สามเดือนต่อมา ชีฟที่กำลังหลับพักผ่อนอยู่บนเตียงในห้องเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง การพักผ่อนอันแสนสบายถูกปลุกด้วยกลิ่นควันและเสียงเคาะประตู
เสียงคาอิลตะโกนเรียก
"เจ้ามนุษย์ตื่นได้แล้ว"
ชีฟรีบลุกจากเตียงและเดินไปเปิดประตู
คาอิลนำชุดเกราะที่เคยเป็นของชีฟมาคืนให้
"ใส่ซะ ได้เวลาที่เจ้าต้องกลับบ้านแล้ว"
ชีฟรับชุดเกราะของตัวเอง ก่อนจะสวมใส่ให้เรียบร้อย
คาอิลพาชีฟวิ่งไปยังทางออกหลังปราสาท ตามทางที่ผ่านอัศวินมีปีกมีเขาสองฝ่ายกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด เมื่อพ้นตัวปราสาทออกมา บนท้องฟ้าก็มีมังกรสีดำและมังกรสีแดงเข้าต่อสู้กัน คาอิลพาชีฟวิ่งออกนอกเมืองมาจนถึงชายป่าแห่งหนึ่ง ซึ่งมีอัศวินและรถบิ๊กไบค์คันหนึ่งกำลังรอพวกเขาอยู่
คาอิลหันมาถามชีฟเมื่อมาถึงตัวรถ
"เจ้าขี่มันได้หรือไม่"
ชีฟมองรถและพบว่ามันคือรถของเขาที่ร่วงตกลงมา ชีฟพยักหน้า คาอิลจึงเริ่มอธิบายเกี่ยวกับปุ่มสีแดงและสีฟ้าที่เขาได้เสริมแต่งลงไปให้กับรถคันนี้
"ปุ่มสีแดงที่ด้ามจับด้านขวา จะทำให้พาหนะนี้วิ่งไต่ไปบนหน้าผาสูงชันได้ ส่วนปุ่มสีน้ำเงินที่ด้ามจับด้านซ้ายจะช่วยให้เจ้ากลับไปวิ่งได้แบบปกติ"
ชีฟพยักหน้ารับรู้ เพราะด้ามจับที่คาอิลหมายถึง ก็คือแฮนรถนั่นเอง ชีฟกระโดดขึ้นไปนั่งบนรถ
คาอิลส่งกริดสีทองที่ประดับด้วยอัญมณีแสนสวยให้แก่ชีฟ
"ข้าผนึกเจ้าหญิงไว้ในนี้ เมื่อถึงที่ปลอดภัยแล้ว ก็อย่าลืมปลดปล่อยนางออกมาด้วยล่ะ นางอาจจะขี้เอาแต่ใจไปหน่อย แต่โดยรวมแล้วนางเป็นเด็กที่นิสัยดี เพราะฉะนั้นได้โปรดขอให้เจ้าดูแลนางให้ดีด้วย"
ชีฟรับกริดสีทองมาไว้ในมือแล้วเอาใส่ไว้ในช่องเก็บของของตัวรถ
"ได้ ผมรับปาก"
คาอิลยิ้มให้ชีฟทั้งน้ำตา
"ไปได้แล้ว"
ชีฟสตาร์ทเครื่องแล้วบิดออกไป
คาอิลจ้องมองไปที่ชีฟด้วยสายตาที่สุดแสนจะโหยหาพร้อมกับน้ำตาที่ไหลซึมออกมาอย่างห้ามไม่ได้ เขาจ้องมองทั้งสองคนจากไปจนกระทั่งลับสายตา
"ขอให้เจ้าโชคดี"
ชีฟขับรถไปตามเส้นทางเล็ก ๆ ที่ตัดผ่านป่าทึบ เมื่อวิ่งมาจนสุดทางชีฟก็เจอเข้ากับหน้าผาสูงชัน เขาจอดรถตรงหน้าผาแล้วกดปุ่มสีแดง แต่กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ชีฟนั่งคิดอยู่สักพักก่อนจะลงจากรถแล้วลองตะแคงรถให้นอนลง แต่กลับไม่สามารถทำได้ ราวกับว่ามีอะไรบางอย่างรั้งเอาไว้
ชีฟลองกดปุ่มสีฟ้าในที่สุดเขาก็สามารถตะแคงรถลงได้ สิ่งนี้ทำให้ชีฟพอจะเข้าใจหลักการทำงานของมันแล้ว ชีฟดันรถให้ล้อไปติดกับหน้าผาแล้วกดปุ่มสีแดง ล้อรถดูดติดกับหน้าผาตามที่ชีฟคิดไว้ เขาหันหน้ารถขึ้นบนก่อนจะพยายามขึ้นขี่มัน การขึ้นขี่ไม่ยากอย่างที่คิด เมื่อชีฟนั่งเบาะได้ ตัวเบาะก็ดูดชีฟไว้ทำให้เขานั่งได้แบบปกติ
ชีฟขับรถไต่หน้าผาจากฟ้ามืดจนกระทั่งพระอาทิตย์ขึ้น ตอนนี้เขาพึ่งจะเลยทะเลหมอกมาได้แค่เล็กน้อย การขับขี่รถจักรยานยนต์เป็นเวลานานก็ทำให้เขาเหนื่อยล้า เขาจึงต้องหาที่พัก
ชีฟกวาดสายตามองหาไปรอบ ๆ ก่อนจะพบเจอเข้ากับถ้ำแห่งหนึ่ง เขาขับเข้าไปในถ้ำโดยทำเหมือนกับการวิ่งตกหลุม เมื่อรถของชีฟโดดเข้าไปในตัวถ้ำ ล้อที่ลอยกลางอากาศก็พยายามดูดเกาะเข้าหาพื้นถ้ำอย่างรวดเร็ว ชีฟกดปุ่มสีฟ้าเพื่อปิดระบบจากนั้นก็ทำการดับเครื่อง ถ้ำแห่งนี้ไม่ได้ลึกอะไรมากนัก เป็นเพียงแค่ถ้ำที่ตื้นเขิน
ชีฟล้มตัวลงนอนกับพื้นหินแข็ง ๆ อย่างหมดแรง ในขณะที่กำลังนอนพักผ่อนอยู่ ชีฟก็พยายามใช้เครื่องมือสื่อสารในหมวกในการติดต่อหาคนอื่น ๆ แต่ก็พบว่าในสถานที่ที่เขาอยู่ยังคงไม่มีสัญญาณ
เมื่อพักจนหายเหนื่อยชีฟก็เดินสำรวจดูรอบ ๆ ถ้ำก่อนจะเจอเข้ากับศพร่างหนึ่งที่นั่งอยู่ในท่าขัดสมาธิอยู่ด้านในสุดของถ้ำ ศพนี้แห้งกรังจนเหลือแต่กระดูก เศษผ้าเกา ๆ ที่ติดตามกระดูกนั้นบ่งบอกว่าศพนี้ตายมานานมากแล้ว นานจนแม้แต่เสื้อผ้าที่ย่อยยากก็ยังเหลือเพียงแค่เศษผ้าชิ้นเล็ก ๆ ที่ไม่สามารถดูออกได้ว่าเป็นเสื้อผ้าแบบไหน แต่มีสิ่งหนึ่งที่ยังคงสภาพดี นั่นคือดาบเล่มหนึ่งที่อยู่ในฝักดาบสีดำ ดาบถูกวางไว้บนหน้าตักของซากศพ ชีฟใช้มือซ้ายจับส่วนที่เป็นปลอกดาบแล้วถือขึ้นมา จากนั้นใช้มือขวาจับด้ามดาบแล้วชักออกมาจากฟัก สีดาบนั้นแดงก่ำราวกับสีของเลือด ตัวดาบมีคมอยู่สองด้าน ด้ามจับเป็นเหล็กธรรมดาที่หุ้มด้วยหนังสัตว์ เมื่อชีฟพลิกดูก็พบว่าอีกด้านของใบดาบมีตัวอักษรภาษาจีนสลักเอาไว้ ซึ่งมันเป็นภาษาที่ชีฟอ่านไม่ออก
ฉับ ดาบขยับเองจนชีฟสะดุ้งตกใจ ใบดาบพาตัวเองกลับเข้าไปอยู่ในฝักอย่างรวดเร็ว และไม่ว่าชีฟจะพยายามดึงมันออกมายังไงก็ดึงไม่ออก ชีฟสบถอย่างไม่พอใจ
"ดาบบ้าอะไรเนี่ย เอาไปให้คาเร็นดูดีกว่า"
ชีฟเอาดาบไปเก็บที่ช่องเล็ก ๆ ข้างรถ ก่อนจะตัดสินใจออกเดินทางต่อ
การออกจากถ้ำนั้นก็ไม่ได้ยากอะไร ชีฟกดปุ่มสีแดงให้ระบบทำงานอีกครั้ง เมื่อชีฟพุ่งออกมาจากถ้ำ ล้อที่ลอยอยู่กลางอากาศและกำลังร่วงลงก็ดึงดูดตัวเองให้แนบติดกับหน้าผาทันที ชีฟวิ่งไต่กลับขึ้นไปด้านบนอีกครั้ง
ที่ริมหน้าผาสุดขอบโลก นักล่าสาวจากคาเรร่าคนหนึ่งกำลังค่อย ๆ หย่อนเชือกลงไปให้เพื่อนสาว พวกเธอได้รับคำสั่งให้พยายามค้นหาชีฟให้เจอ ไม่ว่าจะเป็นหรือตายก็ตาม แต่ผานี้ลึกมาก และไม่เคยมีใครลงไปมาก่อน พวกเธอที่ไม่รู้จะทำยังไงจึงได้แต่นำเชือกเส้นยาวมาไต่ลงไป แล้วสำรวจหาถ้ำหากิ่งไม้หรืออะไรก็ตามแต่ที่พอจะเป็นเบาะแสได้
นักล่าสาวที่อยู่ด้านบนติดต่อหาเพื่อน เมื่อเชือกที่นำมาวันนี้ถูกหย่อนลงไปจนสุดแล้ว
"ชีร่า เจออะไรมั้ย"
ชีร่าตอบกลับมาทันที
"เหมือนทุกวันนั่นแหละเคส ไม่เจออะไรเลย"
เคสปล่อยโฮออกมา
"ฮือ คุณหนูชีฟของฉัน ขนาดตายไปแล้วยังหาศพไม่เจอเลย"
เคสยกมือปาดน้ำตา ก่อนจะเผลอปล่อยเชือกในมือที่เธอทบเอาไว้ให้หลุดไป
ชีร่าโวยวายใส่เครื่องมือสื่อสารทันที
"อ๊าย ทำอะไรของแกย๊ะยัยเคส"
"อุ้ยโทษที"
โชคดีที่ปลายนั้นผูกติดกับตัวรถฮัมวี่เอาไว้ ทำให้เพื่อนสาวของเธอไม่ร่วงตกลงไป ชีร่าที่ได้ดำเนินการบางอย่างเสร็จเรียบร้อยก็พูดขึ้น
"ผูกปลายเสร็จแล้ว ตัดเชือกแล้วปล่อยลงมาเลย จะได้ลงไปสำรวจต่อ ว๊าย คุณหนู"
เคสที่ได้ยินเสียงแปลก ๆ ก็รีบถามซ้ำทันที
"เกิดอะไรขึ้นน่ะชีร่า"
ไร้ซึ่งเสียงตอบกลับ เคสถามตะโกนถามเพื่อนอีกครั้ง
"นี่ ยัยชีร่า ได้ยินมั้ย"
ยังคงไร้ซึ่งเสียงตอบกลับเช่นเคย เคสเดินไปที่ขอบแล้วก้มหน้าลงไปมองข้างล่าง บิ๊กไบค์คันหนึ่งวิ่งสวนเธอขึ้นมาจนเธอตกใจเกือบร่วงตกลงไป
ชีร่าที่ซ้อนท้ายชีฟโบกมือให้เพื่อนสาวแล้วพูด
"ฝากขับฮัมวี่กลับเมืองทีนะ"
ชีร่ากลับไปกอดเอวชีฟตามเดิมก่อนจะพากันขับออกไปแล้วมุ่งหน้ากลับไปยังตัวเมือง
เคสมองสองคนที่จากไปอย่างไม่อยากเชื่อสายตา
"คุณหนู"
เคสหลั่งน้ำตาแห่งความสุขเพราะคุณหนูของเธอยังไม่ตาย ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้
"ยะ ยัยเพื่อนเลว ฉันก็อยากซ้อนท้ายคุณหนูแบบนั้นเหมือนกันนะ"
แต่โวยวายไปก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว เคสจึงได้แต่ขับฮัมวี่ตามไปอย่างหมั่นไส้
ชีร่าติดต่อกลับไปหาคาเร็นและรายงานสถานการณ์ให้ทราบ คาเร็นดีใจจนกรี๊ดใส่เครื่องสื่อสารจนหูชีร่าแทบแตก คาเร็นดีใจเป็นอย่างมาก จากนั้นคาเร็นก็แจ้งกลับมาว่าห้ามชีฟถอดหมวกออกมาเพื่อไม่ให้ใครเห็นหน้า
ชีฟกลับมาถึงเมืองในช่วงบ่าย เขามุ่งตรงไปยังตึกเก่า ๆ สูงสี่ชั้นที่มีสองตึกอยู่ติดกัน เมื่อถึงที่หมายชีฟก็ฝากรถไว้กับชีร่าแล้ววิ่งเข้าไปในตึกอย่างเร่งรีบ
เสียงประตูที่เปิดออก เผยให้เห็นชุดเกราะที่คุ้นตา หญิงวัยกลางคนพักงานที่กำลังทำในมือ ก่อนจะเงยหน้ามองคนที่เปิดประตูเข้ามา ภาพของนักล่าสวมเกราะสีดำรัดรูปเก่า ๆ ที่ดูตัวเล็ก มันช่างดูคุ้นตาเสียเหลือเกิน
นักล่าตัวเล็กถอดหมวกออก แล้วยิ้มให้กลับหญิงวัยกลางคนตรงหน้าทั้งน้ำตา ก่อนจะโผเข้าไปกอดอีกฝ่ายแล้วเรียกด้วยน้ำเสียงที่สุดแสนจะคิดถึง
"แม่"