บทที่ 7 - ศัตรูของโลกใบนี้
.
.
เสียงที่ดังก้องอยู่ในศีรษะโดยตรงเงียบไปครู่หนึ่ง ราวกับไม่เคยพบสถานการณ์ที่คนได้รับมอบหมายภารกิจตั้งคำถามกลับมาก่อน
"...เพราะ 'ตัวอ่อน' มีความเสี่ยงที่จะเติบโตไปเป็น 'สัตว์อสูรดุร้าย' ดังนั้น…"
"นั่นล่ะ!"
วาลเรียสอุทานออกมาคำหนึ่ง ก่อนจะพูดแทรกต่อไปอย่างไม่กลัวตาย
"เป็นแค่ 'ความเสี่ยง' ใช่ไหมครั้บ? แปลว่าเจ้าหนูนี่อาจจะโตไปเป็น…หรือไม่เป็นสัตว์อสูรดุร้ายก็ได้! ถ้าอย่างนั้น…"
เสียงแจ้งเตือนเบาๆ เมื่อรายการรางวัลที่เพิ่มขึ้นจนแทบยาวเป็นหางว่าวพุ่งขึ้นบนหน้าต่างภารกิจของเขาอีกครั้ง พร้อมกับเสียงของระบบซึ่งกล่าวประโยคเดิมซ้ำๆ ราวกับไม่เก็บคำพูดของอีกฝ่ายมาใส่ใจ
"ปรับเพิ่มรางวัลครั้งที่สิบสาม สำหรับภารกิจ : กำจัด 'ตัวอ่อนของสัตว์อสูรที่บาดเจ็บ' ในเขตหมู่บ้าน ก่อนที่มันจะเติบโตไปเป็น 'สัตว์อสูรดุร้าย' …กดยืนยันเพื่อรับภารกิจ"
นิ้วมือถูกกำรวบเข้าหากันจนรู้สึกเจ็บ ขณะที่วาลเรียสเงยหน้าขึ้นเอ่ยกับความว่างเปล่าเบื้องหน้า
"...ไม่ครับ"
ต่อหน้าผู้ที่ขัดคำสั่งของตนครั้งแล้วครั้งเล่า ในที่สุดระบบก็ยอมเอ่ยคำ
"ทำไม?"
เด็กหนุ่มซึ่งมีข้อสงสัยอัดแน่นเต็มหัว พยายามคัดเอาคำถามที่ดูเข้าท่าที่สุดออกมาอย่างรวดเร็ว
"เจ้าหนูนี่จะอันตรายได้แค่ไหนเชียวครับ? ถึงจะเป็นสัตว์อสูร แต่ตอนนี้มันก็ยังเป็นแค่เด็ก จะให้กำจัดมันด้วยเหตุผลแค่นั้น…"
หลังร่ายคำพูดไปชุดใหญ่ วาลเรียสเพิ่งพบว่าระบบเงียบหายไปอีกครั้ง
"ไปแล้วเหรอ…"
คนที่เพิ่งจะผ่อนคลายลงสะดุ้งน้อยๆ ยามเสียงหนึ่งดังขึ้นในหัวของตนเอง
"ศัตรูของโลกใบนี้"
"...ฮะ?"
วาลเรียสไม่แน่ใจว่าตนเองทำสีหน้าแบบไหนออกไป แต่ระบบกลับไม่ปล่อยให้เขางุนงงอยู่นาน
"...ไม่เชื่อหรือ? ถ้าอย่างนั้น…"
เสียงที่ให้ความรู้สึกแข็งกระด้างแทรกแทงเข้ามาในหัว
ร่างเพรียวเอียงวูบเมื่อทรงตัวเอาไว้ไม่อยู่ เด็กหนุ่มใจหายวาบเมื่อเห็นพื้นห้องที่ใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็วยามเสียหลักล้มลง
เมื่อกะพริบตาเพียงครั้ง เขากลับไม่ได้อยู่ในบ้านของตนเองอีกแล้ว
เสียงเอะอะระเบิดขึ้นข้างหูจนวาลเรียสซวดเซไปสองก้าว พื้นดินแห้งใต้เท้าและอากาศที่กรุ่นร้อนไปด้วยกลิ่นอายของการต่อสู้ล้วนชวนให้ตื่นตระหนก
เด็กหนุ่มเผลออ้าปากค้าง ท่ามกลางอาคารหักพังราวกับอยู่ในสงครามกลางเมือง ดวงตาสีเขียวสะท้อนภาพของท้องฟ้าที่กำลังถูกปกคลุมด้วยเงาดำอย่างรวดเร็ว
กลุ่มเงานั้นดำเข้มขุ่นข้น ราวกับกลั่นขึ้นจากแก่นอันบริสุทธิ์ของความมืดมิดในยามราตรี แต่ขอบข่ายที่ควบรวมกันเป็นร่างเงาของสัตว์ร้ายขนาดใหญ่ซึ่งกำลังอ้าปากกลืนกินผืนฟ้านั้น กลับสะท้อนภาพของความเถื่อนร้ายและแค้นคลั่งออกมามากกว่าสิ่งไหน
ยามแนวเขี้ยวแหลมคมกวาดงับแนวทัพของฝ่ายมนุษย์ที่กำลังรุกไล่ สถานการณ์ก็แทบจะเปลี่ยนไปเป็นการฆ่าฟันอยู่ฝ่ายเดียว
เสียงขู่คำรามของสัตว์ร้ายที่ซุ่มซ่อนอยู่ในเงามืดดังก้อง แต่ยังไม่สามารถกลบเสียงกรีดร้องของเหยื่อที่ตกอยู่ใต้กรงเล็บของผู้ล่าได้
ภายใต้เงามืดซึ่งดูราวกับฝันร้ายที่แยกเขี้ยวคำรามในยามเที่ยงวัน ผืนดินแตกระแหงกลับชุ่มฉ่ำด้วยฝนโลหิต ท่ามกลางเหล่าผู้้เคราะห์ร้ายที่ทอดร่างไร้ชีวิตเกลื่อนพื้น
ภาพตรงหน้าทำให้เด็กหนุ่มก้าวถอยหลังด้วยสีหน้าซีดเผือด ผิดกับคนอีกผู้หนึ่งซึ่งเดินไปด้านหน้า สวนกับเขาเพียงปลายเส้นผม
แผ่นหลังซึ่งถูกสวมทับด้วยเกราะวาววับ ไปจนถึงผ้าคลุมยาวที่ปลิวไสว ดูเจิดจ้าอย่างยิ่งในสมรภูมิซึ่งเต็มไปด้วยภาพอันน่าสลดหดหู่
ร่างของคนผู้นั้นหยัดยืนอย่างมั่นคง มือหนึ่งชักเอาดาบยาวคมปลาบออกมาไว้ข้างกาย ใบดาบเหยียดตรงเปล่งประกาย เช่นเดียวกับผู้เป็นนายซึ่งไม่เคยก้มหัวให้แก่ความอยุติธรรม
ชายหนุ่มเผชิญหน้ากับสัตว์ร้ายซึ่งกำลังกลืนกินผู้คนอย่างไม่หวั่นเกรง
แม้ลำแสงเจิดจ้าที่ส่องมาจะทำให้วาลเรียสเห็นรูปลักษณ์ของคนตรงหน้าได้ไม่ชัดเจนนัก แต่เสียงพึมพำยามคนผู้นั้นขยับปากเบาๆ คล้ายกับจะกล่าวคำกับตนเองนั้น กลับชัดเจนราวกับดังขึ้นที่ข้างหูของเด็กหนุ่ม
"สมแล้วที่เป็น 'ลาสต์บอส' …ศัตรูตัวสุดท้ายของโลกใบนี้…"
.
วาลเรียสสะดุ้งเฮือก
เด็กหนุ่มรู้สึกตัวอีกทีในท่านอนตะแคง ไหล่ข้างหนึ่งกดอยู่บนพื้นแข็งจนชาหนึบ
แต่อย่างน้อย เขาก็กลับมาอยู่ในบ้านของตนเองแล้ว
ดวงหน้าอ่อนเยาว์ซีดเผือดยามยกมือขึ้นกดข้างขมับ ภาพการต่อสู้อันน่าสลดหดหู่ก่อนหน้ายังคงติดอยู่หลังเปลือกตา เช่นเดียวกับกลิ่นคาวเลือดและควันไฟซึ่งคล้ายจะยังวนเวียนอยู่แถวปลายจมูก
"เห็น 'ภาพ' เหล่านั้นแล้ว…เริ่มเข้าใจขึ้นมาบ้างหรือยัง?"
เสียงเนิบช้าแข็งกระด้างดังขึ้นในหัวอีกครั้ง หน้าต่างกึ่งโปร่งใสกางแผ่ออกด้านหน้า เผยให้เห็นแถบแจ้งเตือนสีแดงสดที่กะพริบไหวเป็นจังหวะ
ดวงตาสีเขียวสะท้อนภาพหน้าต่างสถานะซึ่งไม่ควรปรากฏออกมาหากเจ้าของไม่ได้เรียกใช้ แม้จะรับรู้ถึงตัวตนของอีกฝ่ายซึ่งเรียกได้ว่ายืนอยู่เหนือกฏเกณฑ์ของโลกใบนี้แล้ว แต่ใจก็ยังคงสั่นไหวอย่างไม่อาจควบคุม
ตัวอักษรบนหน้าต่างภารกิจปลิวหายไปราวกับเปลวเทียนยามต้องลม ก่อนที่คำสั่งในเควสล่าสุดจะจัดเรียงตัวเองขึ้นมาใหม่ช้าๆ
"ภารกิจ : กำจัด 'ลาสต์บอส' ก่อนที่มันจะเติบโต จนกลายเป็นตัวตนที่อันตรายต่อโลกใบนี้"
เสียงที่ไม่อาจระบุเพศหรืออายุของผู้กล่าวออกดังขึ้นในหัวอีกครั้ง เด็กหนุ่มฝืนศีรษะที่ให้ความรู้สึกวิงเวียนอย่างยิ่งเอาไว้ ขณะเหลือบมองกองผ้าขยุกขยุยตรงมุมห้อง
ก้อนขนสีเทากระดำกระด่างขดตัวเป็นทรงกลมอยู่กลางผืนผ้ายุ่งเหยิง ปลายหูทรงสามเหลี่ยมกระดิกเบาๆ เช่นเดียวกับพวงหางเล็กที่ปัดไปมาน้อยๆ ราวกับกำลังตกอยู่ในความฝัน
แม้จะดูผอมแห้งไปบ้าง แต่ในสายตาเจ้าของแล้ว สีหน้าท่าทางของเจ้าตัวเล็กในยามนอนหลับ ก็ล้วนดูน่ารักน่าชังจนถึงขีดสุด
วาลเรียสก้มมองลูกสุนัขที่เก็บมาจากข้างทางด้วยสายตาว่างเปล่า
ลูกหมาตัวนี้เนี่ยนะ…ลาสต์บอส?
ระบบกำลังจะถอนตัวกลับไป ในจังหวะเดียวกับคนที่นั่งอยู่บนพื้นเอ่ยขึ้นเบาๆ
"...เพราะเจ้าหนูนี่…เกลียดมนุษย์ ใช่ไหมครับ"
ระบบตรวจสอบค่าความเกลียดชังของว่าที่ลาสต์บอสในอนาคตก่อนจะตอบ
"ใช่"
เด็กหนุ่มเงียบไปนาน
นานจนระบบคิดว่าอีกฝ่ายจะไม่พูดอะไรอีกแล้ว ก่อนที่ดวงตาสีเขียวซึ่งแฝงไว้ด้วยความดื้อรั้นบางประการจะตวัดมองขึ้นมาเบื้องบน
"เพราะมันถูกมนุษย์ทำร้ายมามากเกินไป…ใช่ไหมครับ?"
คราวนี้ระบบเป็นฝ่ายเงียบไปบ้าง
เด็กหนุ่มนึกถึงร่องรอยฉีกขาดที่ปรากฎบนเนื้อหนังของอีกฝ่าย แม้ว่าบางส่วนจะเป็นบาดแผลที่เกิดจากคมเขี้ยวของสัตว์ป่าด้วยกัน แต่ที่มีจำนวนมากและสาหัสกว่านั้นกลับเกิดขึ้นจากคมอาวุธ
ในตอนแรกวาลเรียสยังไม่แน่ใจนัก แต่เมื่อค้นหาข้อมูลและสังเกตดูใกล้ๆ เขาถึงกับพบรอยของห่วงล่ามสัตว์และขอเกี่ยวบนตัวอีกฝ่าย ฝังลึกราวกับจะกดลงไปถึงกระดูก
บาดแผลเหล่านั้นสาหัสจนแทบจะเอาชีวิตลูกสัตว์ตัวเล็กๆ ไปได้อย่างไม่ยากเย็น ซ้ำยังมีทั้งรอยเก่าใหม่ทาบซ้อนกันไปมาจนชวนให้ผู้พบเห็นรู้สึกเจ็บปวดแทน
เขาสลัดภาพน่ากลัวที่ระบบแสดงให้เห็นก่อนหน้าออกไป ในใจมีเพียงความไม่พอใจซึ่งทะลักล้น ราวกับจะทดแทนในส่วนของเจ้าลูกหมาที่ไม่สามารถเอ่ยปากเรียกร้องความเป็นธรรมให้ตัวเองได้
วาลเรียสหันไปมองเจ้าก้อนขนที่หลับสนิทอยู่ตรงมุมห้อง ก่อนจะเอ่ยกับระบบอย่างไม่ลังเล
"ผมไม่รับภารกิจ แล้วก็จะไม่ปล่อยให้เจ้าตัวเล็กโดนทำร้ายไปมากกว่านี้ด้วย!"
เหงื่อเย็นๆ ผุดขึ้นบนหน้าผาก แต่เด็กหนุ่มไม่กล้ายกมือไปเช็ดออก ทั้งร่างเครียดเกร็งในขณะที่หัวใจเต้นแรงจนเริ่มรู้สึกเจ็บ
เสียงแจ้งเตือนที่คุ้นเคยดังขึ้นข้างตัว
"ปรับเพิ่มรางวัลครั้งที่หนึ่ง สำหรับภารกิจ : กำจัด 'ลาสต์บอส' ก่อนที่มันจะเติบโต…"
วาลเรียสเผลอกลอกตากลับ ก่อนจะสะดุ้งหน่อยๆ เมื่อรู้ตัวว่าเผลอแสดงท่าทีอย่างไรออกไป
"ผมบอกแล้วไงว่าไม่สนใจ เจ้าตัวเล็กน่ารักขนาดนี้ใครจะกล้าทำมันเจ็บ!"
เด็กหนุ่มตะโกนเถียง เปิดโหมดปกป้องสัตว์ขนฟูสู้สุดใจ
"ปรับเพิ่มรางวัลครั้งที่สอง สำหรับภารกิจ : กำจัด 'ลาสต์บอส' ก่อนที่มันจะเติบโต…"
"ไม่เอา!"
"ปรับเพิ่มรางวัลครั้งที่สาม สำหรับภารกิจ : กำจัด 'ลาสต์บอส' ก่อนที่มันจะเติบโต รายการรางวัลเพิ่มเติม…"
"ถึงจะเอารางวัลมาล่อก็ไม่ได้ผลหรอกนะ!"
วาลเรียสหอบหายใจน้อยๆ รู้สึกพ่ายแพ้หน่อยๆ เมื่อพบว่าเสียงของระบบยังคงความเรียบเรื่อยราวกับไม่รู้จักความเหน็ดเหนื่อย
"ปรับเพิ่มรางวัลครั้งที่สี่…"
เด็กหนุ่มหยิบหนังสือที่ไถลหล่นลงบนพื้นมาเรียงกันเป็นตั้งดังเดิม ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟายาวอย่างเหนื่อยใจ
"ยังไงผมก็ไม่เปลี่ยนใจหรอก มันฉลาดแสนรู้ขนาดนี้ ถ้าดูแลเอาใจใส่ดีๆ จะโตไปเป็นสัตว์ร้ายแบบนั้นได้ยังไง? คุณเป็นถึงระบบที่สามารถขับเคลื่อนโลกได้ทั้งใบ แล้วไหงปล่อยให้ลูกหมาตัวนึงถูกรังแกได้ขนาดนี้…"
วาลเรียสซุกหัวลงบนหมอนพลางเอามือปิดหู เมื่อพบว่าเสียงของระบบยังคงดังก้องอยู่ในหัวได้อย่างชัดเจน เขาเลยเปลี่ยนมาบ่นแข่งกับเสียงแจ้งเตือนรับภารกิจที่ดังขึ้นถี่รัวไม่หยุดเสียเลย
เมื่อเจอกับคนที่หลับหูหลับตาเถียงอย่างไม่กลัวตายทั้งที่หน้ายังซุกอยู่กับหมอน ระบบเพิ่มรางวัลภารกิจให้เป็นครั้งที่สิบห้าก่อนจะยอมถอนตัวจากไป
"คิดดูให้ดีๆ …"
ความเงียบสงบที่ไม่ได้สัมผัสมาครู่ใหญ่ทำให้สองหูลั่นวิ้ง วาลเรียสพลิกตัวกลับมานอนหงายพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่
เด็กหนุ่มหลับตาลงพักผ่อนพร้อมกับหัวที่ปวดระบม ไม่ทันสังเกตถึงการเคลื่อนไหวของเจ้าก้อนขนที่เข้าใจว่ากำลังหลับสนิทอยู่ตรงมุมห้อง
ดวงตาสีเหลืองอ่อนสะท้อนแสงสลัวจนดูวาววับในยามราตรี เจ้าลูกหมาที่แสร้งทำเป็นหลับบัดนี้ลืมตากว้าง จับจ้องไปยังคนที่เอนหลังอยู่บนโซฟาไม่วางตา
มันไม่ได้ถูกช่วยเหลือเป็นครั้งแรก
ด้วยรูปลักษณ์ที่ชวนให้ผู้คนเอ็นดู เจ้าลูกหมาเคยถูกคนท่าทางใจดีช่วยเอาไว้หลายครั้ง ก่อนที่ความปรารถนาดีเหล่านั้นจะแปรเปลี่ยนไปในพริบตา หลังจากได้รับการติดต่อจาก 'สิ่งที่มองไม่เห็น'
มันเรียนรู้ที่จะหลบหลีกมือที่ยื่นมาด้วยเจตนาที่แตกต่างไปจากเดิม การช่วยเหลือและถูกทำร้ายวนเวียนไปมาซ้ำๆ จนมันแทบจะจำจำนวนครั้งไม่ได้
นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนยืนหยัดเพื่อมัน
เพื่อปกป้องมัน
ดวงตาสีเหลืองอ่อนสะท้อนเงาของเด็กหนุ่มที่ผล็อยหลับไปบนเก้าอี้ยาว
แม้จะยังไม่แน่ใจว่าความมุ่งมั่นดังกล่าวจะสั่นคลอนลงเมื่อใด แต่ความรู้สึกที่ยากจะลืมเลือนก็ประทับลงในใจของลูกสุนัขตัวนี้ไปเรียบร้อยแล้ว