เสียงเอะอะโวยวายดังเข้ามาจากด้านนอก แสงแดดที่ลอดเข้ามาผ่านหน้าต่างนำพาความร้อนมาฝากทำให้เฉินเจียหลิงรู้สึกถึงเหงื่อที่ไหลซึมออกมาเต็มแผ่นหลัง
ต้องสายมากแล้วแน่ ๆ แดดถึงได้แรงขนาดนี้ ปกติเวลาหกโมงเช้าฤดูนี้ท้องฟ้ายังเป็นสีน้ำเงินอ่อน ๆ อยู่เลย
เฉินเจียหลิงหยีตาขับไล่ความง่วงงุนก่อนจะผุดลุกขึ้นนั่ง นาฬิกาปลุกของเธอคงจะเสียแน่ถึงไม่ดังจนเธอนอนหลับอุตุถึงตอนนี้ แต่เธอไม่มีเวลาเปลี่ยนถ่านแล้ว ถ้าไม่รีบวิ่งตอนนี้คงไม่ทันรถประจำทางตอนเจ็ดโมงครึ่งแน่
เอ๊ะ แต่รองเท้าสลิปเปอร์ของเธอหายไปไหน
เฉินเจียหลิงแกว่งขาไปใต้เตียง สถานที่ที่เธอมักเผลอเตะข้าวของมากมายกลิ้งเข้าไป ทว่าแทนที่จะเป็นพื้นซีเมนต์ในห้องเช่าราคาถูกที่เธอคุ้นเคย เท้าของเธอกลับสัมผัสเข้ากับพื้นดิน
ดินร่วน
ความง่วงเหงาหาวนอนของเธอหายวับไปในวินาทีนั้น เฉินเจียหลิงเงยหน้ามองเพดานที่ควรเป็นซีเมนต์สีขาวสะอาดและหน้าต่างที่ควรมีม่านสีชมพูลายหมาคอร์กี้คลุมทับไว้
ไม่มี
มีแต่หลังคาที่มุงด้วยจากหรือหญ้า ไม่ก็พืชอะไรสักอย่างแบบลวก ๆ และหน้าต่างไม้ไผ่ที่ดูซอมซ่อเต็มทนราวกับจะพังลงมาได้ทุกเมื่อ
จริงด้วย เธอไม่เคยลืมปิดม่านตอนกลางคืน แล้วเธอก็อยู่คนเดียว เสียงเอะอะโวยวายข้างนอกนั่นเป็นเสียงใคร
"เฉินเจียหลิง! คิดจะนอนกินบ้านกินเมืองไปถึงเมื่อใด ตะวันสายโด่งแล้วยังไม่ลุกขึ้นมาทำอาหารอีก บิดาเจ้ากับน้องชายเจ้าไม่ต้องกินข้าวหรืออย่างไร"
เสียงคำรามแหลมสูงดังขึ้นพร้อมกับประตูไม้ไผ่ที่ถูกกระชากเปิดออก ผู้หญิงร่างใหญ่วัยกลางคนหน้าตาเหมือนจิ้งจอกคนหนึ่งพรวดพราดเข้ามาพลางจ้องเฉินเจียหลิงด้วยแววตาแข็งกร้าว
คำว่าเหมือนจิ้งจอกในที่นี้ไม่ใช่คำเปรียบเปรยว่าสวยเย้ายวนประหนึ่งนางจิ้งจอก แต่หมายความแบบนั้นจริง ๆ
ขณะที่ภายในหัวของเฉินเจียหลิงยังว่างเปล่า ไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ผู้หญิงคนนั้นก็ปราดเข้ามาเหวี่ยงไม้กวาดในมือลงบนตัวเธอ
"นอนกินบ้านกินเมือง วันทั้งวันไม่เคยทำอะไรดี ๆ ไอ้เจ้าตัวไร้ประโยชน์ เลี้ยงเสียข้าวสุก ไม่เคยคิดจะทำประโยชน์ให้ครอบครัวนี้เลยใช่ไหม หรือเห็นว่าข้าเป็นเพียงแม่เลี้ยงก็เลยไม่เคยเคารพ หา!"
เฉินเจียหลิงยกแขนขึ้นพยายามปัดป้องไม้กวาดที่หวดลงมาไม่หยุดแต่ก็ยังสู้แรงของอีกฝ่ายไม่ได้ ผู้หญิงแปลกหน้าคนนั้นยกเท้าขึ้นถีบเธอลงจากเตียงกลิ้งหลุน ๆ ไปกับพื้น เฉินเจียหลิงเบิกตากว้าง มองจิ้งจอกหนังเหี่ยวที่ทำท่าจะก้าวเข้ามาเหยียบเธอซ้ำด้วยใจที่หล่นลงไปอยู่ที่ตาตุ่มก่อนจะยันตัวถีบคนตรงหน้าออกไปเต็มแรง
"เฉินเจียหลิง! นางแพศยา! นางอกตัญญู! กล้าถีบแม่เลี้ยงเช่นข้ารึ คนอย่างเจ้าจะต้องไม่ตายดีแน่" คำสบถด่ามากมายพรั่งพรูออกมาจากคู่กรณีเฉพาะหน้าของเฉินเจียหลิงยิ่งกว่าเปิดแผ่นเสียง เธอไม่รู้เหมือนกันว่าอีกฝ่ายไปเรียนที่สถาบันไหนมาถึงได้มีคลังศัพท์หยาบคายมากมายถึงขนาดนี้
เพราะหญิงแก่นิสัยแย่โดนเธอถีบกลับจนล้มก้นจ้ำเบ้า เฉินเจียหลิงจึงมีเวลาพอหายใจหายคอมากขึ้น เมื่อกี้ยังตกใจอยู่เลยไม่รู้สึก แต่ตอนนี้ความเจ็บระบมจากการถูกทุบตีแผ่ลามไปทั่วตัวเธออย่างรวดเร็วจนเธอต้องสูดหายใจ
"เอะอะโวยวายอะไรกัน เสียงดังไปถึงหน้าบ้าน" ชายวัยกลางคนคนหนึ่งโผล่หน้าเข้ามาที่ประตู ด้านหลังมีเด็กชายหญิงสองคนอายุราวสิบกว่าขวบสอดส่ายสายตาเข้ามา
ปกติเฉินเจียหลิงเป็นคนรักเด็ก แต่เด็กผู้หญิงที่มองเธอบาดเจ็บแล้วหัวเราะคิดคักด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยสาแก่ใจนี่เธอเอ็นดูไม่ลงจริง ๆ
"ท่านพี่!" หญิงแก่พลังแกร่งที่เมื่อกี้ยังกระหน่ำตีเธอร่ำร้อง "ดูบุตรสาวของท่านสิ นางถีบข้า! ข้ารู้ว่านางไม่ชอบข้ามาตลอดแต่ไม่เคยคิดว่าจะก้าวร้าวได้ถึงเพียงนี้ แม้จะเป็นแม่เลี้ยงแต่ข้าก็ยังถือว่าเป็นมารดาของนาง อกตัญญูเช่นนี้ต่อไปจะมีผู้ใดยินยอมมาสู่ขอ ท่านพี่ต้องลงโทษนางนะเจ้าคะ"
ชายคนนั้นขมวดคิ้วแน่น "วันนี้เจ้าไม่ต้องกินข้าว"
เฉินเจียหลิงอุทานเสียงสูง ลงโทษอะไรเธอก็ได้แต่เรื่องอาหารนี่เธอไม่ยอมเด็ดขาด แล้วอีกฝ่ายเป็นใครมีสิทธิ์อะไรมางดข้าวเธอด้วย "คุณจะบ้าเหรอ ฉันถีบผู้หญิงคนนี้ก็จริงแต่ก็เป็นเพราะเธอตีฉันก่อนต่างหาก ถ้าไม่ตอบโต้บ้างคงโดนทุบตายไปแล้วมั้ง อีกอย่าง ผู้หญิงคนนี้ใช้ไม้กวาดตีแต่ฉันใช้เท้าเปล่า ไม่ได้ทำเกินกว่าเหตุสักหน่อย"
"หุบปาก ข้าเป็นบิดาเจ้า ข้าสั่งการสิ่งใดก็จงปฏิบัติไปตามนั้นมิใช่โต้เพียงราวกับไม่เห็นหัวผู้อาวุโสเช่นนี้ เนี่ยนซื่อเป็นมารดาเจ้า อบรมสั่งสอนเจ้าก็เป็นเรื่องถูกต้อง จะมีการตีบ้างก็เป็นไปเพราะหวังดีเจ้ายังจะคิดร้ายต่อนางอีก"
เฉินเจียหลิงตาโตพลางอุทานเสียงสูงอีกครั้ง
ตรรกะป่วยได้อย่างเหลือเชื่อไปเลย
เนี่ยนซื่อแสยะยิ้ม "วันนี้เจ้าไม่ต้องกินข้าวก็ไม่ต้องทำอาหารเช้าแล้วกัน ข้าซักเสื้อผ้าของท่านพี่เรียบร้อยแต่เสื้อผ้าของโถวเอ๋อร์และจวงเอ๋อร์ยังไม่ได้ซัก อย่าลืมกวาดถูพื้นและถอนวัชพืชริมรั้วด้วยเล่า หากข้าและบิดาเจ้ากลับมาทุกอย่างยังไม่เรียบร้อยเจ้าก็อดข้าววันพรุ่งนี้ด้วยแล้วกัน"
เฉินเจียหลิงยังคงนั่งนิ่งอยู่บนพื้นยามที่คนทั้งสี่กระแทกส้นเท้าออกไปจากห้องที่แสนคับแคบโดยไม่ลืมเหวี่ยงประตูปิดอย่างแรงทิ้งท้าย เธอก้มลงมองเสื้อผ้าเนื้อหยาบหน้าตาคล้ายชุดชาวบ้านในละครย้อนยุคด้วยหัวสมองที่มึนตื้อ
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย