ห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล พัคจินอูที่ได้แต่ยืนเฝ้าของเตียงไม่ยอมห่าง เพราะพยาบาลกำลังเข้าเย็บแผลราวๆ 5 เซนให้กับลุงฮวัง แต่ถึงเธอจะพยายามชักสีหน้าให้ไม่ให้โกรธ แต่จนแล้วจนรอดเธอก็อดไม่ได้อยู่ดี
" ทำไมถึงได้แผลแค่นี้นะ " พัคจินอูคอยหันมายืนกอดอกบ่น ๆ
" ถ้ารู้ว่าแผลเล็กขนาดนี้ ฉันจะไม่รีบช่วยลุงมาที่นี้หรอก " พัคจินอูที่ยังคงทำหน้าเซ็ง แต่ในใจกลับคิดตรงกันข้าม
ลุงฮวังกลับหันมายิ้ม ๆ ก่อนที่จะหัวเราะออกมา
" เธอนี่มันเป็นคนยังไงกันแน่ จินอู "
ลุงฮวังยังมีหน้าหันมาคอยหยอกเล่นกับเธอ ในขณะที่พยาบาลกำลังเพิ่งทำแผลเสร็จและเดินออกไปจากเตียงของพวกเขา และผู้ชายคนนั้นก็รีบเดินสวนเข้ามาทันที
" ขอบคุณมาก "
" คุณเอ็นจิเนีย " ลุงฮวังขอบคุณในน้ำใจของเขา แต่ทว่าสีหน้าของตัวเองที่ยังจะเก็บซ่อนความรู้สึกผิดไม่หาย จนกระทั่งเขายื่นมือมา
" ผมขอเงินคืนด้วย " คุณเอ็นจิเนียที่ลุงฮวังเรียกแทนชื่อ และเขาที่กำลังยื่นมือขอเงินคืน พัคจินอูที่ก็เลยต้องรีบหันไปมองตาม แต่ว่าลุงฮวังของเธอกลับเอาแต่นอน ๆ ถอนหายใจและสีหน้าที่เหมือนจะรู้สึกผิดกับอะไรบางอย่างอะไรอย่างนั้น
" หมายความว่ายังไงค่ะ ลุง " เธอพยายามเลียบ ๆ เคียงๆ ถาม แต่ลุงฮวังเอาแต่หันหน้าหนีและยังหลบสายตา
" หรือว่า.... " และเธอที่ก็เหมือนจะนึกอะไรออกขึ้นมาบ้าง
" หมายความว่า..... เงินนั้น " เธอที่หันไปคอยตั้งคำถามอย่างจริงจังกับคุณเอ็นจิเนียอะไรคนนั่น และคุณเอ็นจิเนียก็พยักหน้าซะด้วย
" หัวหน้าฮวัง" แต่ว่าเขาก็เริ่มตั้งคำถาม
" คุณแทนที่จะรีบนำเงินค่าแรงไปให้พวกลูกน้อง " เขาที่ได้แต่ส่ายหัวไปๆ มาๆ อย่างไม่เห็นด้วย
" แต่ว่า..คุณกลับเอาเงินของลูกน้องมาทำแบบนี้ซะได้ " เพราะฉะนั้นเขาก็เลยเดินเข้าไปหา
" เพราะฉะนั้น ผมขอเงินที่พวกคุณเล่นมาเมื่อกี้ ทั้งหมด " เขาหันไปมองหน้าพวกเธอสองคนสลับกันไปมา และก็ยังจะโชว์เงินปึกใหญ่ๆ ที่พวกเธอสองคนเผลอทำหล่น !
" เอาเป็นว่า...ผมจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น "
" ที่..หัวหน้าฮวัง แอบเอาเงินของคนงานมาเล่นพนัน ถ้า..." เขาหันไปสบตากับพวกเธออีกที และพยายามแสยะยิ้มให้
" พวกคุณยอมให้เงินทั้งหมดนี่ " เขาสบตาเธออย่างจริงจัง
ลุงฮวังที่ทำได้ก็แค่แอบสบท แต่ก็ยังพอทำใจยอมรับข้อเสนอนั่นได้
" เอาเถอะ "
" แต่ยังไงก็ขอบคุณ "
" คุณเอ็นจิเนีย ที่ช่วยพวกเราเอาไว้ " ลุงฮวังก้มหน้ารับผิดและขอโทษ
พัคจินอูได้แต่ยืนมองพวกเขาสองคนอย่างประหลาดใจ เพราะตอนนี้ที่เธอเองก็ยังไม่รู้เลยว่า ผู้ชายคนที่มาช่วยเธอเป็นอะไรกับคุณลุงฮวังอูชิก เธอที่ได้แต่ทำหน้าสงสัย แต่ก็ยังรีบหันมาขอบคุณเขาที่ให้ความช่วยเหลือ
"ขอบคุณอีกครั้งนะคะ " พัคจินอูโน้มหัวลงเล็กน้อยเพื่อขอบคุณ
เขาผงกหัวและเปลี่ยนท่าที
" ไม่เป็นไร " เขาที่จู่ๆ ก็ตอบรับอย่างเย็นชา
" ถ้ายังไง ผมขอตัวกลับก่อน " เขาหันไปบอกกับหัวหน้าฮวัง
" หัวหน้าฮวังก็พักผ่อนที่นี้สักวันสองวัน "
" ดีขึ้นแล้ว ก็ค่อยกลับไปทำงานที่ไซต์ก่อสร้างละกันนะครับ " เขาบอกลาและยังจะรีบขอตัวกลับออกไปก่อน
เพราะฉะนั้นลุงฮวังกับพัคจินอูที่ก็เลยรีบขอบคุณเขาอีกครั้ง แต่ว่าพัคจินอูก็ยังสงสัยเรื่องนี้ไม่หายอยู่ดี
" ลุงค่ะ !!! " เธอพยายามทั้งขู่และเค้นหาความจริงจากปากลุงฮวังของเธอ แต่ว่าไม่ว่าจะยังไงๆ ลุงของเธอก็พยายามแต่จะบ่ายเบียง
ชเวกียุลค่อยๆ โน้มตัวลงนั่งบนโซฟาในอพาร์ตเมนท์ตัวเอง และคอยถอนหายใจออกมาเบาๆ ด้วย ก่อนที่จะถลกแขนเสื้อเชิ้ตสีขาวๆ และผลิกข้อศอกดู แขนเสื้อบริเวณข้อศอกข้างขวามีรอยกรีดจนขาด และพอมองทะลุเข้าไป และเลือดที่เหมือนยังจะคอยซึมผ่านผ้าพันแผลที่นางพยายาลพันไว้ให้ บริเวณเหนือข้อศอกของเขาเล็กน้อย
ก๊อกๆๆ เสียงประตูห้องของเขาดังขึ้น และเขาก็เลยต้องเดินออกมาเปิดประตูห้องในตอนดึก ๆ และถึงจะหันมาและยืนกอดอมองผู้หญิงที่มายืนอยู่ตรงหน้าประตู ผู้หญิงที่เขาเพิ่งช่วยเธอกับลุงของเธอเอาไว้
พัคจินอูยิ้มโปรยและยื่นขนมกล่องโตให้เขาทันที
" ฉัน พัคจินอู "
" เป็นเพื่อนบ้านคุณ " และเธอก็พยายามสุดๆ ที่จะยิ้มให้เห็นฟันครบทุกๆ ซี่
" ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ " เธอพยายามยิ้มเข้าไว้ แต่ว่าผู้ชายตรงข้ามห้องของเธอกลับเอาแต่คอยยืนจ้องเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า
" ผมว่า...เรา " จู่ ๆ ที่น้ำเสียงของเขาที่ดูจริงจงขึ้นมา จนเขาสังเกตเห็นเธอต้องพลอยทำหน้าตาเหรอหรา
" มาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า... " เขาเริ่มชักสีหน้าจริงจังใส่และแววตาที่คอยแต่ตั้งคำถาม และเธอดูตกใจน้ำเสียงของเขานิดหน่อย
" ฉัน !!" และเธอก็เลบรวบรวมความกล้า
" พวกเราขอบคุณที่ช่วยพวกเราเอาไว้" แต่สุดท้ายเธอต้องยอมรับว่า พวกเธอติดหนี้บุญคุณของเขาเข้าแล้ว
" ฉันขอบคุณ ๆ มากจริงๆ ค่ะ" เธอรวบรวมความกล้าให้คำขอบคุณ เพราะนั้นเขาที่ก็เลยช่วยไม่ได้ และได้แต่ยื่นมือรับกล่องขนมสี่เหลี่ยมๆ กล่องนั่นเอาไว้
" ถ้าเป็นเรื่องนี้จริง ๆ " เขาผงกหัวเล็กน้อย
" มันก็ช่วยไม่ได้จริงๆ " เขายอมรับคำขอบคุณจากเธอ
แต่ว่าตอนที่เขาจะหันกลับเข้าไป เธอกลับเอามือมาจับขอบประตูห้องขอบเขา และเหมือนเธอพยายามดึงมันไว้ไม่ประตูมันปิดลงได้
เพราะว่าเธอแอบจับผิดแขนเสื้อที่ขาดของเขาจนได้ !
" เดี๋ยวก่อน " พัคจินอูพยายามที่จะชะเง้อดูอะไรบางอย่างทั่วทั้งตัวของเขา
แต่ว่าเขาที่ก็กลับพยายามจะดันประตูให้ปิดให้ได้
" นี่เธอ "
" เธอ !!! คิดจะทำอะไร "
เขาหน้าเสียนิดหน่อยและก็ยังพยายามจะดึงลูกบิดประตูกลับ แต่ถึงยังไงผู้หญิงคนนั้นก็พยายามชะโงกหน้าเข้ามาใกล้เรื่อยๆ
จนกระทั่งตอนนี้...ใบหน้าของพัคจินอูก็แทบที่จะขยับเข้าใกล้ๆ กับตัวของเขาเองมากขึ้นไปทุกๆ ทีจนเห็นรอยขาดที่แขนเสื้อและแผลพวกนั้นที่ซ่อนอยู่
" แต่ฉันกำลังคิดว่ามันน่าแปลก ๆ อยู่น่า.... " เธอที่หันไปจ้องตาเขม็งใส่เขาแทบจะทันที
" คุณเอ็นจิเนีย !! " เธอเงยหน้าขึ้นมา
" ไปทำอะไรอยู่แถวนั่น ! "
เธอยังคอยสบตาและตั้งหน้าตั้งตาถามด้วยความสงสัยอย่างถึงทีสุด และก็กลับเป็นเขาเองที่ทำตัวกเลิ่กลัก !!
เขาอ้ำๆ อึ่งๆ
" อะอืม" เขากระอึกกระอักและพยายามจะที่หลบสายตา
" ฉันก็แค่บังเอิญผ่านไปแถวนั่น " แต่ก็ยังปฏิเสธ
แต่ทว่าเธอคนนั้นก็กลับที่จะคอยเอาแต่ยื่นเข้ามาใกล้ๆ เหมือนกับเธอรู้ว่าเขากำลังปิดบังอะไรบางอย่างเอาไว้แน่ๆ
เธอพยักหน้า !!
" แน่นอนอยู่แล้ว " เธอเผลอยิ้มออกมา
" เพราลุงฮวัง บอกฉันว่า...คุณเป็นวิศวกรคนใหม่ของเขา ! " เธอยิ้มๆ และยังพูดต่อ
" คุณเอ็นจิเนีย อะไรสักอย่างนี่แหละ ! " เธอที่แกล้งจำชื่อของเขาไม่ได้ แต่พอปล่อยให้เขาคิดๆ อยู่สักพัก
เขาก็เป็นฝ่ายพยักหน้าตอบกลับไปเหมือนกัน
" ผม ...เชวกียุล " เขาแนะนำ
" เป็นหัวหน้าของคุณลุงฮวัง ของคุณ "
เขาพยายามที่จะแนะนำตัว และจนในที่สุดผู้หญิงคนที่อยู่ห้องตรงกันข้ามก็ยังจะคอยยื่นมือเข้ามา
เธอยิ้มแย้มและพยายามกลบเกลื่อนสิ่งที่เธอเห็นที่แขนเสื้อของเขา !
" ยินดีที่ได้รู้จัก อย่างเป็นทางการนะคะ" และก็ยังมีรอยยิ้มตอบกลับอย่างจริงใจ
แต่เขาเอาแต่กลับยื่นนิ่งๆ ไว้ก่อน แล้วก็คอยกวาดสายตาไปที่มือของเธอ แต่ถึงยังไงซะเขาก็ยังคิดที่จะยื่นมือออกไปหาเธอทันที แต่เขาก็ทำอย่างช้าๆ
เธอดึงมือกลับ
"ที่นี้ ! เราก็รู้จักกันแล้วนะคะ" และคอยประสานมือเอาไว้และยังคอยส่งยิ้มไปให้แทน
แต่ถึงแม้ว่าตอนนั้นเธอจะรู้สึกประหม่าขึ้นมาบ้างก็ตาม แต่ถึงยังไงๆ เธอก็ยังอยากจะขอทำความรู้จักกับเขาอยู่ดี
" ถ้ามี! อะไรที่ฉันพอจะช่วยคุณได้ "
"ได้โปรด...."
เธอที่คอยชี้ไม้ชี้มือไปที่ประตูห้องของเธอ
"ไม่แน่ว่า "
" ฉันอาจจะพอช่วยอะไร ๆ คุณได้บ้าง" เธอพูดจบก็รีบเดินถอยกลับเข้าไปเปิดประตูห้องและบอกลาอีกครั้ง
เขาได้แต่ยืนนิ่งไปและคอยใช้ความคิดที่ว่า เธอไม่ได้เห็นร่องรอยบาดแผลจริงๆ หรือเปล่า แต่ก็ไม่ลืมจะพยักหน้าเป็นคำตอบ
พัคจินอูหันหลังและเปิดประตูห้องของเธอเข้าไปอย่างใจเย็น แต่ถึงอย่างไงๆ เธอก็ได้แต่กลับเข้าไปและยืนพิงหลังประตูอยู่เฉยๆ และได้แต่ถอดถอนหายใจเข้า ๆ ออกๆ
เธอ..ที่ได้แต่ยืนนิ่งๆ หลบอยู่หลังประตูบานนั่น และโมโหความคิดของตัวเองจนเกินคำบรรยายเลยเชียว.....
เด็กผู้หญิงผมสั้นไว้หน้าม้าอายุราวๆ เจ็ดขวบเศษได้ เด็กผู้หญิงที่สวมชุดของโรงพยาบาลกำลังนั่งรถเข็น ในขณะที่พ่อของเด็กเป็นคนเข็นรถเข็นให้ไปตามทางเดินของโรงพยาล จนกระทั่งพ่อได้เข็นรถไปหยุดอยู่ตรงหน้าห้อง ๆ หนึ่ง
ห้องๆ นั่น มีป้ายกำกับติดไว้ว่า " แผนกจิตเวชเด็ก" พ่อและเด็กผู้หญิงได้เข้าไปทำความรู้จักกับจิตแพทย์และสอบถามวิธีการรักษาลูกของเขาอย่างจริงจัง
จิตแพทย์ได้ให้เด็กน้อยคนนั่นทดสอบทักษะในด้านต่างๆ อย่าง วาดรูป และยังที่จะนำรูปครอบครัวของเธอมาทดสอบ
รูปภาพครอบครัวที่ประกอบไปด้วย พ่อของเธอในชุดหัวหน้าเชฟ แม่ของเธอในชุดผู้ช่วยเชฟ และพี่ชายที่สวมชุดเอี๊ยมสีฟ้าๆ ลายตาราง ที่ตอนนั่นอายุประมาณ 11 ขวบได้ แล้วก็เธอที่อายุราวๆ 4 ขวบเศษในชุดเหมือนพี่ชาย
รูปถ่ายของครอบครัวของเธอทั้ง 4 คน ที่ได้ยืนถ่ายรูปด้วยกันอยู่บนดาดฟ้าของเรือสำราญ มิหนำซ้ำ..ในมือของเด็กทั้งคู่ยังถือลูกโป่งสีชมพูอยู่สองใบ
สีหน้าของคนเป็นพ่อที่ไม่ค่อยสู้ดีสักเท่าไหร่ ความกังวล ความกลัวว่าลูกของตนจะมีอาการทางจิตอะไรบางอย่าง ซึ่งเขาเองกับครอบครัวซึ่งตอนนี้ภรรยาของเขาได้ตรอมใจจนเสียชีวิตไปไม่นาน ก็เพราะเรื่องลูกสาวของพวกเขา
เด็กน้อยผมหน้าม้าที่ยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้โซฟากึ่งนอนอยู่เบื้องหน้าของจิตแพทย์ ผู้เป็นพ่อที่คอยแอบดูพวกเขาผ่านกระจกของประตูข้างนอกห้อง
และจิตแพทย์เริ่มตั้งคำถามกับเด็กน้อยอายุเพียง 7 ขวบ ว่า...เธอเห็นภาพบุคคลในอดีตตั้งแต่เมื่อไหร่
เด็กน้อยเริ่มตอบคำถามด้วยสีหน้าสบายๆ หัวเราะและยิ้มผสมกัน บางครั้งเด็กน้อยก็ดูเศร้าลง เพราะเธอบอกกับจิตแพทย์คนนั้นว่า
" หนูเคยเป็นสามีของแม่เมื่อนานมาแล้วจริงๆ แล้ว เมื่อในอดีต..."
" ชาติที่แล้ว !! "
" หนูเคยเป็นสามีของแม่ค่ะ "
" แต่ว่า....แม่ฆ่าหนู !!! "
เด็กน้อยตอบคำถามที่คุณหมออยากรู้ เธอทำราวกับว่า...กำลังเล่านิทานเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ที่มีครอบครัวของเธอและคนรอบข้างเป็นตัวละครให้คุณหมอของเธอฟัง
จิตแพทย์ได้ตั้งคำถามต่อไปเรื่อย ๆ ด้วยว่า เธอ...เริ่มเห็นภาพเหล่านี้เมื่อไหร่ และมันเกิดขึ้นได้ยังไง
เด็กน้อยชะงักและเริ่มกำมือแน่น และสายตาที่ดูลังเล
" หนู...หนูนะ...." เด็กน้อยที่เริ่มไม่มั่นใจเพราะความกลัว
" เวลาที่พ่อกับแม่จับมือของหนู"
" หรือไม่ก็ตอนที่....." ตอนนี้แววตาของเด็กน้อยก็เริ่มเปลี่ยน
" ใช่แล้ว !" เด็กน้อยที่แววตาเปล่งประกาย
เด็กน้อยกลับมาพูดอย่างมั่นใจอีกครั้ง และหันไปสบตาของคุณหมอราวกับว่า เธออยากให้คุณหมอของเธอเชื่อเธอว่า
" หนูไม่ได้โกหกจริง ๆ นะค่ะ "
" หนูสามารถเห็นเหตุการณ์ในอดีตได้"
" เพราะเมื่อไหร่ที่พวกเขาจับมือหนู ! หนูก็จะรู้" เด็กน้อยที่ตอนนี้เริ่มกลับมาทำหน้าเศร้าๆ ลงอีก
" แต่ว่า...."
" ไม่มีใครยอมเชื่อหนูเลยสักคน " เด็กน้อยเริ่มเสียงสั่น
จิตแพทย์ที่ยังคงนั่งฟังเด็กน้อยอธิบายอาการของตัวเธอเองที่ว่า... เวลาที่เธอจับมือของใครสักคนหนึ่ง
เด็กคนนี้ก็จะสามารถมองเห็นอดีตของพวกเขาทุกคนได้ ไม่ว่าจะอดีตที่ผ่านมาหลายร้อยปี หรือแม้กระทั่งเวลาที่ผ่านไปไม่นาน
เด็กคนนี้ก็สามารถมองเห็นอดีตของพวกเขาทั้งหมดได้ !!!!!
ลูกทาสได้ถูกคัดเลือกให้อยู่ทหารหน่วยกององครักษ์ของพระราชา แต่ลูกของบุตรตรีในตระกูลคิมถูกคัดเป็นเพียงทหารกองกำลังยศต่ำเท่านั้น จนกระทั่งเกิดความอับอายของคนในตระกูล ลูกทาสจึงถูกตามล่าเพื่อสังหารเสีย
ระหว่างเดินทางเข้าสู่เมืองหลวง ลูกทาศของคนในตระกูลคิมถูกพวกโจรพากันซุ้มโจมตีหวังฆ่าให้ตายในคราวเดียว
เคราะห์ดี ! บุตรชายในตระกูลรองของตระกูลโจบุรุษรูปงามราวกับดอกไม้ได้ควบม้าผ่านมาเพื่อช่วย เพราะทราบข่าวการโจมตีครั้งนี้จากเหล่าหญิงคณิกาในเมืองหลวง ทั้งลูกทาสและลูกชายตระกูลผู้ดีจึงได้ช่วยเหลือกันและกันและต่างพากันเอาตัวรอดกันมาได้อย่างหวุดหวิด และข่าวนี้ก็ดังไกลจนถึงหูแม่ทัพผู้ที่คัดเลือกเขาสองคนให้มาเป็นองครักษ์
แม่ทัพสั่งให้ลูกทาสที่ได้รับบาดเจ็บที่ข้อเท้าจากการที่พวกเขาวิ่งหนีตาย ให้ไปพักรักษาตัวที่โรงหมอชื่อดังของเมืองหลวง และส่วนลูกชายตระกูลโจที่ได้รับบาดเจ็บที่ข้อมือข้างขวาเล็กน้อยก็ให้กลับไปพักผ่อนที่บ้านและรับการรักษาจากหมอในตระกูล แม้ว่าบุตรของตระกูลโจอยากได้รับการรักษาจากบุตรีสาวของสกุลจองที่เป็นเพื่อนสนิทของตนก็ตาม แต่พวกเขาก็ต้องทำตามคำสั่งท่านแม่ทัพ
ครั้งนั้น หมออาวุโสได้ถูกเรียกตัวเข้าวังอย่างกะทันหัน ฉะนั้นหน้าที่ดูแลคนของท่านแม่ทัพก็คงจะเป็นคนอื่นไปไม่ได้เสียจาก...บุตรสาวทั้งสองคนของหมออาวุโส และก็ด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตนของลูกทาส ความรู้จักที่ต่ำที่สูง เพราะแม้จะเป็นถึงบุตรีของหมอตระกูลขุนนาง คนอย่างเขาที่ก็ไม่คู่ควรได้รับการรักษาอย่างดี
บุตรีหมอหญิงของตระกูลจอง ครั้งนั้นรู้สึกขบขันกับการใช้คำพูดจากของทหารหนุ่มองครักษ์ที่พยายามตั้งใจปฏิเสธเสียงแข็ง เพียงเพราะเนื้อตัวอันสกปรกและตระกูลชั้นต่ำ
รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของบุตรีหญิงตระกูลจอง บัดนี้..ได้ถูกเคาะที่ประตูหัวใจลูกทาสฮงไปเสียแล้ว...
และรอยยิ้มของทาสฮงหนุ่มผู้นี้ก็เช่นกัน...นางก็ไม่เคยได้เห็น รอยยิ้มอันแสนบริสุทธิ์ไร้มลทิล ไร้การหยิบฉวยโอกาศที่จะตีสนิทกับหล่อนแม้แต่น้อยก็หาได้มีไม่
ว่าแต่ว่า..ความสวยหมดจดของหญิงสาวตระกูลหมอจอง ที่สุดแสนช่างไร้ความปราณีแก่เขาเสียจริง ๆ
กองถ่ายซีรีย์ที่แสนจะวุ่นวายและคึกคัก บริเวณประตูพระราชวังเก่าแบบดั่งเดิมที่มีรถขนของในกองถ่ายและรถของเหล่านักแสดงหลักและรอง และบรรยากาศในกองถ่ายซีรี่ย์แบบโบราณ เหล่านักแสดงที่บ้างก็ใส่ชุดนางสนม และบ้างก็ใส่ชุดขุนนาง ทุก ๆ คนล้วนแล้วแต่ทำงานแข่งกับเวลาและอากาศที่เริ่มจะอึมครึ่มแล้ว
ผู้กำกับที่กำลังพูดคุยกับนักแสดงคนหนึ่ง และในขณะเดียวกันชเวมินแจกำลังรีบปรี่เข้ามาคอยสบทบและพัคจินอูที่คอยถือบทเล่มหนา ๆ คอยเดินตามผู้กำกับแสดงสีหน้าที่เคร่งครึมทุกครั้งที่มองไปที่เธอ และเธอที่ได้แต่ก้มหน้าก้มตาพยักหน้ารับ
ชเวมินแจดูสีหน้าเคร่งเครียดไม่น้อยไปกว่าพวกเขาทั้งสองคนสักเท่าไหร่ แต่ทว่าพอเริ่มถ่ายซีนบริเวณริมสระน้ำ ใต้ต้นซากุระสีขาวอมชมพูสะพรั่งทุกๆ อย่างก็ราบรื่น ในขณะที่พัคจินอูก็กลับไปนั่งทำงานจดจ่ออยู่หน้าคอมพ์พิวเตอร์โน๊คบุ๊คของตัวเองที่เต้นท์ข้างๆ
ฉากที่ว่า..คือ พระราชา กับ ราชองครักษ์กำลังพูดคุยถึงนางในคนหนึ่งด้วยสีหน้าท่าทางที่เป็นกังวล ในขณะที่พระราชาแสดงความกังวล แต่ว่าราชองครักษ์คู่ใจกลับกังวลและทุกข์ยิ่งกว่าแต่ก็ไม่อาจที่จะขัดคำสั่งของพระราชาได้ และเวลานั้น...ดอกซากุบระก็เริ่มขยับเพราะแรงลมที่ผัดผ่านและยังจะเริ่มโหมพัดแรง
เสียงของผู้กำกับสั่งคัดแทบจะทันทีที่อากาศและบรรยากาศไม่เอื้ออำนวย และผู้ดูแลของเชวมินแจที่กำลังรีบร้อนพยายามวิ่งเข้าไปหาและกระซิบด้วยท่าทางที่ตกใจและก็กังวล
"จินอู !! " และรีบปรี่เข้าไปหาพัคจินอูที่อยู่ในเต้นท์ที่พักของนักแสดงทันที
" จินอู !! " เขาพยายามเรียกหาเธอสองสามครั้งอย่างรีบร้อน
" ฉันต้องรีบไปที่โรงพยาบาล เดี๋ยวนี้! "
" ท่านประธาน ! "
" เกิดอุบัติเหตุ !! " เขาที่รีบบอกกับเธอด้วยน้ำเสียงเป็นกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ
" ค่ะ " เธอพยักหน้า
" พี่รีบไปเถอะค่ะ "
" ฉันจะอยู่จัดการที่นี้ให้เอง " เธอรับปากชเวมินแจไม่ต้องห่วงเรื่องงานที่นี้ เพราเธอจะดูและให้เต็มที่เหมือนทุกครั้ง
" ฝากด้วย " เขาขอบคุณเธอและรีบเดินกลับไปที่รถ ซึ่งตอนนี้คนที่บริษัทต้นสังกัดคนติดตามกำลังขับรถมาจอดรอเขาอยู่ใกล้ๆ
เธอรีบเดินตามไปส่งพวกเขาที่รถตู้คันใหม่สีดำ และมิหนำซ้ำเธอยังมองดูรถเคลื่อนไปจนลับสายตา
ว่าแต่ว่าในขณะที่ทุกคนกำลังจดจ่ออยู่กำลังฉากต่างๆ ในพระราชวังตั้งแต่สายๆ จรดเย็น จนกระทั้งทั้งสายฝนเริ่มตั้งเค้าจนต้องหยุดการถ่ายทำกะทันหัน
ผู้กำกับที่เดินเข้าไปพูดคุยกับพัคจินอูและบอกให้เธอกลับรถของทีมได้ถ้าเธอต้องการ แต่เธอกลับปฏิเสธ
และเธอก็ขอบคุณในความมีน้ำใจต่อเธอของผู้กำกับ แต่เธออยากจะไปดูสถานที่ถ่ายฉากสำคัญก่อนที่จะกลับ เพราะฉะนั้นพวกเขาและทีมงานก็เลยต่างพากันตามใจ แต่ว่าพวกเขาก็ยังจะอุตส่าห์เป็นห่วงเพราะดูท่าทางฟ้าฝนจะไม่เป็นใจสักเท่าไหร่
เธอตอบรับในความเป็นห่วงของผู้กำกับและทีมงาน และสัญญากับพวกเขาว่าจะรีบกลับเมื่อเสร็จธุระแล้ว
พัคจินอูสะพายกระเป๋าสีดำสนิทและกำลังเดินเลียบกำแพงดินเดินไปเรื่อยๆ และต้นกิงโกะสีเหลืองสะพรั่งเลียบไปตามถนน เธอหยุดเดินและหันไปมองรูปปั้นสามมิติรูปคนข้างถนนและยิ้มให้กับพวกมันและเดินจากไป เธอเดินเลียบกำแพงและถนนโค้งๆ และยังมีใบของต้นกิงโกะกระจัดกระจายเป็นพรมปูพื้นไม่มีที่สิ้นสุด และเธอก็คอยเดินห่างไกลผู้คนที่สัญจรบริเวณนั้นและห่างออกไปเรื่อยๆ และจนในที่สุดเธอก็หยุด
พัคจินอูหันมองไปทางซ้ายและขวาเพื่อมองหาจุดสมดุลของต้นกิงโกะต้นเล็กๆ สองต้นข้างทาง บริเวณเกือบๆ สุดกำแพงดินโบราณ
ใจหนึ่ง...เธอก็อยากจะให้มันผลิดอกผลิใบให้เร็วกว่านี้ขึ้นอีกหน่อย อยากให้มันผลัดใบเร็วขึ้นกว่าเดิมสักสองสัปดาห์
แต่ทว่าอีกใจหนึ่ง....ก็อยากจะกลับไปใช้โรงถ่ายและเซ็ตฉากขอต้นกิงโกะให้ใบสวยๆ ของพวกมันร่วงหล่นพื้นจนเกือบ...หมด
ผู้หลักผู้ใหญ่ของตระกูลคิมพอรู้ว่า ลูกทาสได้รับการช่วยเหลือจากท่านแม่ทัพก็ต่างพากันตื่นกลัว และบุตรชายของตระกูลที่กลัวความผิดจึงยอมรับผิดแต่โดยดีต่อท่านแม่ทัพ แม้จะเป็นเพียงฉากหน้าเรียกน้ำตาเพื่อให้หลุดพ้นจากการรับโทษก็เพียงเท่านั้น แต่ทว่าท่านแม่ทัพกลับไม่เชื่อใจและได้สั่งให้บุตรชายตระกูลคิมไปเป็นทหารอยู่ชายแดน
บิดาของบุตรชายที่ถูกสั่งให้ลงโทษไปเป็นทหารที่ชายแดนเกรี้ยวกราดต่อหน้าพระราชาวัยชรา และเอาแต่โทษความไม่เอาไหนของแม่ทัพใหญ่ และองค์ชายรัชทายาทวัยกระเตาะ จนกระทั่งท่านแม่ทัพยอมเพราะพระราชาที่อันเป็นที่รักของปวงประชา
แต่ถึงกระนั่นอิทธิพลของตระกูลคิมก็ทำให้พระราชาอดเสียไม่ได้ที่จะยอมทำตามข้อเสนอ เพราะถ้าหากพระราชาบ่ายเบี่ยง อัครเสนาบดีคิมผู้มีกำลังมากก็คงหวังดีไม่ได้ต่อองค์ชายรัชทายาทผู้ยังด้อยประสบการณ์
พระราชาที่ทรงเห็นความปลอดภัยขององค์รัชทายาทก่อนขึ้นครองราชย์ เพราะฉะนั้นจึงต้องทรงส่งบุตรของตนให้ไปอยู่ในความดูแลของท่านแม่ทัพ และให้ใช้ชีวิตเยี่ยงสามัญชนสักเพียง 1 ปี ก่อนจะขึ้นครองราชย์สืบต่อ และทรงกำชับต่อบุตรชายรัชทายาทไว้ว่า ต้องเป็นทหารที่เก่งและแกร่งกว่าบิดา และต้องปกป้องบัลลังก์และบ้านเมืองด้วยพละกำลังของตนเท่านั้น
ท่านแม่ทัพได้นำองค์ชายรัชทายาทเดินทางสู่ฐานฝึกลับๆ บนเขา และแนะนำพระองค์ว่า เป็นบุตรของเพื่อนสนิทในตระกูลอี
บุตรชายตระกูลอีบุรุษหนุ่มรูปงาม และทาสฮงผู้ซื่อสัตย์ พวกเขาได้ถูกท่านแม่ทัพแนะนำให้รู้จักกัน บุตรชายตระกูลอีที่ดูจากลักษณะภายนอกช่างดูเป็นผู้ลาภมากดีกว่าใครทั้งหมดในกลุ่มทหารร่วมร้อย
แต่หนแรก บุตรชายตระกูลโจกลับรู้สึกไม่ถูกใจบุตรของตระกูลอีสักเท่าไหร่ ด้วยเหตุที่นิ่งเงียบจนเกินไปและเอาแต่เก็บตัว ไม่ยอมพูดคุยกับทหารร่วมฝึกคนอื่นๆ
แต่สำหรับทาสฮง ไม่ว่าจะบุตรชายตระกูลโจหรือบุตรชายของตระกูลอี พวกเขาต่างก็เหมือนกัน เพราะฉะนั้นเส้นทางเดียวที่จะทำให้ตนได้มียศฐาบันดาศักดิ์ ตน..! คงหวังเพียงฝึกให้หนักและเป็นหัวหน้าราชองค์รักษ์ของกษัตริย์คนต่อไปเท่านั้น
และด้วยการฝึกฝนดาบ หอก ขี่ม้า ยิงธนู และการต่อสู้ด้วยมือเปล่าของเหล่าทหารก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดอุบัติเหตุทำให้ได้รับบาดเจ็บ
ท่านแม่ทัพจึงได้ขอความช่วยเหลือจากท่านหมออาวุโสจองให้พาลูกศิษย์ของเขามาดูแลเรื่องอาการบาดเจ็บของเหล่าทหารเหล่านี้
และหลายครั้งบุตรสาวของหมอจองที่เป็นเพื่อนของบุตรชายของตระกูลโจสมัยตั้งแต่ยังเป็นเด็ก พวกเขาต่างก็แวะมาหาเป็นเพื่อนเล่นกันบ้างบางคราว และยังถือว่าเป็นโอกาศดีที่ทาสฮงผู้แสนต่ำต้อยได้กลายเป็นเพื่อนของพวกเขาสองคนไปโดยปริยาย
และหลายครั้งที่บุตรสาวคนโตของท่านหมออาวุโสจองถูกท่านแม่ทัพเรียกให้ไปดูอาการบาดเจ็บของบุตรชายตระกูลอีอย่างลับๆ ด้วยเช่นกัน
แต่ทว่าความเอ็นดูของท่านแม่ทัพที่มีต่อบุตรคนรองของท่านหมออาวุโสจองนั้น ท่านแม่ทัพจึงลองเอ่ยปากให้เด็กหญิงฝึกวิชาศิลปะป้องกันตัวเล็กๆ น้อย ๆ ด้วยเหตุผลว่า สักวัน...จะได้มีวิชาเพื่อเอาไว้ปกป้องพี่สาวของตนยามต้องเข้าวังหลวงก็ได้
เด็กหญิงแสดงความดีอกดีใจต่อหน้าท่านแม่ทัพ เพราะความใฝ่ฝันของเด็กหญิงวัยเพียง 11 ขวบ ก็หวังอยากจะเป็นทหารขั้นเล็กๆ ก็เพื่อเอาชนะใจใครบางคนได้ก็พอ
ตึกรูปทรงครึ่งวงกลม และป้ายชื่อของตึกโรงพยาบาลที่ทันสมัยของนาดใหญ่ และป้ายชื่อเป็นภาษาอังกฤษ " Middle Hospital "
ชเวมินแจที่กำลังเดินพรวดพราดและไปเปิดประตูห้องลูกค้าวีไอพี
" ท่านประธาน !! "
ชเวมินแจกวาดสายตาไปที่เตียงผู้ป่วยในห้องพักขนาดใหญ่ จนทำให้บรรดาหมอและพยายามต้องถอยและรีบชวนกันกลับออกไป
" ท่านประธานเป็นยังไงบ้าง บาดเจ็บตรงไหนบ้างครับ " เขาพรวดพราดเข้าไปจับมือผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่และที่กำลังเอนหลังอยู่บนเตียง
แต่ดูเหมือนว่า ท่านประธานกลับยิ้มและจู่ๆ ก็ดันหัวเราะขึ้นมา
" ฮ่าๆๆ "
ท่านประธานที่ก็เลยหันไปยิ้ม
" แกรีบมาก็ดีแล้ว " และท่านประธานที่ก็เลยกวาดสายตาไปทางซ้าย
" ในที่สุด ก็ได้อยู่กันพร้อมหน้าสักที สินะ" ท่านประธานยิ้มต่อ
และชเวมินแจที่อดไม่ได้และหันตาม
" นี่นาย !!!! "
" กลับ !! มาตั้งนานแล้ว ทำไมเพิ่งจะโผล่หัวมา !! " ชเวมินแจพยายามที่จะตวาดใส่เขา ! ผู้ชายใส่สูทสีกรมท่าเข้มๆ ที่ทางซ้ายมือของท่านประธาน !!!
ชเวกียุลที่หันมาโน้มหัวลงเล็กน้อยให้กับพวกเขาอีกที
" ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ "
" พี่ !! " และพยักหน้ายอมรับผิด
" ขอโทษด้วยจริงๆ ที่ทำให้ทุกคนต้องเป็นห่วง "
ชเวกียุลที่พยายามก้มหน้ารับผิด แต่ยังไม่ทันขาดทำ ชเวมินแจก็กลับรีบเดินปรี่เข้าไปหาและดึงเขาเข้าไปสวมกอด
" เด็กโง่ !! " มินแจสวมกอดมินแจเอาไว้แน่น
แต่ท่านประธานกลับถอนหายใจ
" ที่...น้องของแก ! "
" กลับมาเกาหลีเงียบ ๆ กวียุลเอง ! ก็คงไม่อยากให้กระทบเรื่องงานของพี่ชายเค้านั่นแหละ " ท่านประธานสีหน้าเปื้อนรอยยิ้ม
" นายนี่มัน !!! " มินแจที่พยายามทำหน้าไม่เห็นด้วยใส่น้องชายตัวเอง
" ดื้อด้านชะมัด !! " พี่ชายต่อว่าน้องตัวเอง
เพราะฉะนั้น กียุลที่ก็เลยอดที่จะปฏิเสธพวกเขาสองคนไม่ได้
" ขอโทษครับ ท่านประธาน !! "
" ขอโทษที่ทำให้ทุกกคนต้องเป็นห่วง " กียุลซาบซึ้งใจที่ทั้งพี่ชายและพ่อๆ ของพวกเขายังคงเป็นห่วงตัวเขาเองอยู่ตลอด
" ยินดีต้อนรับกลับบ้านครับ ท่านรองประธานชเวกียุล " ผู้ชายรูปร่างผอมใส่แว่นและทำทรงผมทันสมัยที่กำลังเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าพวกเขา
แต่ว่าเขากลับปฏิเสธ
" อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องนั้นเลยครับ เลขาโดฮยอน " กียุลที่หันมาปฏิเสธอีกครั้ง
" ที่ผมกลับมาที่นี้ "
" ผมก็แค่จะมาทำงานให้กับบริษัทของผม ..ก็เท่านั้น " และพยายามที่จะอธิบายให้ทุกคนเข้าใจ แต่ถึงยังไงๆ ทั้งพี่ชายและเลขาโดฮยอนก็กลับไม่ยอมฟัง
ชเวมินแจหันมาโอบไหล่และพาเขาเดินเข้าไปใกล้ๆ ที่ข้างเตียง
" ไม่ได้เด็ดขาด " และแย้ง
" ท่านประธานชเว " และเขาที่หันมาขอร้องและแกมบังคับ
" ถ้าท่านประธาน ! เรียกตัวกียุลของเรากลับมาทำงานให้พวกเราไม่ได้ละก็ "
" ผม ! ก็จะไม่ยอมรับตำแหน่งอะไรทั้งนั้น "
" หรือนายจะยอม "
มินแจพูดจาจริงจังใส่และยังหัวเราะหน้าระรื่น และท่านประธานชเวที่เฝ้ามองไปที่ลูกๆ และเลขาคนสนิทอย่างไว้วางใจ