ยินเฟิงเฝ้ากอดจูบนางอย่างคนรักพลัดพราก ปลายจมูกซุกลงสูดดมกลิ่นอันน่าหลงใหลบนผิวกายขาวละเอียด เนินอกนุ่มเนียน หัวไหล่กลมกลึง ฝ่ามือสั่นเทาลากไล้ไปตามเรียวแขน ด้วยใจคะนึงหานางผู้นี้ยิ่งนัก
"เจ้าไม่มีกลิ่นดิน... ไม่ใช่ปั้นดิน เป็นเจ้าจริง ๆ"
เรือนผมนุ่มหอมที่ลอดปลายนิ้วผ่านในแต่ละเส้น ไม่มีกลิ่นดิน เรือนร่างงามไม่ละลายหายไปจากมือจนเหลือเพียงเถ้าธุลี ทั้งหมดเป็นกลิ่นของไป๋เหม่ยหลาน เขาไม่นึกเสียดายที่เผาปั้นดินนั้นทิ้งเสียแล้วตามฉางฟู่มาพบนาง วางแผนการละเอียดรอบคอบในช่วงเกิดกบฏ เพื่อให้ตนได้เป็นอ๋อง
"ปั้นดินอะไรเจ้าคะ?"
"..."
ใบหน้าหล่อเหลาเฝ้าซุกไซ้ลำคอเพรียวระหง ไป๋เหม่ยหลานยังคงอยู่ในอ้อมแขนอุ่นร้อนไร้อาภรณ์สักชิ้นหนึ่ง ตัดพ้อด้วยแววตาไร้เยื่อใย
"ในเมื่อภพชาตินี้ข้ามีชีวิตใหม่ที่ดี ท่านจึงไม่ควรมารบกวนข้า ข้าไม่ปรารถนาความเจ็บปวด สิ้นลมหายใจอย่างเดียวดายในสถานที่มืดมิด..."
"ข้ารู้..."
ยินเฟิงรู้ดีกว่านางเสียอีก นางสลายไปเพียงสองเค่อ ในขณะที่ปรมาจารย์เซียนสามารถฝืนทนในหุบเหวมารกว่าห้าร้อยปี
"ธรรมดาหุบเหวมารมิใช่ที่ที่เซียนจะไปเหยียบเยือน นับประสาอะไรกับศิษย์ผู้บำเพ็ญตนไม่กี่หมื่นปี เจ้าถูกพันธนาการด้วยโซ่แห่งหยาง ฉนวนล่อปีศาจชั้นดี ร่างทิพย์ถูกกัดกร่อนด้วยไอปีศาจ"
เบ้าตาแสบร้อนของยินเฟิงปรากฏความเคียดแค้นสาหัส ต่างจากนางผู้หวาดกลัว
ไป๋เหม่ยหลานไม่อยากนึกถึงฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนนางในทุกค่ำคืน ความเจ็บปวดทรมานสุดคณานับเหล่านั้นเคยเกิดขึ้นในอดีตของนาง แม้ว่ากาลเวลาจะผ่านไปเนิ่นนานสักเท่าไร นางรู้สึกว่ามันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
"ท่านอาจารย์... ข้ากลัว... ข้าเจ็บเหลือเกิน"
นางเริ่มร้องไห้คร่ำครวญ ร้องขอให้ชายร่างกำยำกอดปลอบนาง ริมฝีปากหนาหยักได้รูปจึงประทับจุมพิตโหยหาบนเรียวปากสีชาดที่สั่นระริก
ยินเฟิงมอบจุมพิตให้นางจนนางคลายหายจากความเศร้าหมอง ปลายลิ้นที่แทรกเข้าโพรงปากรสชาติหอมหวาน ตะกละตะกลาม กระหวัดลิ้นน้อยมาชื่นชม เขาสอนนางให้รู้จักรสจูบ ให้นางลืมเลือนเรื่องราวอันเลวร้ายสักชั่วครู่หนึ่ง เมื่อนางแสนอ่อนแอในร่างมนุษย์
กระนั้นไป๋เหม่ยหลานจดจำประสบการณ์ของนางและเขาได้เป็นอย่างดี แม้ในยามนี้ท่านอาจารย์ของนางทั้งอบอุ่นเร่าร้อน นัยน์ตาสีชาดที่จ้องมองนางด้วยสีหน้าประกาศเจตนารมณ์ชัดแจ้ง พาไรขนลุกชูชัน
มือเรียวลูบผ่านแผงอกกว้าง ปัดยอดปทุมถันชูชันของบุรุษ นางเพิ่งปลุกเร้าราคะจากเรือนกายชายแกร่งผู้ห่างเหินกามารมณ์มาเนิ่นนาน มิได้ล่วงรู้ว่ายินเฟิงคุ้นเคยวิถีในเมืองปีศาจ บุรุษสตรีสานสัมพันธ์ความใคร่ แลกเปลี่ยนพลังด้วยการสอดสวมร่างกายให้เป็นหนึ่ง ภาพเหล่านั้นทำให้เขาคิดถึงไป๋เหม่ยหลาน เขามักจะเดินหนีไปสงบจิตใจด้วยการกอดจูบปั้นดิน
เมื่อวงแขนเล็กตระกองกอดร่างกำยำแน่นแฟ้น ผิวกายเปลือยเปล่าสัมผัสกัน ใบหน้าหล่อเหลาก้มลงประทับจูบโหยหา นางไม่แม้จะกะพริบตา
อารมณ์อันมากล้นทำให้ใบหน้าหล่อเหลาแปรเปลี่ยนไป ยินเฟิงอ่อนคล้อยตามนาง ในสีหน้าดุดันผ่อนคลายลง
ไป๋เหม่ยหลานมองเห็นเกล็ดสีขาวนวลบนท่อนแขนเป็นล่ำสัน ใกล้สายตาของนาง
'เกิดอะไรขึ้นกับท่านอาจารย์กันแน่?'
นางทำได้เพียงตั้งคำถามในใจ มือลูบไล้ร่างกายบุรุษตามใจปรารถนา นางสัมผัสเขาไม่ว่างเว้นสักที่หนึ่ง ไล่ตั้งแต่กรามแกร่งเป็นสันคมลงมา ตราบจนร่างกำยำหอบหายใจแรงจนแผงอกกระเพื่อมเคลื่อนไหว
นางมิได้รู้จักปีศาจอสรพิษแม้สักนิด ทั้งที่เคยได้ยินว่าปีศาจอสรพิษมีธาตุแห่งอัคคี เป็นปีศาจราคะ นางมองเห็นเขี้ยวขาวคมที่ยาวพ้นออกมาผิดไปจากท่านอาจารย์คนเดิม ใบหน้าหล่อเหลาที่นิ่งเฉยแลดูเจ้าเล่ห์ร้ายกาจ
"ท่าน... หายจากพิษเหมันต์เพราะเกล็ดอสรพิษหรือ?"
ไปเหม่ยหลานระลึกได้ พิษเหมันต์ซึ่งซึบซาบเข้ากระแสโลหิต ให้ความรู้สึกหนาวเย็นถึงขั้วกระดูก พิษปีศาจราตรีเป็นธาตุตรงกันข้ามกับปีศาจอสรพิษ
"เจ้ายังฉลาดเฉลียวเช่นเดิม ศิษย์รักของข้า..."
มุมปากหนาแสยะยิ้มร้ายกาจ กายกำยำขยับขึ้นคร่อมทับ กดหัวเข่าลงบนฟูก เพื่อแหวกเรียวขาของนางให้อ้าออกกว้างอย่างใจร้อน เมื่อเขามิอาจหักห้ามใจรอ จิตราคะกำลังแผดเผาเรือนกายให้รุ่มร้อนดังไฟ เพียงสัมผัสร่างเปลือยเปล่าของสตรี
ใบหน้าหล่อเหลาซุกไซ้ลงบนซอกคอเพรียวงาม ก้มลงดื่มด่ำปทุมถันสีหวาน ทว่ากลับมีเพียงเสียงสะอื้นไห้ นางมิได้มีอารมณ์ร่วมไปกับเขา
"ท่านมอบวิญญาณให้ปีศาจ ท่านอาจารย์มิใช่เซียนอีกต่อไป เพราะข้า... ข้าเป็นต้นเหตุใช่หรือไม่?"
ดวงหน้าแดงก่ำของไป๋เหม่ยหลานทำร้ายจิตใจเขาเป็นอย่างมาก ยินเฟิงก้มหน้ากอดจูบนาง ริมฝีปากหนาขบเม้มไปทั่วกายอรชร จนผิวกายขาวละเอียดปรากฏรอยจ้ำแดง พยายามจะให้นางอ่อนคล้อยตามเขาด้วยความดื้อรั้น กระทั่งปรากฏความจริงว่านางมิอาจสานงานหวามไหวต่อ ถึงแม้ว่านางจะยอมตามใจเขา หากยังร้องไห้ไม่หยุดหย่อน มือเรียวลูบเกล็ดอสรพิษด้วยท่าทีไม่รังเกียจ ราวกับว่าเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับนาง
ไป๋เหม่ยหลานทุกข์ตรมแสนสาหัส เมื่อนางเป็นต้นเหตุให้ท่านอาจารย์ยินเฟิงผู้เคยเป็นเซียนมอบจิตวิญญาณของเขาให้กับปีศาจ ยินเฟิงหยุดทุกสิ่งลง เพื่อกอดนาง กดริมฝีปากบนขมับเนียน ปลอบนางอย่างอ่อนโยน
"จิตใจเจ้าไม่มั่นคง ภรรยา ค่ำคืนมงดลก็คงต้องเลื่อนออกไปก่อน"