เกาเทียนเย่เดินออกห่างจากสตรีเหล่านั้นด้วยอารมณ์หงุดหงิด ก่อนที่ตราประทับที่หน้าอกข้างซ้ายจะร้อนวูบตามมาด้วยกลิ่นอายเทพอสูรไม่ช้ากลิ่นอายก็แข็งแกร่งมากขึ้นมันมาพร้อมกับเกอดวงตาสีน้ำตาลอ่อนตรงหน้า
เกาเทียนเย่ที่ดูเย่อหยิ่งในสายตาคนอื่นๆกำลังยืนโค้งหัวให้กับเกออีกคนหนึ่ง และเกอคนนั้นคือเยว่ชิง
"พี่ชื่ออะไรครับ พอดีผมอยากพูดคุยด้วยนิดหน่อย สักเที่ยงครึ่งเจอกันที่เขตเจ็ดได้ไหมครับ"เยว่ชิงเอียงใบหน้าเข้าใกล้ ให้อีกฝ่ายมองเห็นตราประทับ เพราะกลิ่นอายเป็นเพียงการบอกลำดับชนชั้นว่าเขาคือเทพอสูร แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นตัวตนไหน
"เกาเทียนเย่ ผมจะไปหาท่านที่เขตเจ็ด"เกาเทียนเย่เข้าใจที่อีกฝ่ายใบ้มา เมื่อเห็นรูปจิ้งจอกสีขาวก็เข้าใจได้ ลำดับชนชั้นอันดับหนึ่งคือเทพอสูร ในขณะที่อสูรในตำนานของเขายังเทียบไม่ติด
อีกทั้งสัญชาตญาณสัตว์ป่ามักจะยอมแพ้ต่อผู้แข็งแกร่งและเข้าร่วมอย่างเต็มใจ อาศัยพึ่งพาบารมีของสัตว์ที่แข็งแกร่งกว่า เหมือนอีกฝ่ายเป็นราชาส่วนเขาก็แค่ประชาชน
"ดีครับ งั้นผมไปแจกน้ำก่อนนะ"เยว่ชิงโบกมือลาอย่างอารมณ์ดี โดยมีจิวอิงโบกมือลาอย่างร่าเริงโดยไม่รู้เรื่องอะไรเลยตั้งแต่ต้น
เกาเทียนเย่มองตามแผ่นหลังไป โดยสายตาไม่ได้จับจ้องไปที่ตัวตนเทพอสูร แต่สายตามุ่งตรงไปที่แผ่นหลังของจิวอิงที่ไม่ปรากฏกลิ่นอายใดๆไม่มีการคุกคามหรือความอ่อนโยนให้สัมผัส ไม่สามารถใช้สัญชาตญาณใดๆได้เลย บางทีเด็กคนนั้นอาจจะน่ากลัวกว่าเทพอสูรจิ้งจอก
ซึ่งนั้นคือเรื่องจริง
"เที่ยงครึ่งสินะ ดีจริงๆที่ความทรงจำของอสูรในตำนานส่งต่อมาด้วย ไม่งั้นคงทำกิริยาไม่เหมาะสมออกไปแน่"
ที่เกาเทียนเย่กล่าวมาทั้งหมดคือความจริง ผู้ใดก็ตามเกิดมาพร้อมจิตวิญญาณอสูรในตำนานและอสูรโบราณ จะได้รับการถ่ายทอดความทรงจำมาด้วย ทำให้พวกเขาหยิ่งในศักดิ์ศรีเช่นเดียวกับเกาเทียนเย่ ที่สามารถเย่อหยิ่งต่อสตรีโอลิเวียแม้จะมีศักดิ์เป็นเจ้าหญิงก็ตาม
แต่ถึงอย่างนั้น ผู้ที่มีตราประทัพเทพอสูร จะได้รับการถ่ายทอดความทรงจำก็ต่อเมื่อ ไปถึงระดับศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งถ้าไม่มีระบบเยว่ชิงคงไม่สามารถสัมผัสได้ว่าเกอคนไหนมีกลิ่นอายอสูรโบราณหรืออสูรในตำนาน
และมีอีกคนคือจิวอิง ไม่ว่าจะระดับใดก็ไม่มีการถ่ายทอดความทรงจำ
"เกอคนนั้นเป็นใคร ถึงทำให้เด็กคนนั้นก้มหัวให้"สตรีหนึ่งในร้อยสามเสาหลักที่เข้ามาดูความเรียบร้อยในตอนแรกๆจึงทำให้เห็นเหตุการณ์ทุกอย่างเอ่ยขึ้นราวกับพึมพำกับตัวเอง
"สัญชาตญาณของสัตว์ก็มีการแบ่งชนชั้นเช่นกัน"อาจารย์ประจำมหาลัยเอ่ยออกมา เขาเป็นเกอที่จิตวิญญาณเป็นนกแก้วแอฟริกันเกรย์ ซึ่งมีความเฉลียวฉลาดและการจดจำที่น่าทึง สามารถคาดการณ์ได้ว่าชนชั้นของสองคนต่างกันเกินไป และชนชั้นของสองคนนั้นแตกต่างจากเกอคนอื่นๆในห้องนี้อยู่มาก
หากระบบรับรู้คงปรบมือให้กับความฉลาดและการคาดการณ์ที่ถูกต้องเป็นแน่ ไม่แปลกที่มหาลัยนี้จะเรียกว่าที่หนึ่งของโลก ไม่เพียงสถานที่ยังรวมถึงบุคลากรไม่ว่าจะอาจารย์ผู้สอนหรือลูกศิษย์ก็ตาม
"ไม่ถามเหรอ"เยว่ชิงยกมือยีหัวคนน่ารักข้างๆ ก่อนจะใช้มือหยิบแก้วนำใส่ถาดเพื่อนำไปเสิร์ฟที่ห้องประชุมอีกรอบ
"ไม่ครับ"จิวอิงส่ายหัวปฏิเสธ
"งั้นก็ดีเลย วันนี้ไปฝึกจิตวิญญาณกับพี่ที่เขตเจ็ดนะ"
"ครับ"เมื่อได้คำตอบที่พอใจ เยว่ชิงก็ยิ้มหน้าบาน ก่อนจะไปทำงานที่ได้รับมอบหมายต่อจนจบ
ภายในเขตเจ็ดที่ห้องฝึกจิตวิญญาณ เยว่ชิงแนะนำให้จิวอิงลองเรียกจิตวิญญาณออกมาซึ่งมีเพียงอย่างเดียวที่เปลี่ยนไปคือดวงตาที่มีสีขาวและสีดำอย่างละข้าง ไม่ได้มีหูมีหางเพิ่มมาอย่างเขา
นี่คงเป็นความพิเศษของอสูรที่อยู่ระหว่างสวรรค์กับนรก
"มันคือเหตุผลที่ทำให้พวกเขาทิ้งผมให้อยู่ที่บ้านกำพร้าเกอ ก่อนที่ผมและน้องอีกสองคนจะถูกย้ายมาที่เขตนี้ด้วยเหตุผลการเรียนดี"
"นั่นคือพวกเขาพลาด นายเชื่อใจพี่ไหม ถ้าเชื่อใจพี่จะทำให้นายยกระดับที่สูงขึ้น"เยว่ชิงเอ่ยอย่างมั่นใจ ตามใดที่มีระบบเขาก็สามารถช่วยยกระดับเด็กตรงหน้าได้
"เพราะพี่เป็นเทพอสูรเหรอ"จิวอิงเอ่ยขึ้น
"นายรู้"เยว่ชิงทำหน้าแปลกใจ จิวอิงเพียงยิ้มแล้วอธิบาย
"ผมเคยอ่านลำดับชนชั้นอสูร พี่เกาเทียนเย่คงมีสายเลือดชนชั้นสูงทำให้มีความเย่อหยิ่งถือดี แต่ถ้าคู่ตรงข้ามเป็นถึงเจ้าหญิงแม้จะเป็นอดีตราชวงศ์ก็ตาม แสดงถึงสายเลือดอสูรนั้นต้องเป็นระดับราชา ไม่ต่ำศักดิ์ไปกว่านั้น"
"และการที่เขาแสดงความเคารพต่อพี่ก็เป็นไปได้ว่า พี่มีระดับเหนือราชา ซึ่งก็คือกึ่งเทพอสูรหรือเทพอสูร"
"นายคาดการณ์ได้เก่งจริงๆ งั้นยินดีทำพันธะหยาดโลหิตกับพี่ไหม เพื่อป้องกันการทรยศระหว่างเรา"
"ผมยินดีทำครับแต่ไม่ใช่เพราะกลัวพี่ทรยศ"จิวอิงพยักหน้าพร้อมทั้งรีบบอกเหตุผล เพราะกลัวเยว่ชิงเข้าใจผิด นอกจากมีน้องสองคนที่คอยดูแลทั้งชีวิตก็มีเพียงเยว่ชิงเท่านั้นที่เข้ามาเป็นครอบครัวให้ตัวเองได้อุ่นใจ
"งั้นมาเริ่มกัน"เยว่ชิงอยู่ในร่างจิ้งจอกสีขาวยกเท้าข้างหนึ่งหงายมันขึ้นแล้วแบเท้าออกจนเห็นปุ่มสีชมพูน่าบีบเล่น ก่อนจะใช้เล็บอีกข้างกรีดลงไป เช่นเดียวกับจิวอิงที่ใช้เข็มติดดระเป๋าเจาะเข้าที่นิ้วมือในขณะที่ตัวเองมีสีตาขาวดำคนละข้างและมีปลาสองตัวสีขาวดำว่ายวนรอบเอว
หยดเลือดของทั้งคู่ลอยเข้าหากันอย่างช้าๆก่อนจะรวมกันเป็นหนึ่งแล้วแบ่งออกสองส่วนวิ่งเข้ากระแทกตรงจุดหัวใจ จากนั้นก็ปรากฏโซ่ขนาดเล็กขึ้นมา
หากใครก็ตามคิดทรยศเพียงชั่ววูบ โซ่จะขาดสะบั้นพร้อมกับชีวิตที่ดับสิ้นของคนผู้นั้น
"ไม่คิดว่าจะเห็นอะไรแบบนี้"เกาเทียนเย่ที่เข้ามาพอดีก้มหัวทำความเคารพง่ายๆให้กับจิ้งจอกขาวตรงหน้า ส่วนสายตาก็จับจ้องไปที่ปลาสองตัวรวมทั้งสีตาหากบอกว่าไม่หวาดกลัวคงจะไม่ใช่ แม้แต่บุรุษที่ต่อสู้เก่งถูกขนานนามว่าบ้าเลือด ยังไม่น่าหวาดกลัวเท่านี้เลย
จิวอิงเห็นแบบนั้นก็ชินชาก่อนจะเก็บจิตวิญญาณตัวเองลงไป สายตาหวาดกลัว...ไม่ใช่ครั้งแรกที่เห็น ขนาดครอบครัวที่แท้จริงยังด่าเขาว่าเป็นตัวอัปมงคลในบ้านเลย
"ท่านเรียกผมมาต้องการให้ผมทำสิ่งใด"เกาเทียนเย่ที่รู้ว่าตัวเองแสดงกิริยาที่ไม่เหมาะสมออกไปก็ส่งสายตาขอโทษทันที ถึงจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีชนชั้นลำดับอย่างไง แต่สิ่งที่เห็นก็บอกถึงความน่ากลัวอยู่ดี
"เรียกเยว่ชิงหรืออาชิงก็พอครับ ผมแค่ต้องการให้พี่ยกระดับจิตวิญญาณ แล้วก็รวบรวมอสูรในตำนานกับอสูรโบราณเท่านั้นนะครับ"
"ผมจะไม่ปิดบัง หอคอยในชั้นที่สี่สิบขึ้นไปเป็นสัตว์เทพอสูร อย่างเสือขาว พี่คิดเหรอครับว่าแค่ดาบหมื่นเล่มคนแสนคนจะเอาชนะได้"
"เข้าใจครับ กรงเล็บของสัตว์ย่อมฉีกเนื้อสัตว์ได้ง่ายกว่าดาบ"เกาเทียนเย่เข้าใจอย่างง่ายดาย ต่อให้คนคนนั้นจะเป็นหลงจือหยางก็ตามไม่มีทางฆ่าอสูรระดับนั้นได้ง่าย อาจจะบาดเจ็บกลับมาด้วยซ้ำ
"งั้นมาเถอะครับ ฝึกจิตวิญญาณไปพร้อมกับผม ความสามารถของพี่จำเป็นอย่างมากเมื่อต้องเผชิญกับสัตว์ประเภทสายฟ้า โดยเฉพาะมังกร"
ตามที่เยว่ชิงกล่าวมาก็ไม่ผิด เกาเทียนเย่มีจิตวิญญาณอสูรในตำนานอย่างเต่าภูเขาลาวา ขนาดตัวมีน้ำหนักกว่าแสนตัน ลำตัวของเต่าจนถึงกระดองสูงจากพื้นสามเมตรและภูเขาบนหลังอีกเจ็ดเมตร ส่วนในภูเขาก็เป็นลาวาเดือด
ความสามารถคือคลื่นเสียงที่สามารถส่งลงใต้ดินราวๆหนึ่งพันกิโลเมตร และรอบลำตัวออกไปไกลอีกสามพันกิโลเมตร ส่วนลาวาใช้พ่นออกมาทางปากเพื่อฆ่าเหยื่อ
ส่วนสัตว์ประเภทสายฟ้าจะมีการเคลื่อนที่พริบตาซึ่งสัญชาตญาณสัตว์ผู้ถูกล่ายั่งอาจจะหนีไม่พ้นและอาจจะได้รับบาดเจ็บ เพราะไม่สามารถหลบได้พ้น เกาเทียนเย่สามารถใช้คลื่นเสียงสร้างสนามพลังชั่วคราวเพื่อไม่ให้สัตว์ประเภทสายฟ้าเข้าใกล้
"ผมเข้าใจแล้วครับ"เจ้าตัวพยักหน้ารับ และรู้ได้ทันทีว่าตัวเองมีความสำคัญแค่ไหน
"แทนตัวเองว่าพี่กับผมเถอะ ไม่ต้องมีพิธีอะไรมากมาย"
"อืม"พอบอกว่าไม่ต้องมีพิธี แต่พี่ไม่ควรขรึมใส่ผมกับน้องทันทีนะ และเกาเทียนเย่ก็กลับมาเย่อหยิ่งเหมือนเดิม
คนทั้งสามเริ่มฝึกจิตวิญญาณไปพร้อมกัน โดยมีเยว่ชิงคอยบอกตามระบบอีกที จากนั้นก็แยกย้ายเมื่อเย็นแล้วโดยแลกเปลี่ยนช่องทางการติดต่อเอาไว้
"พี่ครับถ้ากลุ่มของหลงจือหยางอยากพบเพื่อพูดคุยเหตุการณ์ในวันนี้ รอผมกับน้องด้วยนะครับพวกเขามีประโยชน์กับจิวอิง ถ้าเป็นไปได้นัดพบพวกเขาที่ร้านกาแฟใต้ตึกหลิงหลงนะครับ"
"เรามั่นใจเหรอว่าคนพวกนั้นจะติดต่อพี่"
"สัญชาตญาณครับ"เมื่อได้รับคำตอบเกาเทียนเย่ก็ไม่แปลกใจ
"ได้แล้วพี่จะติดต่อไปถ้าพวกเขามาพบพี่จริงๆ"เกาเทียนเย่โบกโทรศัพท์ในมือ
"ขอบคุณครับ"เยว่ชิงพยักหน้าขอบคุณก่อนจะพาจิวอิงไปด้วย
"พี่ส่งข้อความบอกเจ้าของร้านไว้แล้ว เขาอนุญาตให้เข้าไปนั่งได้ไม่มีปัญหา"จิวอิงยังคงเป็นเด็กใสซื่อในสายตาของเยว่ชิงอยู่ดี ไม่รู้ว่าถ้าให้เข้าร่วมสงครามจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องรึเปล่า
"อย่าห่วงเลยครับ ผมไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น"เยว่ชิงถอนหายใจ ยกมือข้างหนึ่งลูบศีรษะคนน้องอย่างอ่อนโยน
ช่วงค่ำๆเป็นไปตามที่เยว่ชิงกล่าวเมื่อหลงจือหยางให้เลขาติดต่อมาจริง พวกเขาไม่เพียงแต่ต้องการรู้เรื่องลำดับชั้นซึ่งอาจจะซื้อตัวพวกเขาทั้งสามคนให้ร่วมในทีม
เกาเทียนเย่ถึงกับส่ายหน้า คนแบบหลงจือหยางน่ากลัวเกินไปแล้ว ถึงขนาดที่จะซื้อตัวพวกเขาให้เข้าทีมเพียงเพราะสงสัยในเรื่องชนชั้นและการพัฒนาจิตวิญญาณ
"ผู้ชายคนนี้ มองข้ามไม่ได้จริงๆสมแล้วที่เป็นผู้ฝึกจิตวิญญาณที่อยู่ระดับS"
"นายสนใจงั้นเหรอ"เสวียนอวี้ยกแก้วในมือขึ้นดื่ม ปล่อยให้น้ำสีใสไหลลงคอ
"สัญชาตญาณของฉันบอกแบบนั้น"หลงจือหยางเพียงตอบกลับง่ายๆ บางครั้งสัญชาตญาณของคนผู้นี้อาจจะดีกว่าเกอบางคนที่มีจิตวิญญาณเป็นสัตว์ป่าก็ได้