป็นชายแดน ไม่รู้เลยว่าสงครามจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่
ยิ่งเมื่อพิจารณาจากสกิลของเฮนรี ฉันก็ยิ่งหนักใจ เขาคือผู้กล้าตัวจริง และสักวันเขาอาจต้องเป็นผู้ที่ล้มจอมมาร
ว่าแต่จอมมารเป็นใครกันนะ เรื่องนี้ฉันเองก็ไม่รู้
มันเป็นตำนานที่ทุกคนเชื่อ พวกเขาเล่าต่อ ๆ กันมาว่าในสมัยก่อนมีเผ่าพันธุ์ปีศาจอยู่จริง แม้ว่าภายหลังจะพ่ายแพ้สงครามกับมนุษย์จนสูญพันธุ์ไปหมด แต่ตำนานเชื่อว่ามนุษย์ที่มีสายเลือดของปีศาจยังมีหลงเหลืออยู่
วันหนึ่งพลังของพวกเขาจะตื่นขึ้น พวกเขาจะรวมตัวกันโดยมีชายที่มีพลังปีศาจสูงที่สุด เขาจะกลายเป็นจอมมารของยุคใหม่
ตอนที่ฉันได้ยินเรื่องนี้ครั้งแรก ฉันคิดว่ามันคือนิทานหลอกเด็ก ปีศาจเองก็ไม่มีใครเคยเห็น ไม่ต้องไปพูดถึงจอมมารเลย
แต่สกิลของเฮนรีไม่น่าจะโกหกได้ ฉันไม่มีทางเลือกนอกจากเชื่อนิทานหลอกเด็กที่ว่า
ฉันแน่ใจเหลือเกินว่าชีวิตคู่กับเฮนรีไม่มีทางจบลงอย่างสวยงาม เราเริ่มความสัมพันธ์จากการแข่งขัน ความรู้สึกอยากเอาชนะอีกฝ่าย ฉันคิดว่าอย่างเก่งมันก็คงจะจบลงภายในสองถึงสามปีแรก
เวลาผ่านไปเร็วจนฉันแทบไม่รู้ตัว ฉันและเฮนรีเพิ่งฉลองครบรอบงานแต่งปีที่ยี่สิบของเราไปเมื่อไม่กี่วันก่อน
พวกเราไม่มีลูกด้วยกัน บางทีอาจจะเป็นที่ฉันเอง ดูจากในชาติก่อนๆ ที่แต่งงาน ฉันก็ไม่เคยมีลูกมาก่อน แต่ชีวิตแบบนี้ก็ไม่รู้สึกว่าขาดอะไรไป เฮนรีอาจจะไม่ใช่คนที่ดีที่สุดในโลกแต่อย่างน้อยพวกเราก็ทนกันได้
ในปีนี้เรื่องที่ฉันหวาดกลัวมานานได้ตามมาหลอกหลอน เรื่องเกี่ยวกับสายเลือดปีศาจที่ซ่อนอยู่ในตัวมนุษย์กลับมาเป็นประเด็นที่ทุกคนพูดถึงอีกครั้ง เกิดคดีแปลก ๆ ที่ไม่สามารถจับมือใครดมมากมายหลายคดีในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านและปีนี้มันก็ยกระดับขึ้นอีกจนกลายเป็นคดีฆาตกรรมหมู่ไม่เว้นแต่ละวัน
เรื่องน่ากลัวนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในอาณาจักรของเรา มันเกิดขึ้นในทุกมุมของโลก แน่นอนว่าแต่ละประเทศไม่ได้นิ่งนอนใจ พวกเขาพยายามทำทุกวิธีเพื่อค้นหาคนที่มีสายเลือดปีศาจ แต่มันยิ่งแย่ลง มันกลายเป็นแค่ความพยายามล่าแม่มดเท่านั้น
เฮนรีทำงานอย่างหนักเพื่อให้นอสริงก์ปลอดภัยกว่าที่ใดในโลก ฉันเองก็ช่วยด้วยอย่างเต็มที่เพื่อแบ่งเบาภาระของเขา ในขณะที่เขาต้องจัดการกับภัยคุกคามจากประเทศเพื่อนบ้าน ฉันก็วางแผนรับมือกับการก่อกวนของพวกมีสายเลือดปีศาจที่เพิ่มขึ้นในทุกวัน
พวกเราทำได้ดี อย่างน้อยก็ในช่วงเวลาที่พวกเรายังมีกำลังให้ทำได้
ในวัยหกสิบปีของฉันและวัยหกสิบแปดปีของเฮนรี พวกเราได้รับการติดต่อจากเพื่อนเก่าของเราเมเบียส ฉันไม่คิดฝันว่ามันจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของจุดจบ
มันแตกต่างจากงานเลี้ยงรำลึกความหลังที่ฉันคิดไว้มาก เมเบียสไม่ได้พาเพียงแค่คนสนิทของเขามาด้วย เขามาพร้อมกับกองทัพ
นอสริงก์ถูกโจมตีอย่างอุกอาจ ผู้บุกรุกมีแค่หลักร้อยเท่านั้นแต่กองทัพของเรากลับไม่สามารถทำอะไรได้มาก เนื่องจากพวกเขาล้วนแต่เป็นมนุษย์ที่มีสายเลือดปีศาจนั่นเอง
เมเบียสคือหัวหน้าของคนกลุ่มนี้ ในการเผชิญหน้ากับเขา ฉันและเฮนรีเข้าใจได้ทันทีว่านี่ไม่ใช่เรื่องเข้าใจผิด เมเบียสรูปร่างหน้าตาไม่แตกต่างจากเมื่อสี่สิบกว่าปีก่อนแม้แต่น้อย สิ่งนี้คือหลักฐานอย่างชัดเจนว่าเขาคือผู้ที่มีสายเลือดปีศาจอย่างเข้มข้น
"มันเกิดอะไรขึ้นกับนายเมเบียส แล้วอะไรคือเหตุผลให้นายโจมตีพวกเรา"
"ไม่เอาน่าเฮนรี นายพยายามหาเหตุผลในเรื่องนี้เนี่ยนะ"
"มันต้องมีคำอธิบายไม่ใช่เหรอ" ฉันถามบ้าง เมเบียสยังคงยิ้มยียวนเหมือนเดิม
"ผู้ที่แข็งแกร่งก็ควรจะเป็นผู้ปกครอง ฉันก็แค่ทำสิ่งที่ไม่ว่าใครก็จะทำถ้าเขามีอำนาจ"
"นายรู้ตัวมาตลอดเลยสินะ" เฮนรีหมายถึงเรื่องที่เมเบียสมีสายเลือดของปีศาจ เขาไม่เพียงไม่ทุกข์ร้อนแต่ยังดูสนุกสนานไปกับสถานะของตนเองในขณะนี้
"แน่นอน ฉันรู้มานานแล้ว นานก่อนที่จะเกิดด้วยซ้ำ" เมเบียสหันมาพูดกับฉัน
"ฉันไม่เข้าใจว่านายพยายามจะบอกอะไรกันแน่"
"ก็เหมือนกับนายน่ะแหละเฮนรี นายมีสกิลผู้ถูกลิขิตให้ปราบจอมมาร ส่วนฉันเองผู้เกิดมาเป็นจอมมารก็มีชะตากรรมที่ต้องจัดการกับนาย"
ฉันอึ้งไปครู่หนึ่ง แต่เรื่องน่าตกใจยังไม่จบ เมเบียสพูดต่อ "ส่วนเธอสกิลโอกาสในการเริ่มชีวิตใหม่ นี่มันเป็นปัญหากับฉันจริง ๆ"
...ทำไมหมอนี่ถึงรู้สกิลของฉันและเฮนรี…
"ฉันศึกษาเรื่องของพวกเธอสองคนมานานแล้ว เคยคิดจะฆ่าทิ้งก็หลายครั้งแต่โอกาสมันไม่อำนวยเอาเสียเลย สุดท้ายก็ต้องรอจนแน่ใจกว่าพวกเธออ่อนแอลง"
ยิ่งเขาเล่า ฉันก็ยิ่งสับสน เมเบียสไม่ได้สนใจจะอธิบายทุกอย่างให้กระจ่างชัด แต่ฉันก็ไม่ยอมแพ้ ฉันพยายามยื้อเอาไว้อย่างเต็มที่ อาจจะด้วยสกิลเจรจาหว่านล้อมระดับสูง เมื่อกระตุ้นอีกเล็กน้อยเมเบียสก็นึกสนุกและเริ่มเล่าเรื่องราวตั้งแต่ต้น
เมเบียสมีเลเวลสูงกว่าฉันและเฮนรีมาก แต่นั่นไม่ใช่สาเหตุเดียวที่ทำให้เขารู้จักกับสกิลของเฮนรี เขาเคยสู้กับเฮนรีมาก่อน
เมเบียสมีสกิลเดียวกับฉัน เขาคือผู้ครอบครองสกิลโอกาสในการเริ่มชีวิตใหม่ เขาใช้สิ่งนี้ร่วมกับสกิลลับอีกอย่าง… คำอวยพรแห่งการสังหารในการทำให้ตัวเองเก่งกาจขึ้น
คำอวยพรแห่งการสังหารนั้นมีส่วนคล้ายคำอวยพรแห่งการแต่งงานของฉัน ต่างกันตรงที่ฉันจะเลียนแบบสกิลของคู่สมรสคนแรกในชีวิตครั้งนั้น แต่คำอวยพรแห่งการสังหารจะช่วงชิงสกิลของคน ๆ แรกที่เมเบียสฆ่า
ด้วยการประสานของสองสกิลสุดโกง เมเบียสสามารถฆ่าใครก็ได้ ช่วงชิงพลังมา เกิดใหม่ และ ฆ่าคนต่อไป วนเวียนแบบนี้จนแทบจะไร้เทียมทาน
แต่แล้ววันหนึ่งเขาก็พบกับคู่ปรับฟ้าประทาน ชายผู้เกิดมาพร้อมกับสกิลผู้ถูกลิขิตให้ปราบจอมมาร
เมเบียสวนเวียนเกิดใหม่หลายต่อหลายครั้ง แต่เขาก็ไม่เคยเอาชนะเฮนรีได้เลย เขาตัดสินใจทิ้งทิฐิไป ไม่มีความจำเป็นต้องสู้กับเฮนรีในขณะที่เขาเหนือกว่า เมเบียสเป็นเผ่าปีศาจและเขาได้เปรียบในเรื่องของเวลาที่แทบจะไร้ที่สิ้นสุด
ปัญหาใหม่ของเมเบียสเกิดขึ้นในวันที่อีกหนึ่งศัตรูฟ้าลิขิตส่งมา ตอนที่เขาพบเธอครั้งแรก เธอเป็นแค่เด็กสาวอ่อนแอผู้มีสกิลโอกาสในการเริ่มชีวิตใหม่เหมือนกันเขา
เมเบียสจะฆ่าฉันในตอนนั้นก็ไม่ยากเย็น แต่ความอยากรู้อยากเห็นทำให้เขาเพียงแค่สังเกตการณ์ เมเบียสเฝ้ามองฉันแต่งงานกับเมซ จากนั้นก็วางแผนทำลายชีวิตของฉัน
เขาคือคนที่ติดสินบนผู้พิพากษา พยาน รวมทั้งสร้างหลักฐานเท็จเพื่อเล่นงานเมซ แล้วเขาก็ทำได้สำเร็จฉันติดร่างแหไปด้วย และพบกับจุดจบของชีวิต
ในตอนนั้นคือวินาทีที่เมเบียสพบกับหายนะของเขาเช่นกัน เขาเคยสงสัยว่าโอกาสในการเริ่มชีวิตใหม่จะทำงานอย่างไรในมุมมองของคนที่ไม่ได้ไปเกิดใหม่ด้วย แต่ผลของมันกลับเชื่อมถึงกัน ทันทีที่ฉันถูกย้อนกลับไปเมเบียสก็ถูกบังคับให้ย้อนกลับไปด้วย
ตอนนั้นเขาตระหนักความจริงได้อีกสิ่ง ตราบใดที่มีคนอย่างฉันอยู่ เขาจะติดอยู่ในวังวนนี้ไปด้วย แม้ว่าเขาจะฆ่าเฮนรีที่เป็นเสี้ยนหนามไปได้ แต่มันก็ไม่มีประโยชน์ เขาจะย้อนกลับไปเสมอ เฮนรีจะเป็นปัญหาของเขาไปตลอดกาล
เมเบียสพลาดตรงที่เขาไม่เชื่อผลสรุปของตัวเอง เขาทดลองอีกครั้งในตอนที่ฉันแต่งงานกับทิม เริ่มจากการยุยงท่านแม่ของทิมที่รังเกียจฉันเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และหลังจากแกล้งทำลืมยาเบื่อหนูชนิดใหม่เอาไว้ที่บ้านของทิม เรื่องมันก็เกิดขึ้น
ฉันตายอีกรอบ เมเบียสพยายามอยู่ให้ห่างจากฉันมากที่สุดโดยหวังว่าสกิลเกิดใหม่ของเราทั้งสองจะไม่เชื่อมถึงกันหากเขาไปซ่อนตัวอยู่ในอีกซีกโลก แน่นอนว่ามันไม่ได้ผล
เมเบียสมีวิธีหยุดปัญหานี้ได้ตั้งแต่แรก ด้วยสกิลคำอวยพรแห่งการสังหาร เขาสามารถขโมยโอกาสในการเริ่มชีวิตใหม่จากฉันไปได้ เขาแค่ต้องลงมือฆ่าฉันด้วยตนเองเท่านั้น แต่เมเบียสดูแคลนฉันเกินไป เขามองว่าการจะฆ่าผู้หญิงอ่อนแอแบบฉัน มันไม่ใช่เรื่องยากเย็น เขาเสียดายโอกาสเพียงครั้งเดียวต่อหนึ่งชาติที่จะช่วงชิงสกิลจากคนที่แข็งแกร่งกว่าอย่างเช่นเฮนรี
แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว ฉันกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งเป็นรองเพียงแค่เฮนรีเท่านั้น และจากการแต่งงานกับเฮนรี การฆ่าฉันในวันนี้จะทำให้เขาได้รับทุกอย่างที่เขาต้องการ
หลังจากพูดคุยกันจนสิ้นสงสัยพวกเราก็เริ่มสู้กัน ทหารเลือดปีศาจของเมเบียสแข็งแกร่งแต่ทหารองครักษ์เองก็ถูกเฮนรีฝึกมาโดยตรง พวกเขาแตกต่างจากทหารทั่วไปที่ถูกจัดการได้โดยง่าย ผลคือทหารของทั้งสองฝ่ายถูกกันออกไปจากศึกสุดท้ายที่มีฉัน เฮนรีและเมเบียส
เมเบียสทะนงตนเกินไป แม้ฉันและเฮนรีจะอายุมากแล้วแต่พวกเราก็ยังแข็งแกร่ง การสู้กับพวกเราพร้อมกันทำให้เขาเสียเปรียบ
เมเบียสไม่ใช่คนโง่ หลังจากการปะทะไม่นานเขาก็ตระหนักได้ว่าตนเองเดินหมากผิดพลาดไป ถ้าเขาไม่ใจร้อนและรออีกสักสิบถึงยี่สิบปี พวกฉันอาจจะแก่จนแทบทำอะไรไม่ได้และเขาก็คงจะชนะได้โดยไม่ต้องลำบากลำบนขนาดนี้
ทั้งสองฝ่ายเริ่มเหนื่อยล้าและบาดเจ็บ ค่าพลังที่สูงจนน่ากลัวของเมเบียสส่งผลกับเราสองคนที่มีสกิลผู้ถูกลิขิตให้ปราบจอมมารไม่ถึงหนึ่งในสิบ
เฮนรีบาดเจ็บมากกว่าเพราะพยายามรับความเสียหายทั้งหมดแทนฉัน เฮนรีเข้าใจดีว่าเมเบียสจำเป็นต้องฆ่าฉันเป็นคนแรกเพื่อให้สกิลเกิดใหม่ของฉันหายไป ซึ่งเป็นสิ่งที่เขายอมให้เกิดไม่ได้
เกือบครึ่งวันผ่านไป ทหารองครักษ์ส่วนใหญ่เสียชีวิตจนหมดแล้ว แต่พวกเลือดปีศาจเองก็เหลือไม่มากและพลทหารของพวกเราก็ยังหนุนเข้ามาอย่างไม่หยุดยั้ง
ฉันทั้งฟันทั้งแทงเมเบียสไปหลายครั้ง ไม่รู้เป็นเพราะความชรา ฉันอ่อนแอเกินไป หรือเมเบียสแข็งแกร่งเกินไป แผลเหล่านั้นไม่ลึกพอจะหยุดเขาได้
เฮนรีควรจะรู้ตัวว่าเขาเป็นคนสำคัญแค่ไหน เขาคือบารอนแห่งนอสริงก์ เขาคือผู้กล้าที่แท้จริง เขาคือชายคนเดียวในโลกนี้ที่เอาชนะเมเบียสได้ แต่เขากลับทำเรื่องสิ้นคิด
ขณะที่ดาบของเมเบียสกำลังจะถึงคอฉัน เฮนรีก็โดดเข้ามาขวาง
เคยตายเองมาก็หลายครั้ง แต่ฉันไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน มันมีจริงด้วยสินะ ภาพสโลโมชันเวลาที่เหตุการณ์สำคัญในชีวิตเกิดขึ้น ฉันเห็นอย่างชัดเจนในตอนที่ดาบของเมเบียสแทงทะลุร่างของเฮนรี เลือดของเขากระเซ็นออกมาอย่างช้า ๆ ตอนนี้ดาบถูกดึงกลับไป
ฝ่ายเมเบียสเองก็ไม่ได้รอดปลอดภัยดี ดาบของเฮนรีอาจจะไม่ได้แทงถูกตำแหน่งสำคัญแต่มันก็สร้างความเจ็บปวดให้แสนสาหัส ไหล่ขวาของเมเบียสไม่สามารถใช้การได้อีกและฉันก็ไม่ปล่อยโอกาสนี้ไป ฉันพุ่งออกไปพร้อมกับดาบที่เงื้อจนสุดแขน
คอของเมเบียสเกือบขาด ส่วนฉันก็ได้รับบาดเจ็บในตำแหน่งที่เกือบจะเหมือนกับเฮนรี แม้แต่วิธีตายพวกเราก็ยังคล้ายกันขนาดนี้เลย
ฉันไม่น่าจะเอาชนะเมเบียสได้ ต่อให้ได้รับบาดแผลฉกรรจ์จากเฮนรีก็ตาม ผลลัพธ์ที่ออกมาเกิดจากความลังเลของอีกฝ่าย เมเบียสตกใจที่เขาพลั้งมือฆ่าเฮนรีก่อน เขากำลังสับสนว่าจะจัดการยังไงกับพลังเกิดใหม่ของฉัน แต่ฉันไม่ปล่อยให้เสี้ยววินาทีนั้นสูญเปล่า
เมเบียสขาดใจตายก่อนฉันแค่ไม่กี่วินาที ตอนนั้นฉันคิดว่าผลมันไม่ต่างกันเท่าไหร่ ไม่ว่าฉันหรือเขาตายสกิลโอกาสในการเริ่มชีวิตใหม่ของคนใดคนหนึ่งก็จะทำงานและส่งพวกเราทั้งคู่กลับไป ฉันเข้าใจแบบนั้น
[คุณฆ่าจอมมารสำเร็จ เงื่อนไขครบถ้วน สกิลโอกาสในการเริ่มชีวิตใหม่เปลี่ยนจุดเริ่มต้นเป็นช่วงเวลาปัจจุบัน]
...เปลี่ยนจุดเริ่มต้น หมายความว่ายังไง ถ้าฉันตายตอนนี้ก็จะไม่ได้กลับไปตอนอายุสิบหก แต่เป็นตอนนี้น่ะเหรอ…
ข้อดีของการกลับมาในจุดที่ฆ่าจอมมาร คือเมเบียสจะไม่ฟื้นกลับสร้างความเดือดร้อนให้ใครได้อีก แต่ปัญหาคือฉันบาดเจ็บหนักก่อนหน้านั้นแล้วฉันจะตายหลังจากนั้นไม่กี่วินาที
เรื่องตายวนเวียนน่าหนักใจแน่นอน แต่ที่แย่กว่านั้นคือเฮนรี… เขาไม่มีทางฟื้นกลับมาได้อีกครั้ง
[รางวัลพิเศษสำหรับการปราบจอมมาร คุณสามารถเลือกไปเกิดใหม่ในโลกอื่นพร้อมกับสกิลทั้งหมดที่มีติดตัว]
[คุณต้องการรับรางวัลนี้หรือไม่] (ตกลง/ยกเลิก)
...รางวัล ต้องไปเกิดในโลกอื่นที่ไม่รู้จัก ฟังดูไม่เหมือนเป็นรางวัลสักนิด…
...ฉันอยากตอบปฏิเสธ แต่หวนนึกถึงสิ่งที่รออยู่…
...ถ้าฉันไม่รับรางวัลนี้ ชีวิตจะวนเวียนตายแล้วตายอีก เป็นนรกไม่มีวันรู้จบ…
"ตกลง" ตอบกับระบบด้วยเสียงแผ่วเบา
ฉันตื่นขึ้นมาอีกครั้ง รอบกายคือทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ที่ราวกับไม่มีที่สิ้นสุด มีคนอยู่ที่นั่นก่อนหน้าฉันแล้ว หนึ่งในนั้นคือเด็กชายที่สวมฮู๊ดประหลาดสีม่วง
เขาเองก็มาจากต่างโลก ฉันรู้สึกแบบนั้น