Chapter 2 - บทที่ 1.1

"หนังโคตรสนุกเลยอะมึง"

ผมพยักหน้าหงึกๆ

"มึงเห็นตอนพระเอกถอดเสื้อเปล่า น้ำลายสอมาก"

ชาเขียวในปากแทบพุ่งเมื่อได้ฟังความคิดตรงไปตรงมาของนับสอง ผมกระแอมไอเบาๆ หยิบทิชชูมาเช็ดปากเงียบๆ แล้วเงยหน้ามองคนที่นั่งอยู่ตรงข้าม

"แต่มากกว่าพระเอกคือตัวร้าย ซิกซ์แพ็กเน้นๆ" นับสองเอ่ยพูดเต็มปากเต็มคำด้วยสีหน้ารื่นเริงบันเทิงใจด้วยใบหน้าหล่อลากระดับดีกรีเดือนคณะวิศวะที่มันควรจะคูลๆ แต่ความจริงมันกลับ...เฮ้อ

จะว่าไปตอนผมรู้จักนับสองแรกๆ ผมคิดว่าเขาน่ากลัวเพราะดูเขาเจาะหูเยอะซึ่งมันเถื่อนมากเลยแถมยังมีรอยสักอีก ทำเอาผมกลัวเหมือนกันที่จะทำความรู้จัก...แต่พอได้มารู้จักจริงๆ เหรอ

นับสองปัญญาอ่อนมากเลย

"นี่! ฟังกูปะเนี่ยโลมา!"

สะดุ้งนิดๆ แล้วรีบพยักหน้าให้

ฟังอยู่นะ แค่เผลอคิดอะไรนิดหน่อยเอง

"จิ๊ แอบด่ากูในใจอีกแล้วใช่มั้ย!" คนที่กำลังกินเค้กสตรอว์เบอร์รีถลึงตาใส่ผม

อ้าปากเหวอสิ..อะไรอะ โลมาพูดในใจนะ

"กูรู้ได้ไง? แน่นอนว่านอกจากกูจะหล่อแล้วกูยังฉลาดมากด้วย" เชิดหน้าใส่ผมแล้วหยิบนมชมพูสีหวานมากิน

...เอะอะก็หาทางชมตัวเองได้ตลอดจริงๆ นะ

ผมหัวเราะเบาๆ แล้วยิ้มบาง พยักหน้าให้สามสี่ทีเหมือนสนับสนุนคำพูดของนับสองโดยไม่ได้โต้ตอบอะไร พอนับสองเห็นผมยอมพยักหน้าก็ยิ้มแก้มปริอารมณ์ดี

ตอนนี้พวกเราอยู่ในร้านคาเฟ่น่ารักๆ ในห้างฯ เพราะนับสองอยากกินของหวานเลยลากผมเข้ามาด้วยหลังจากดูหนังเสร็จ เป็นหนังแอ็กชันก็สนุกดีแต่ผมชอบดูแนวแฟนตาซีมากกว่า

พอนั่งเงียบๆ แล้วก็คิดถึงมื้อเย็นวันนี้ ผมกำลังคิดว่าเดี๋ยวก่อนกลับบ้านคงจะต้องแวะซื้อของสดสักหน่อย เหมือนชั้นล่างของห้างฯ นี้จะมีโซนซูเปอร์มาร์เกตอยู่นะ

งื้ออ ผมทำอาหารเป็นนะ

เอ่อ อร่อยด้วย จริงๆ นะ!

"ช่วงนี้งานที่คณะเยอะเหรอ" นับสองวางส้อมเล็กลงเมื่อกินเค้กหมดแล้ว "เห็นชายาบ่นว่าพักนี้ไม่ยอมไปเล่นด้วย"

สีหน้าผมเหยเกนิดๆ เมื่อคิดถึงเพื่อนอีกคนที่มีความพิเศษมากๆ แล้วก็น่ารักมากเช่นกันก็รู้สึกปวดกะโหลกไปซีกหนึ่งเลย ผมหาปากกาและกระดาษที่แทบจะเป็นอวัยวะชิ้นที่สามสิบสามขึ้นมาวางบนโต๊ะแล้วเขียนข้อความให้นับสองอ่าน

ระหว่างรอผมเขียน นับสองก็หันไปสั่งเค้กเพิ่มอีกชิ้น

พอเขาหันกลับมาก็พอดีกับผมที่เขียนเสร็จพอดี มือสวยยื่นมารับไปอ่าน

(ช่วงนี้มีงานหลายชิ้นแล้วก็หัวข้อยากมากด้วย)

"ก็แบบนี้แหละพวกจิตรกรรม" นับสองพยักหน้าเข้าใจแล้วยกมือยีหัวไปมาจนยุ่ง "เดี๋ยวไปคุยกับชายาให้แล้วกัน แต่กูจะคุยยังไงให้รู้เรื่องวะ!"

ปกติ...ผมก็สื่อสารกับชายาไม่ค่อยจะรู้เรื่องเหมือนกัน ฮือ

จริงๆ โลมาพูดรู้เรื่องนะ

แต่ชายาไม่เข้าใจโลมาง่าาา

อ๊ะ ผมลืมบอกไปเลยว่าผมเรียนคณะจิตรกรรมไม่ใช่คณะวิศวะเหมือนนับสอง ส่วนที่มาสนิทกันได้เพราะชายาแนะนำให้รู้จักกับนับสอง...เอ่อ จริงๆ ก็ไม่เรียกว่าแนะนำหรอก

เพราะวันนั้นนับสองมันพุ่งมาหาผมเหมือนจะแดกหัวเพราะคิดว่าผมเป็นคนทำชายาร้องไห้

โลมาเปล่านะ!

ตอนนั้นผมกำลังเดินออกจากมหา'ลัย แล้วเดินผ่านตึกวิศวะก็เจอชายานั่งร้องไห้อยู่คนเดียวหน้าบ่อน้ำข้างตึก มีคนเดินผ่านไปมาเยอะแยะแต่ไม่มีใครสนใจชายาเลยทำให้ผมรู้สึกแย่มาก

ผมเลยเข้าไปดูว่าเขาเป็นอะไรหรือเปล่า แต่ยังไม่ทันได้ถามอะไรก็เห็นพวงกุญแจรูปแมวเหมียวลอยอยู่กลางบ่อ ชายาเห็นผมเข้ามาใกล้ก็คว้าเสื้อผมแล้วเบะปากร้องไห้โฮใส่ทันทีทั้งที่เราไม่รู้จักกัน

'ฮึก คุณแมวเหมียวตายแล้ว'

ฮะ! อะไรนะ

ผมทำหน้าตกใจใส่แล้วมองหาแมว หรือที่ร้องไห้จะเป็นเพราะมีแมวตาย แมวจมน้ำ? ผมเลยเมินไอ้พวงกุญแจแมวน่ารักไปเลยแล้วมองหาสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าแมวแต่ก็ไม่เจอ

'อื้อๆ' ไม่เห็นเจอเลย!

'คุณแมวเหมียวของเรา ฮืออออ' เขย่าแขนผมไม่หยุดแล้วชี้นิ้วไปกลางสระ 'คุณแมวเหมียวจมน้ำนานแล้ว ต้องตายแล้วแน่ๆ เลย ฮือ!'

'…' ผมพูดไม่ออกเมื่อสิ่งที่ชายาชี้นั้นคือไอ้พวงกุญแจแมวสวยๆ ที่ลอยไปลอยมาอยู่กลางสระ

'ปะป๊าเป็นคนซื้อให้เราด้วย แต่เราทำคุณแมวตายแล้ว ฮือ' คนที่มีส่วนสูงพอๆ กับผมเบะปากร้องไห้น้ำตาไหลพราก เสียอกเสียใจอย่างจริงจังไม่ใช่เสแสร้ง

....ทำไมทำตัวแปลกๆ เหมือนเด็กเลย

ตอนนั้นผมถึงได้สังเกตเห็นถึงความแปลกแยกผิดปกติของชายาแต่ไม่รู้ว่ามันแปลกตรงไหน ผมไม่รู้จะปลอบเขายังไงเลยได้แต่ลูบๆ ไหล่แล้วส่งเสียงอื้อๆ เท่านั้น

กำลังคิดอยู่ว่าหาไม้มาเขี่ยเอาพวงกุญแจขึ้นมาดีมั้ย ก็มีเสียงเข้มโหดมากผ่าเข้ามาไม่พอแถมยังมีแรงผลักที่หัวไหล่จนผมเซถอยห่างจากชายาไปหลายก้าว

โอ๊ย โลมาเจ็บ!

ผมมุ่ยหน้าแล้วยกมือขึ้นจับไหล่ตัวเองก่อนจะหันไปมองคนมาใหม่แล้วก็ต้องผงะเมื่อเห็นสีหน้าโกรธเคืองแทบแดกหัว

'มึงทำอะไรเพื่อนกู!!'

เปล่า เปล่า โลมาไม่ได้ทำอะไรนะ

ผมตกใจกลัวกับท่าทางขึงขังของนับสองในตอนนั้นมากจริงๆ ได้แต่ส่ายหัวพรืดเป็นการปฏิเสธ

'มึงทำเพื่อนกูร้องไห้ มึงแกล้งมันใช่มั้ย!'

ไม่ใช่นะ โลมาแค่เดินผ่านมา!

ตะโกนลั่นในใจแต่ปากก็ไม่ได้ขยับ ผมได้แต่ส่งสายตาไปทางชายาที่เอาแต่ร้องไห้ให้ช่วยพูดอะไรสักหน่อย ก็เห็นชายาเอาแต่ขยี้ตาร้องไห้แล้วก็อยากร้องไห้ตาม

ฮือ จะโดนฆ่าแล้ว

วิ่งได้มั้ย?

แต่มองช่วงขาระหว่างผมกับนับสองแล้วก็...อย่าเสียเวลาเลยดีกว่า ผมหนีไม่ทันแน่ๆ

ผมจะหากระดาษกับปากกามาเขียนข้อความแต่จู่ๆ ชายาก็พุ่งไปเขย่านับสอง "ฮึก มีคนนิสัยไม่ดีแกล้งเรา!"

"มึง!" นับสองทำท่าจะกระชากคอเสื้อแต่ผมหลบได้ทัน

ผมไม่ได้ทำๆๆ ผมไม่ใช่คนนิสัยไม่ดีคนนั้น!

ผมลังเลอยู่นานมากแต่เพราะกลัวนับสองเลยตัดสินใจที่จะไม่อธิบายแล้วเผ่นหนีเลยแต่นับสองกลับคว้าคอเสื้อด้านหลังผมไว้ ตอนนั้นเรายื้อยุดกันนานมาก

เขาเอาแต่เค้นคอผมว่าผมเป็นคนแกล้งชายาแล้วจะให้ผมพูดขอโทษให้ได้ จนผมสติแตก...

'ฮือออออ' ผมร้องไห้โฮอย่างสุดจะทน

นับสองปล่อยคอเสื้อผมแทบไม่ทันแล้วก็เลิ่กลั่ก 'มึง มึงจะร้องทำไม!'

ฮึก นับสองแกล้งเรา!

'ฮึก' กลัวอะ น่ากลัว

'เฮ้ย มึง มึงอย่าร้องดิ'

คนที่กำลังโมโหผมอยู่พลิกมาปลอบผมแทนและไม่ใช่แค่ปลอบผมคนเดียวเพราะชายายังโวยวายร้องไห้เรื่องพวงกุญแจอยู่ สรุปนับสองต้องปลอบคนถึงสองคนในสภาพที่จะร้องไห้ไม่ต่างกัน

สุดท้ายก็มีผู้ชายหน้าสวยๆ คนหนึ่งเดินหน้านิ่งมาทางนี้แล้วจัดการตบหัวนับสองอย่างแรง คนคนนี้เข้ามาไกล่เกลี่ยสถานการณ์แล้วถามผมอย่างใจเย็นว่าเกิดอะไรขึ้น ผมสะอื้นเบาๆ แล้วหากระดาษปากกามาเขียนข้อความส่งให้คนมาใหม่ที่ผมมารู้ทีหลังว่าชื่อไวท์

ไวท์หันไปคุยกับชายาเพื่อให้แน่ใจอยู่นานถึงจะรู้เรื่องว่าผมไม่ใช่คนแกล้ง นับสองทำหน้าสำนึกผิดแทบไม่ทันรีบขอโทษผม ไวท์ปรี๊ดแตกแล้วสั่งให้นับสองเดินลุยน้ำลงไปเก็บพวงกุญแจให้ชายา คราวนี้เป็นนับสองที่ปล่อยโฮแทน

หึ! สมน้ำหน้า ไม่ยอมฟังเรา!

และนี่แหละคือเหตุการณ์ที่ทำให้ผมรู้จักกับนับสอง ถึงแรกเจอจะดูไม่สวยงามเท่าไรแต่พอรู้จักกันก็โอเคนะ นับสอง ไวท์ แล้วก็ชายานิสัยดีมากเลย

"นี่ คิดอะไรอยู่ กูเรียกตั้งนานแล้ว!"

ผมสะดุ้งหลุดจากภวังค์ความคิดหันไปมองนับสองที่กำลังเคี้ยวเค้กชิ้นใหม่ตุ้ยๆ อย่างมึนงง กะพริบตาปริบๆ ให้เป็นเชิงถามว่าเรียกทำไม

"กูถามว่าจะกลับยังไง" นับสองพลิกนาฬิกาดูเวลา "หนึ่งรถเมล์ สองแท็กซี่"

ชูสองนิ้วให้เป็นคำตอบ

คอนโดฯ ของผมต้องนั่งแท็กซี่เข้าไปแล้วก็เดี๋ยวผมต้องซื้อของสดกลับไปด้วย เพราะงั้นกลับแท็กซี่น่าจะดีกว่า

"โอเค" พยักหน้าหงึกๆ

ผมชี้นิ้วไปที่ตัวนับสองโดยไม่พูดอะไร

"อ้อ กูเหรอ รอพี่ชายที่นี่แหละ เขานัดไว้จะกินข้าวเย็นที่นี่" นับสองว่าอย่างอารมณ์ดี "กินข้าวด้วยกันมั้ย"

ส่ายหัวปฏิเสธ ไม่อยากเป็นส่วนเกินของการใช้เวลาในครอบครัวของนับสองเพราะงั้นเลยขอแยกตรงนี้เลยแล้วกัน นับสองบอกให้ผมกลับดีๆ ถึงบ้านแล้วให้ไลน์บอก

งื้อออ โลมาบอกแล้วว่านับสองนิสัยดี

ผมทำมือโอเคแล้วลุกขึ้นหยิบกระดาษปากกามาถือเดินออกจากร้าน มุ่งลงไปที่ชั้นหนึ่งที่เป็นซูเปอร์มาร์เกต

เอ๋ คืนนี้ทำอะไรกินดีนะ

สปาเกตตีทะเลดีมั้ย?

หรือสลัดทูน่าดี?

ข้าวดีกว่ามั้ง

เดินใจลอยครุ่นคิดไม่ทันได้มองทางให้ดีทำให้ตรงทางหัวมุมเลี้ยวผมเดินชนคนเข้าเต็มๆ จนปากกาที่กำลังใช้จดสิ่งของที่จะซื้อร่วงหล่นจากมือไป ส่วนตัวผมก็เซถอยหลังไปสองสามก้าวแทบล้ม...

หมับ!

ข้อมือซ้ายถูกจับดึงรั้งอย่างรวดเร็วทำให้ผมไม่ล้มลงไป

อื้อ...ชนแรงเลย

โลมาเจ็บจัง

ผมขมวดคิ้วนิ่วหน้าเจ็บจมูกเพราะอีกฝ่ายตัวสูงมากแล้วจมูกผมก็กระแทกไหล่ไม่ก็หน้าอกของเขา คนที่ผมเดินชนดึงผมให้ยืนดีๆ อย่างนุ่มนวล

"คุณไม่เป็นอะไรนะ" เสียงทุ้มใสเอ่ยถามผมเบาๆ อย่างกังวลพร้อมกับมือที่ปล่อยออกจากข้อมือผมอย่างสุภาพ

กำลังจะยกมือขึ้นลูบจมูกเจ็บๆ ก็ต้องชะงักกับน้ำเสียงที่ฟังดูแล้วเหมือนเคยได้ยินที่ไหน มันดูคุ้นมากเลย

"คุณโอเคหรือเปล่าครับ" เขาถามผมอีกครั้งเมื่อเห็นผมนิ่งตัวแข็งทื่อ

หัวใจของผมสั่นระรัวเมื่อได้ฟังเสียงอีกครั้ง

...ไม่ใช่หรอกมั้ง

ผมเม้มปากแน่นแล้วหันหน้าไปมองคู่กรณีโดยที่ไม่รู้ตัวว่าตัวเองนั้นเผลอกลั้นหายใจไปด้วย และพอเห็นหน้าค่าตาของคนที่ผมเดินชนแล้วก็...

ฮืออออ

"คุณครับ!"

ร่างกายมันไปก่อนที่สมองจะแจ้งคำสั่งอีก

ใบหน้าหล่อเหลากับสีหน้าเป็นห่วงเป็นกังวลสะท้อนเต็มตาของผมเลย มันแทบจะทำให้ผมเข่าอ่อนเป็นลมตรงนั้นได้เลยนะ...

ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก!

แย่แล้ว

หัวใจเต้นดังมากเลย

มองตาค้างอยู่สามสี่วิก่อนจะได้สติ...รีบหมุนตัวและ...วิ่งสิ!

"เดี๋ยวสิคุณ!"

เขาตะโกนเรียกผมที่จู่ๆ เกิดบ้าอะไรไม่รู้หันหลังวิ่งหนีอย่างตื่นตะลึงและไม่เข้าใจ

"เฮ้! ปากกาของคุณ!"

ปากกงปากกาอะไรไม่เอาแล้ว!

คนมากมายในห้างฯ หันมามองอย่างมึนงงที่มีคนบ้าวิ่งหนีอะไรสักอย่างและคนบ้าที่ว่าก็คือผมเอง

ผมหลับหูหลับตาวิ่งมาอยู่ตรงไหนของห้างฯ ก็ไม่รู้ รู้แค่ว่าเหนื่อยมาก ผมหยุดวิ่งเมื่อเห็นว่ามาไกลพอแล้ว

"แฮก"

เหนื่อยจัง

ยกมือขึ้นปาดเหงื่อออกจากหน้าผากแล้วเอนหลังพิงกำแพงแต่ก็ต้องชะงักเมื่อตรงข้ามกับผมคือกระจกที่สะท้อนให้เห็นว่าใบหน้าของผมแดงก่ำมากแค่ไหน

พอเห็นว่าตัวเองหน้าแดงแล้วก็ยิ่งแดงขึ้นกว่าเดิม

มันไม่ใช่แดงเพราะเหนื่อย

แต่แดงเพราะความเขินแทบระเบิดต่างหาก

ผมเม้มปากแน่นแล้วยกมือสั่นๆ ขึ้นกุมจมูกอย่างไม่อยากจะเชื่อ

คนที่ผมเดินชนเมื่อกี้...

มัน...พี่คลื่นสมุทรไม่ใช่เหรอ

ฮือออ โลมาชนพี่เขาไม่พอ

แถมยังวิ่งหนีอีกด้วย

โอ๊ยยย นี่ผมทำอะไรลงไป!