น้ำหมึกสีเข้มสาดกระจายย้อมสีท้องฟ้าเป็นสีดำมืด ดวงจันทร์ประกายแสงเพื่อส่องสว่างในยามราตรีกำลังถูกมวลเมฆก้อนใหญ่เคลื่อนเข้าปกคลุม ผืนป่าใหญ่ในยามนี้แทบกลืนหายไปกับเงามืด ความเย็นยะเยือกแผ่กระจายไปทั่วผืนป่า หมอกหนาลอยลงสู่พื้นสร้างหยดน้ำค้างบนผืนหญ้าและใบไม้จนชื้นแฉะ ต้นสนสูงใหญ่แผ่อาณาเขตปกคลุมหลายร้อยตารางเมตร ห้อมล้อมไปด้วยหุบเขาและทะเลสาบ กลางป่าใหญ่ที่ไร้ซึ่งสิ่งปลูกสร้าง แต่กลับโดดเด่นด้วยปราสาทที่สร้างแบบสถาปัตยกรรมโรมาเนสก์ ตัวปราสาทสูงใหญ่มืดหม่นราวกับร้างมาแสนนาน คล้ายกับไร้การดูแล ไร้ผู้อยู่อาศัย ไม่ว่าจะเวลาใด ก็ดูราวกับอยู่ในยามค่ำคืนไร้แสงจันทร์ ไร้แสงอาทิตย์ รอบปราสาทรายล้อมด้วยกำแพงรั้วสูงใหญ่ ทำจากโครงเหล็กดัดลวดลายประณีตในสวนของปราสาทเรียงรายด้วยรูปปั้นเทพเจ้ามากมาย งดงามหากแต่ก็ลึกลับน่าพิศวง
เมื่อความมืดมิดเข้าปกคลุม เสียงย่ำเท้าของสัตว์สี่เท้าดังสะท้อนทั่วบริเวณ ดวงตาสีม่วงแกมเหลืองเฉียบคมจ้องไปยังเบื้องหน้าทุกฝีก้าว เส้นขนกลมยาวสวยสีเงินสะท้อนแสงจันทร์ที่ริบหรี่ แต่นั่นไม่ทำให้ลดทอนความงดงามและน่าเกรงขามนั่นได้เลย หมาป่าตัวใหญ่เดินเข้าใกล้บริเวณปราสาทกลางป่า ร่างกายที่ขนาดกับพื้นค่อยยืดตรงขึ้น อุ้งเท้าที่ปกคลุมด้วยขนค่อยๆหดลงเป็นผิวหนังมนุษย์ สองเท้าหน้าแปรเปลี่ยนเป็นมือ ร่างกายที่ปกคลุมไปด้วยขนสลวยถูกเปลี่ยนเป็นกล้ามเนื้อไร้อาภรณ์ปกปิด มีเพียงกางเกงขายาวสีดำที่ยังคงอยู่ ในหน้าหล่อเหลาแต่ยั่วยวนค่อยๆปรากฏขึ้น
ประตูสูงตระหง่านค่อยๆแง้มกว้างให้กับผู้มาเยือน โคมไฟเก่าตามทางเดินสว่างวาบเพื่อนำทางชายหนุ่ม ทอดยาวไปยังประตูโค้งยอดแหลม ลวดลายงดงาม
แอ๊ด....
เสียงประตูบานใหญ่ดังขึ้น เชื้อเชิญชายหนุ่มเบื้องหน้าให้เข้ามาเยือน คบไฟตามผนังสูงลุกโชนขึ้นทันที ปรากฏโถงกว้างสูงใหญ่ ม่านหนาทึบสีแดงโรยลงจากเพดานสูงจรดพื้น พื้นหินอ่อนสะท้อนแสงไฟ ทำให้ดูสวยงาม บันไดหินอ่อนทอดขึ้นสูงก่อนจะแยกเป็นสองฝั่งซ้ายขวา ปูพรมสีแดงเลือดนกลวดลายสวยงาม ด้านบนวางขนานเป็นราวระเบียง แกะสลักเสาเล็กๆด้วยความวิจิตร ด้านหลังเป็นหน้าต่างบานสูงใหญ่ ประดับกระจกแก้วหลายสี สองข้างเป็นม่านแดงทึบประดับพู่สีทองโรยลงจากผนัง เช่นเดียวกันกับรอบโถงใหญ่ที่ถูกตกแต่งอย่างประณีตตามสไตล์โรมาเนสต์อย่างลงตัว ซึ่งแตกต่างจากภายนอกที่ดูอึมครึมรกร้าง
"นี่ไม่คิดจะออกมาเจอฉันเลยรึไง"
ชายหนุ่มยืนเท้าสะเอว พร้อมเสียงที่สะท้อนทั่วโถงใหญ่ แต่ไร้การตอบรับใดๆ
"นายคงไม่อยากรู้อะไรดีๆ ฉันกลับเลยแล้วกัน"
น้ำเสียงเย้าแหย่ถูกเปล่งออกไป เสียงนุ่มดังก้องสะท้อนทั่วโถงปราสาท พร้อมกับร่างสันทัดนั้นเตรียมจะหันหลัง
พรึบ!
"เป็นคนแบบนี้หรอเจเรมี"
แสงเขียวสว่างวาบ พร้อมการปรากฏตัวของชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง ในชุดผ้านอนผ้าแพรสีเขียวเข้ม คลุมทับด้วยชุดคลุมผ้าแพรสีเดียวกันอีกชั้น ใบหน้างดงามเรียบเฉยรับกับปลายจมูกรั้นเชิด และดวงตาสีเขียวอมฟ้าที่จ้องมองมาอย่างเอาเรื่อง
"ก็เรียกแล้วไม่ตอบเองวัลเดอเลียส"
"หัดรอเสียบ้างเถอะ"
"ก็นึกว่าจะไม่สนใจ"
"เข้าประเด็นเสียทีได้มั้ย" เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยอยากติดรำคาญ
"นายก็หัดใจเย็นบ้างวัลด์" ปากอิ่มยิ้มกว้างรับกับดวงตาพระจันทร์เสี้ยวสีม่วงแกมเหลือง นั่นเรียกน้ำโหให้กับร่างโปร่งที่ยืนกอดอกอยู่หน้าบันไดยิ่งกว่าเดิม
ช่างน่ารำคาญนัก
ฉึบ!
ไม่ขาดคำ ลูกธนูสีดำลวดลายสีทองประณีตงดงามก็ลอยเฉียดหน้าของเจเรมี่ไปปักที่กลางกรอบรูปผู้เฒ่าผมขาวบนผนัง ทำให้ใบหน้าเปื้อนยิ้มนั้นมลายหายไปทันที
"ถ้าฉันตายนายจะเสียใจ"
"ก็ใครให้เล่นลิ้นอยู่ได้ มีอะไรก็พูดมา"
"ยอมแพ้ วัลด์ ฉันไปเจอเด็กคนนั้นในเมืองนั่นมาแล้ว นายแน่ใจหรือว่าคือเด็กคนนี้จริงๆ" เจเรมี่เอ่ยถามอย่างสงสัย
"นายคิดว่าไงล่ะ"
วัลเดอเลียสถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ก่อนที่พวกเขาจะเดิมเลี้ยวมายังห้องนั่งเล่นทางด้านขวาของโถงปราสาท
"เหอะ ไม่ได้มีอะไรเลย นอกจากร่างกายที่กำยำ เขาจะใช่ผู้นั้นจริงๆหรือ"
"นายจะบอกว่าการพยากรณ์ของโนแรนด์ผิดพลาดหรือไง" วัลเดอเลียสเอ่ยถึงเจ้าของฉายาแห่งเจ้าการทำนายและปัญญา ผู้เป็นพี่ชาย
"ใครจะกล้าหมิ่นกันเล่า แล้วนายเป็นยังไงบ้างล่ะ"
ไม่รู้ว่าชาดอกคาโมมายด์ร้อนกลิ่นกรุ่นละมุนมาอยู่บนโต๊ะตั้งแต่เมื่อไหร่ ชาร้อนส่งกลิ่นหอมอบอวลทั่วห้องนั่งเล่น ท่ามกลางเตาผิงที่จุดรออยู่ก่อนแล้ว มือขาวของเจเรมีจึงยืนไปหยิบขึ้นมาจิบอย่างละเมียด
"ฉันจะเป็นอะไรได้เล่า"
"ก็ดี"
"เจเรมี่ ที่นี่จะกลับมาเป็นดังเดิมในอีกไม่นาน ทุกอย่างจะสมบูรณ์"
ดวงตาสีอความารีนมองจ้องไปยังเตาผิง ประกายไฟสีเขียวลุกโชนขึ้นก่อนจะกลับมาเป็นสีแดงส้มอย่างเดิม
คงอีกไม่นาน คนผู้นั้นจะกลับคืนสู่ดินแดนแห่งคำสาป ดินแดนที่มีแต่ผู้เป็นราชาเท่านั้นถึงจะสามารถทำลายคำสาปและคืนความเป็นนิรันดร์ให้ดินแดนนี้ดังเดิม
[ในฝันของเจค]
"มาเถิดนายท่าน กลับคืนสู่ดินแดนที่จากมา"
เสียงที่จับไม่ได้ว่าชายหรือหญิงเปล่งออกมาจากกลุ่มหมอกหนาที่มีแสงสะท้อนจากด้านหลัง ให้เห็นเพียงรูปเงาเท่านั้น
"ดินแดนที่จากมา? ที่ไหน? พูดถึงอะไร"
เจคงงงวยกับคำพูดนั้นอย่างมาก ดินแดนอะไรกัน เขาเกิดที่ลอนดอนแล้วมาอยู่อ๊อกฟอร์ด จะมาจากไหนได้
ร่างนั้นค่อยๆเดินหายเข้าไปในหมอกหนา เจคไม่รอช้า ด้วยความสงสัย จึงก้าวยาวๆหวังจะเจอหน้าคนคนนั้นให้ได้ หวังจะถามให้หายสงสัย ร่างสูงเดินผ่านหมอกควันด้านหน้า แต่แล้วหมอกก็สลายไปทันที ราวกับไม่ต้องการโดนตัวเขา ข้างหน้าของเจคจากหมอกขาวกลับกลายเป็นทะเลสาบมืดมิด รายล้อมด้วย ต้นไม้สูงใหญ่ ก้อนหินกลมมนสีขาวห้อมล้อมผืนน้ำดูแปลกตา แต่ดูคุ้นตานัก
"ที่ไหนวะเนี่ย"
ความแปลกใจเริ่มมีมากขึ้น เมื่อครั้งนี้มาโผล่หน้าทะเลสาบ คนเมื่อกี้หายไปอีกแล้ว
จู่ๆก็แสงสีม่วงสว่างวาบเข้าตาเจค ด้วยความตกใจทำให้เขากลับเข้ามาสู่ความจริง ความที่ว่าเขาฝันอีกแล้ว แต่คราวนี้ไม่มีกลีบดอกไม้ สร้างความแปลกใจมากขึ้น นับวันยิ่งแปลก เขาควรไปพบจิตแพทย์ดีหรือเปล่านะ
มือใหญ่ลูบหน้าตัวเองเพื่อเรียกสติ รับเช้าวันใหม่ที่มาถึง แสงแดดยามเช้าอาบไล้ใบหน้าจองเจค เพื่อเรียกให้ชายหนุ่มลุกจากเตียงนอน เจคหาวหวอดๆก่อนจะพาตนเองเข้าห้องน้ำจัดการธุระตัวเอง
กลิ่นหอมโชยตลบทั่วบ้าน กลิ่นหอมแป้งแพนเค้กกับน้ำผึ้งเรียกเสียงโครมครามในห้องเจคเป็นอย่างดี ไวเท่าความคิดจึงได้มาที่ห้องครัว พบจูโน่ในผ้ากันเปื้อนสีชมพูลายกระต่ายน่าเกลียด กำลังตักแพนเค้กออกจากกระทะใบจิ๋ว
ไม่รอให้เรียกเขาก็มานั่งตรงบาร์ของครัวทันที
"ตื่นเช้าจริงๆ ย๊า! เจค! นั่นมันของฉันนะ!" เสียงโวยวายก็ดังขึ้นทันทีเมื่อเจคใช้ซ้อมจิ้มแพนเค้กที่มีบลูเบอร์รี่วางคู่อยู่
"อันไหนก็เหมือนกันน่าจูโน่ โวยวายเป็นคนแก่ทำไม"
"อยากลงไปนอนกองที่พื้นก่อนได้กินแพนเค้กมั้ย"
ตามคาด พี่ชายของเขากับคำว่าอ่อนไหวเหลือเกินกับคำว่าแก่
"นี่จูโน่ ที่ไหนที่มีทะเลสาบแล้วมีหินกรวดสีขาวๆบ้างอ่ะ" ว่าไปพร้อมเคี้ยวแป้งนุ่มในปาก
"ไม่รู้สิ คำถามกว้างไปมั้ย ลองไปค้นเน็ตดูสิ"
"พี่มันจะเกี่ยวข้องอะไรกับที่ฝันมั้ย"
"มันต้องมีเหตุผลแหละเจค แล้วนายได้ยินอะไรเพิ่มมั้ยล่ะ" จูโน่พลางหั่นแพนเค้กก่อนจะจิ้มส่วนที่ไม่ได้หั่นเข้าปากแทน
เจคคิ้วขมวดขึ้น
"พูดถึงดินแดนอะไรก็ไม่รู้ว่ะ แปลก"
"มันแปลกตั้งแต่ฝันแล้ว"
"ผมจะลองเอามาต่อดูละกัน เรื่องบ้าอะไรก็ไม่รู้"
"มันอาจจะเกี่ยวกับนายจริงๆก็ได้"
และบทสนทนาของเจคและจูโน่ก็สิ้นสุดลง เมื่อต่างก็ต้องจัดการกับอาหารเช้า มีแต่เจคที่กำลังปะติดปะต่อเรื่องราวที่ฝัน จูโน่ได้แต่เหลือบตามองน้องชายที่หน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยความหนักใจ
หรือเขาควรจะช่วยเจคในเรื่องนี้จริงๆแล้ว