Download Chereads APP
Chereads App StoreGoogle Play
Chereads

มังกรสีทอง ตำนาน 7 ภพ

🇹🇭Jirinda_Phit
--
chs / week
--
NOT RATINGS
2.1k
Views
Synopsis
นวนิยาย เรื่อง มังกรทอง ตำนาน 7 ภพ นี้ เป็นเพียงนวนิยายที่สมมุตขึ้น อาจมีชื่อนามบุคคล หรือ สถานที่ ที่คล้องจองและเหมือนกับผู้ใค ผู้แต่งต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย มังกรทอง ตำนาน 7 ภพ มีทั้งหมด 7 ภาค แต่ละภาพมี จำนวน 20 ตอน ซึ่งท่านผู้อ่านสามารถติดตามอ่านได้ในแต่ละตอนจนถึงตอนสุดท้าย มาอ่านลุ้นกันว่าแต่ละภพชาติตัวเอกของเรื่องจะเกิดมาเป็นอะไร และสู้กับชีวิตอย่างไร บางภพชาติอาจจะร่ำรวย บางภพชาติอาจจะยากจน บางภพชาติอาจมีฐานะปานกลาง เพราะทุกภพชาติล้วนมีสาเหตุที่มา จะเป็นเพราะฟ้าลิขิตหรือจะเป็นเพราะลิขิตกรรมหรือกรรมลิขิตแต่ละคนให้เป็นไป ก็ล้วนแล้วแต่มีสาเหตุที่มาโดยที่มนุษย์อย่างเราไม่อาจรู้ชะตาได้ มาติดตามอ่านกันว่า นวนิยายอิงประสบการณ์ชีวิตจริงเรื่องนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป ผู้เขียนขอขอบพระคุณท่านผู้อ่านที่สนใจและติดตามผลงานการเขียนนวนิยายเรื่องนี้ หลังจากที่เขียนแต่งานเชิงวิชาการมาเป็นเวลานาน จนลืมความรักความชอบในการอ่านและการเขียนนวนิยายไปเสียนาน หวังว่าท่านผู้อ่านที่น่ารักจะชอบและสนับสนุน นวนิยายเรื่องนี้ ขอคารวะด้วยใจ Madam Bamboo
VIEW MORE

Chapter 1 - มังกรสีทอง ตำนาน 7 ภพ

ภพที่ 1

แม่ทัพ..กระบี่สะท้านฟ้า

ตอนที่ 1 กำเนิดมังกรทอง

"เยี่ยซิง เจ้าน่ะ เล่นหมากรุกเก่งมากเลย ปล่อยให้ข้าชนะบ้างสักตาสิ หลายวันมานี้ข้าไม่สามารถเอาชนะเจ้าได้เลย" เสี่ยวผิงบ่นเพื่อน "ไม่ ไม่ เจ้าก็ต้องใช้สมองเล่นก่อนสิ ไม่เช่นนั้นมัวใจลอยก็แพ้ข้าตลอดเลยล่ะ ฮ่าๆๆ" เยี่ยชิงหัวเราะเพื่อนที่เล่นกันมาหลายวันก็แพ้ตลอด บางทีก็ยอมๆแกล้งแพ้ให้เพื่อนชนะบ้าง เอาใจเพื่อน หญิงสาวสองคนกำลังนั่งเล่นหมากรุกกันอย่างสนุกสนาน เยี่ยชิง เป็นสาวงามบนสวรรค์ชั้นลำดับที่สามมักจะลงมาเยี่ยมเพื่อนเสี่ยวผิงที่สวรรค์ชั้นลำดับที่สองบ่อยๆ เยี่ยชิง เป็นหญิงงามมากที่สุดในสวรรค์ชั้นลำดับที่สาม นางมีความเฉลียวฉลาดที่ไม่ค่อยจะมีผู้ชายชั้นล่างกว่าหรือชั้นเดียวกันมาเทียบได้ เยี่ยชิงจึงดำรงความเป็นโสดอยู่บนสวรรค์อย่างเดียวดาย มีเพื่อนที่สนิทไว้วางใจได้คือ เสี่ยวผิง แม้ทั้งสองคนจะเพื่อนรักกันมาก แต่ดันมาอยู่สวรรค์คนละชั้นกัน เท่าที่เยี่ยชิง จำความได้ก่อนจะมาอยู่บนสวรรค์ชั้นลำดับที่สาม นางได้บวชเป็นแม่ชีและบริจาคทานอยู่ในวัดเขาเฝอตง หลังจากมีการฆ่ากันของราชสำนัก มีโหรทำนายว่า จะต้องกำจัดพระและแม่ชีให้หมดสิ้น จึงจะทำให้กษัตริย์ราชวงค์ซางสุ่ย มีความมั่นคงและก้าวหน้า เยี่ยชิงจำได้แค่ว่า กำลังช่วยเหลือผู้สบภัยที่เข้ามาในเขตวัด และกำลังสาระวนกับการคัดกรองคนไข้ที่ได้รับบาดเจ็บ บางคนแขนขาด บางคนขาขาด ชาวบ้านบางคนศรัทธาวัดทำให้ใช้ชีวิตปกป้องพระกับแม่ชีที่วัดเขาเฝอตงอย่างสุดชีวิต บางคนขาดใจตายตรงหน้าของแม่ชีเยี่ยชิงเลยทีเดียว ภาพต่างๆเหล่านั้นทำให้จิตใจของเยี่ยชิงรู้สึกสงสารมาก ทั้งกลัวทั้งกล้า ขณะที่นางกำลังจะวิ่งไปช่วยเหลือสาวชาวบ้านธรรมดาๆผู้หนึ่งที่กำลังจะโดนทหารใช้ดาบง้างมาเสียบ เยี่ยชิงวิ่งเข้าไปกอดนางผู้นั้นไว้ ทำให้ดาบแทงทะลุทั้งสองคนตายคาที่ตรงใต้ต้นดอกโบตั๋นริมกำแพงข้างวัด ทุกอย่างดับวูบลงแล้วเยี่ยชิงก็ลืมหมดทุกสิ่งทุกอย่าง มารู้สึกตัวอีกที ก็อยู่บนสวรรค์ชั้นลำดับที่สามแล้ว ไม่รู้จักใครเลยในชั้นนี้ แม้จะมีเหล่าบริวารที่มาเกิดพร้อมกัน ทุกคนก็รู้จักเยี่ยชิง แต่นางกลับไม่รู้จักใครเลย ทำให้นางอึดอัดใจไม่ใช่น้อย จะถามไถ่ใครก็ไม่กล้า จนต้องหาวิธีไปท่องเที่ยวสวรรค์ชั้นล่างบ่อยๆ ทำให้มาเจอกับเสี่ยวผิง เท้าความเล่าไปมาก่อนจะมาอยู่บนสวรรค์ชั้นลำดับที่สอง เสี่ยงผิงเล่าว่าตัวเองจำได้ว่า กำลังช่วยคนอยู่ที่วัดเขาเฝอตง อยู่ๆก็โดนแทงตายพร้อมกับแม่ชีท่านหนึ่ง ไม่รู้ท่านไปอยู่ที่ไหน แต่เมื่อมาเกิดที่สวรรค์ลำดับที่สองทำให้เสี่ยวผิงมีความสามารถพิเศษคือสามารถนั่งบัลลังค์และส่องจิตก็รู้ว่าแม่ชีนางนั้นมาเกิดที่สวรรค์ชั้นลำดับที่สามนี่เอง เพียงแต่เสี่ยวผิงไม่สามารถขึ้นไปได้ ก็ได้แต่รอว่าสักวันหนึ่งแม่ชีนางนั้นจะได้ลงมาเองเมื่อถึงเวลา เป็นเช่นนั้นจริงเมื่อถึงเวลาเยี่ยชิงก็ได้ลงมาโดยบังเอิญและพบกับเสี่ยวผิงจนได้ เมื่อรู้ความกันแล้วจึงเข้าใจได้ตรงกันว่า ได้ตายพร้อมกัน เพียงแต่ได้ไปอยู่สวรรค์คนละชั้น เยี่ยชิงสามารถลงมาหาเสี่ยวผิงได้ เพียงแต่เสี่ยวผิงไม่สามารถขึ้นไปเยี่ยมเยี่ยชิงที่สวรรค์ชั้นลำดับที่สามได้ เพราะเป็นกฎของสวรรค์เป็นเช่นนี้มาอย่างยาวนานแล้ว

เสี่ยวผิงและเยี่ยชิงเป็นเพื่อนเทียวมาเทียวไปทุกวันเป็นประจำจนผ่านกาลเวลานับจะครบหนึ่งพันปีแล้ว เยี่ยชิงรู้สึกเบื่อในชีวิตที่แสนจะสุขสบายเช่นนี้เหลือเกิน ไม่มีอะไรท้าทายสติปัญญาของเยี่ยชิงเลย ทำให้เยี่ยชิงยิ่งรู้สึกถึงความน่าเบื่อบนสวรรค์ ปีนี้เป็นปีที่เก้าร้อยเก้าสิบเก้า กับอีกสิบเอ็ดเดือน เดือนหน้าจะครบพันปีที่อยู่สวรรค์ชั้นลำดับที่สาม เยี่ยชิงไม่มีอะไรทำนอกจากเฝ้านับวันแต่ละวันผ่านไปอย่างน่าเบื่อ นางบ่นกับตัวเองบ่อยๆว่า ชีวิตเช่นนี้ช่างน่าเบื่อยิ่งนัก ไม่ต้องทำอะไร แค่นึกคิดทุกสิ่งก็ปรากฏต่อหน้าให้หายหิว หายอิ่มไปหมดเลย อีกทั้งบริวารก็มีแต่คนหน้าตาน่ารัก วัย 25 ปีทั้งนั้น ทุกคนบนสวรรค์เหมือนถูกสตาร์ฟไว้ที่วัยหนุ่มสาว 25 ปี จึงไม่มีใครแก่เลยสำหรับสวรรค์ชั้นนี้ จึงทำให้เยี่ยชิงคิดว่าทำไมจึงไม่เห็นเด็ก ไม่เห็นคนแก่บ้างเลย หน้าตาพวกเขาจะเป็นอย่างไรนะ คิดเท่าไรก็คิดไม่ออก เพราะมาเกิดอยู่บนสวรรค์นานจนลืมโลกอื่นๆไปหมดแล้ว คิดถึงเสี่ยงผิงขึ้นมา นึกอยากจะไปเยี่ยมไปถามหาข้อข้องใจนั้น เสี่ยวผิงอยู่ชั้นที่ติดกับโลกมนุษย์มากกว่าน่าจะเคยเห็นพวกมนุษย์ ว่าหน้าตาเด็กกับคนแก่หน้าตาเป็นอย่างไร ตัวเองตั้งแต่เกิดมาบนโลกสวรรค์ก็ยังไม่เคยลงไปยังโลกมนุษย์สักที เพราะมีเหตุให้ท่านมหาเทพหวังเชียง ซึ่งเป็นราชาแห่งเทพเจ้าชั้นลำดับที่สามมักชอบใช้งานเยี่ยชิงบ่อยๆ เพราะนางเป็นคนเฉลียวฉลาด สั่งงานอะไรก็จะได้สมใจปรารถนาหมด ทำให้ไม่ขัดเคืองใจท่านมหาเทพ เห็นจะเป็นเรื่องเดียวนี่แหละที่เยี่ยชิงเบื่อที่สุดก็คือการถูกท่านมาหาเทพใช้งาน และทำให้นางต้องหลบอู้งานไปหาเสี่ยวผิงเพื่อนของนางที่สวรรค์ชั้นลำดับที่สองเป็นข้ออ้างบ่อยๆ ขณะที่เยี่ยชิงกำลังเหาะลงมายังหลุมอากาศที่เป็นทางเชื่อมระหว่างสวรรค์ชั้นลำดับที่สามกับสวรรค์ชั้นลำดับที่สอง ก็เหมือนมีคลื่นสัญญาณแปร๊บๆเข้ามาทางจักรกระที่หน้าผากของนาง เหมือนมีสัญญาณกำลังบ่งบอกอะไรบางอย่างให้เยี่ยชิงรู้ เยี่ยชิงเอามือทั้งสองข้างจับกุมขมับ ว่าเกิดอะไรขึ้น สัญญาณนั้นก็หายไป เยี่ยชิงเหาะมาจนถึงสวรรค์ชั้นลำดับที่สอง พบเสี่ยวผิงกำลังนั่งเป่าขลุ่ยเพลงวิหคทวนลมอย่างเพลิดเพลินอยู่ เสี่ยวผิงหันมาเจอเยี่ยชิงพอดี ก็ดีใจมาก "นี่ๆข้ากำลังคิดถึงเจ้าอยู่พอดีเลย ว่าจะเป่าเพลงทำนองใหม่ให้เจ้าฟัง อยากฟังไหมล่ะ" เสี่ยวผิงรบเร้าให้เพื่อนฟัง "ได้ๆ เป่าเลยๆ ข้ากำลังอยากฟังความเพลิดเพลินนั้นอยู่" ว่าแล้วเสี่ยวผิง ก็เป่าขลุ่ยบรรเลงเพลงใหม่ให้เยี่ยชิงฟัง เยี่ยชิงฟังอย่างเพลิดเพลิน สักพักสัญญาณแปล๊บๆส่งมาทางจักรกระสายตาอีกแล้ว ครั้งนี้รุนแรงกว่าครั้งที่ผ่านมา เหมือนว่าจะเห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น เยี่ยชิงเห็นมังกรสีน้ำทองสลับเขียวคล้ายหยกบริสุทธิ์ มีเกร็ดเพชรตามลำตัว มีมงกฎเพชรบนศีรษะของมังกรตัวนั้นด้วย เพียงชั่วเสี้ยววินาที เยี่ยชิงก็เห็นภาพทั้งหมด ทำให้ตกใจ เอามือกุมขมับหัวอีก เสี่ยวผิงเองก็ตกใจมากร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นเยี่ยชิง ทำเช่นนี้มาก่อน เลยสงสัยถามว่า "เยี่ยชิง เจ้าเป็นอะไรไปหรอ มีอะไรเกิดขึ้นผิดปกติอย่างนั้นหรือ?" เสี่ยวผิงถามด้วยความตกใจ "ข้าก็ไม่แน่ใจ แต่จู่ๆข้าก็เห็นภาพมังกรสีทอง ขึ้นมาบนหัว ข้าก็เลยตกใจ" เยี่ยชิงเล่าด้วยความสับสนในใจ ไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นอีก หรือท่านมหาเทพจะลงโทษนางซะแล้วนางคิดในใจ โอ..ไม่นะ ท่านมหาเทพ ออกจะใจดี และเมตตา กรุณาต่อสรรพสัตว์ทั้งหลายอย่างมาก คงไม่คิดลงโทษนางหรอกนะ เยี่ยชิงได้แต่วิตกกังวล ตอนยังเป็นมนุษย์เสี่ยวผิงมักจะไปขลุกตัวอยู่กับท่านอาจารย์ หยางเซิน ท่านมักจะทำนายทายทัก บอกเรื่องราวชะตาชีวิต ให้เสี่ยวผิงฟัง เสี่ยวผิงเลยได้วิชามาจากอาจารย์หยางเซิน เสี่ยวผิงเลยเริ่มสงสัยว่าน่าจะมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับเยี่ยชิงแน่ๆ หรือเยี่ยชิงจะต้องไปรับเคราะห์สะสมบุญบารมีใหม่ที่โลกมนุษย์ คิดได้เช่นนี้ ทำให้เสี่ยวผิงตกใจ ร้องอุทานด้วยเสียงอันดัง "โอ้ไม่นะ..เยี่ยชิงหรือว่า หรือว่า ท่านต้องไปเกิดใหม่สะสมบุญบารมีแดนโลกมนุษย์ บุญท่านจะหมดแล้วหรือ เดี๋ยวนะ ขอข้านั่งสมาธิดูชะตาเจ้าสักพัก" ว่าแล้วเสี่ยวผิงรีบเข้าไปนั่งบัลลังก์ ที่นั่งสมาธิของนางที่สวรรค์มอบให้ นางสามารถรู้อนาคตและอดีตของคนที่ต้องการอยากจะทราบได้ ทันทีที่เสี่ยวผิงนั่งลงบัลลังก์ของนาง ตัวของนางต้องสั่นสะเทือน โยกโคลงเคลงไปมา แทบนั่งไม่ได้เลย แต่นางก็พยายามกำหนดจิต ตั้งสมาธิได้มั่น แล้วภาพก็มาชัดอยู่ตรงหน้า นางเห็นภาพมังกรสีทอง แต่ไม่มีหนวด มีมงกุฎ อยู่บนหัวเจ้ามังกรตัวนั้น นางรู้ได้ทันทีว่าจิตที่อยู่ในมังกรตัวนั้นคือเยี่ยชิงนั่นเอง ..โอ้แย่แล้ว ..ข้าจะบอกเยี่ยชิงอย่างไรดี นางช่างน่าสงสารยิ่งนัก เยี่ยชิงต้องไปรับเคราะห์กรรมที่แดนบาดาล ไม่ใช่แดนมนุษย์ แต่เป็นแดนบาดาลกับมนุษย์ เสี่ยวผิงยิ่งทุกข์ร้อนใจไม่แพ้เยี่ยชิงเลยทีเดียว "บัลลังก์ของข้าร้อนเป็นไฟ" เสี่ยวผิงบอกเยี่ยชิง ทำให้เยี่ยชิงนึกสงสัยว่าเสี่ยวผิงน่าจะรู้อะไรและไม่กล้าบอกนาง ด้วยที่เยี่ยชิงมักจะเป็นคนมีกลอุบายฉลาด จึงแกล้งพูดว่า "ดูตัวข้าสิ อุตส่าห์ได้อยู่สวรรค์ชั้นลำดับที่สาม แต่กลับไม่รู้อะไรเลย แต่เจ้าน่ะนะ อยู่สวรรค์ชั้นลำดับที่สอง กลับมีบัลลังก์ที่สวรรค์มอบให้เป็นของตนเอง ข้าเห็นแล้วก็อิจฉายิ่งนัก" เยี่ยชิงบ่น เสี่ยวผิงบอกไม่ต้องมาบ่นน้อยใจเลย เจ้าสิมีฤทธิ์ มีสติปัญญากว่าข้ามาก ข้าสิคิดอะไรก็ไม่ทันเจ้า แต่คราวนี้ข้าจะบอกกับเจ้าว่า เจ้าจะต้องไปสะสมบุญบารมีที่แดนบาดาล และโลกมนุษย์ ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ข้าก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน แต่บุญของเจ้าน่ะทำไมหดหายไปอย่างรวดเร็วเช่นนี้ทั้งที่เจ้ามีมากกว่าข้ายิ่งนัก" เสี่ยวผิงบ่นอย่างสงสัยและงุนงง แม้แต่กฎสวรรค์ที่มีมากมาย คนบนสวรรค์ก็ไม่อาจละเลยได้ เพราะชาวสรรค์ทุกคนก็กลัวตกสวรรค์ต้องไปทนทุกข์ระกำลำบากกันทั้งนั้น ทุกคนจึงตั้งหน้าตั้งตาทำความดี สะสมเพื่อให้ได้อยู่บนสวรรค์ไปนานๆ แต่ทำไมเยี่ยชิง ถึงต้องกลับไปเกิดใหม่เป็นมังกรสีทองล่ะเนี่ย เสี่ยวผิงเองก็ยังงง หาคำตอบไม่ได้ "โอ้สวรรค์ ข้าจักไปถามผู้ใดล่ะเนี่ย ข้าก็อยู่สวรรค์ ข้าก็ยังหาคำตอบไม่ได้เลย" เสี่ยวผิงบ่นกับตัวเอง เยี่ยชิงสิ ตัวร้อนๆหนาวๆขึ้นมาซะอย่างนั้น อยู่ๆก็ครั่นเนื้อครั่นตัวอย่างบอกไม่ถูก แล้วร่างของเยี่ยชิงก็เริ่มหายเลือนราง จางลงทุกที ทั้งสองกอดร่ำไห้กันอำลากันพัลวัน " ทำไมมันเร็วเช่นนี้ล่ะ ไม่นะ เยี่ยชิง ข้าจะคิดถึงเจ้า ข้าจะคอยไปหาเจ้าให้เจอ จำเอาไว้ เยี่ยชิง เยี่ยชิง เยี่ยชิง....." ขาดคำของเสี่ยวผิง เยี่ยชิงก็ค่อยๆหายแวบไปกับตา ทำให้เสี่ยวผิงเศร้าสลดใจมาก ยังไม่ทันจะล่ำลากันเลย นางก็ยังไม่ทันได้ไปบอกลาทุกคนบนสวรรค์ชั้นลำดับที่สามเลยสักคน บริวารของนางเป็นร้อยๆพันๆคน คงจะหากันจ้ะละหวั่นแน่นางได้แต่คิด แต่ก็แปลกที่บริวารของเยี่ยชิงที่สวรรค์ชั้นลำดับที่สามเหมือนทุกคนต่างก็รู้กันหมดโดยทางจิตสัมผัส ว่าเยี่ยชิงต้องไปรับเคราะห์และสะสมบุญบารมีที่แดนระหว่างสองแดน ทั้งแดนมนุษย์และแดนบาดาล

ที่เมืองบาดาล กำเนิดเด็กหญิงมังกรตัวน้อยๆมีเกร็ดสีทองทั้งตัวและเขียวหยกสลับกับสีขาวราวกับเพชรใต้ท้อง ถ้ามีแสงส่องจะเป็นเพชรระยิบระยับทันที เป็นสีที่งดงามหาที่สุดในแดนสามโลกนี้ไม่มีอีกแล้ว ราชาแห่งมังกรผู้ยิ่งใหญ่ใต้บาดาลกำลังลุ้นราชินีมังกรที่กำลังจะคลอดลูกแล้ว คราวนี้คงจะได้มังกรน้อยเด็กหญิงสมใจ เพราะราชามีมังกรเด็กชายมาแล้วหกคน โหรมังกรได้ทำนายว่า คนนี้จักเป็นผู้มีบุญบารมี เก่งกล้าสามารถ เฉลียวฉลาดมาก เทียบเท่ากับราชาเลยทีเดียว แต่นางจะดื้อมากและใจร้อนมากว่าพี่ๆของนาง ท่านราชาและราชินีมังกรต้องใจเย็นๆ ท่านทั้งสองคนไม่อาจมีบุญบารมีมากเท่าลูกคนนี้ ดังนั้นท่านสองคนจึงไม่อาจสั่งสอนนางได้ ให้เอาธิดามังกรน้อยนี้ ไปฝากให้เป็นศิษย์กับเหล่าซือ เฝอต้วน แห่งวัดเฝอตง ท่านอายุอานามเกือบแปดสิบปีแล้ว ราชาและราชินีแห่งมังกร รู้สึกทั้งดีใจทั้งเสียใจ อุตส่าห์ได้มังกรสาวน้อยมาแล้วแต่กลับต้องไปพลัดพรากจากกันเสียตั้งแต่ยังเล็กนัก ราชินีปิงฟ่านไม่อาจจะทำใจได้ แต่ด้วยคำทำนายโหรมังกร ทำให้นางต้องยอมเพื่อให้ลูกน้อยได้มีวิชาอาคมติดตัว เอาตัวรอดได้ จะได้ปกครองบ้านเมืองบาดาลต่อไปเพราะพี่ๆมังกรแต่ละองค์มีแต่ความสง่างาม ชอบความบันเทิงใจ ไม่สนใจงานบ้านงานเมือง ทำให้ราชาและราชินีต่างกลุ้มใจอยู่มาก เห็นจะมีแต่พี่สี่และพี่ห้า ที่จะเป็นนักรบสนใจบ้านเมืองอยู่บ้าง แต่ก็สนใจเรื่องสาวๆเสียส่วนใหญ่ กว่าจะได้ลูกสาวมังกรตัวน้อยนี้มีต้องเฝ้ารอหนึ่งร้อยปีเลยทีเดียว ทำให้ราชาและราชินีมังกรต้องรอคอยกันอย่างทรมาน ในที่สุดก็ได้ลูกสาวสมใจ พระราชาแห่งแดนมังกรได้กำหนดจัดพิธีเฉลิมฉลองกันตลอดเจ็ดวันเจ็ดคืน ได้รับขนานนามว่า หลันเซ่ออิง ซึ่งแปลว่าวีรสตรีแห่งดินแดน ผู้พร้อมบริบูรณ์ด้วยทรัพย์สมบัติทั้งปวง

สาวน้อยแห่งแดนมังกรโตวันโตคืน เวลาที่เด็กน้อยนอนหลับนางจะกลายเป็นมังกรน้อยสีทอง ที่ดูสง่างามและแข็งแรงยิ่งนัก มีเกล็ดสีเขียวมรกตและสีเพชรระยิบระยับใต้ท้องมังกร ไม่มีหนวด มีขาสี่ขา มีกรงห้าเล็บ ยามปกตินางก็จะกลายเป็นมนุษย์ปกติเป็นลักษณะพิเศษที่โหรหลวงได้ทำนายตามตำราเอาไว้ว่ามีลักษณะถูกต้องตามหลักแห่งกษัตริย์ตรีแห่งดินแดนมังกรที่หายากยิ่งนักกว่าจะมีได้สักองค์หนึ่งต้องรอถึงหนึ่งหมื่นไปขึ้นไปจึงจะได้มาจุติเกิดในดินแดนมังกรนี้ เป็นเหตุให้ราชาและราชินีดินแดนมังกรทั้งหวงทั้งห่วงมังกรน้อยหลันเซ่ออิงยิ่งนัก พลอยทำให้เหล่าบรรดาพี่ๆของนางต่างก็พากันอิจฉานางไปด้วย แต่อิจฉาด้วยความรักความเอ็นดู เมื่อถึงวัยห้าขวบ จึงได้ส่งหลันเซ่ออิงไปบำเพ็ญบุญที่วัดเขาเฝอตง ของท่านอาจารย์เฝอต้วน มังกรน้อยไม่อยากจะจากพระราชบิดาและพระราชมารดาไปเลย ร้องไห้ขอร้องอ้อนวอนอย่างไร ก็ไม่เป็นผล เมื่อเป็นคำทำนายก็จะต้องจำใจให้ไปพระราชบิดาและพระราชมารดาต่างก็ร้องไห้พร้อมๆกัน ในที่สุดหลันเซ่ออิงก็ได้มาถึงวัดแห่งเขาเฝอตง ลูกศิษย์ในวัดได้นำพาเด็กน้อยไปพบท่านพระอาจารย์เฝอต้วน อาจารย์ได้ทักเด็กน้อยว่า "เออมาได้สักที ข้ารอเกือบแปดสิบปีล่ะเด็กน้อยเอ๊ย ถ้ามาช้าอีกหน่อยคงไม่ได้เจออาจารย์อย่างข้าซะแล้วล่ะ" เด็กน้อยคาราวะอาจารย์ เด็กน้อยถามพระอาจารย์ว่า "ท่านอาจารย์ข้ามาที่นี่คนเดียว ข้าจะเหงาไหมเจ้าคะ" "อืมไม่เหงาหรอก มีพี่ๆอยู่เยอะแยะ เอ้าลีลี่ เจ้าพาหลันเซ่ออิงไปดูเพื่อนๆที่ลานฝึกยุทธ์สิ จะได้ไม่เหงา" อาจารย์เฝอต้วนกำชับ ลีลี่รับคำ "เจ้าค่ะ" ลีลี่อายุสักราวแปดขวบ ได้แนะนำตัวว่าชื่อลีลี่ เป็นเผ่าพันธุ์นางเงือก ครึ่งคนครึ่งปลา "ฮ้าจริงหรอ" หลันเซ่ออิงร้องอุทานด้วยความดีใจที่มีเพื่อนแปลกพิศดาลๆ "จริงสิ ข้าจะแปลงร่างได้ก็ต่อเมื่อข้าโกรธเท่านั้น ยามปกติข้าก็จะเป็นแบบที่เจ้าเห็นนี่แหละ แล้วเจ้าล่ะชื่ออะไร ข้าชื่อลีลี่นะ " ลีลี่เล่าถึงเผ่าพันธุ์ของนางให้หลันเซ่อลิงฟัง หลันเซ่ออิงรู้สึกดีใจมากที่มีเพื่อนรุ่นพี่ที่ใจดีด้วย "ข้าชื่อหลันเช่ออิง เจ้าเรียกข้าว่าอิงอิงก็ได้" ลีลี่ได้พาหลันเซ่ออิงมาที่ลานฝึกยุทธ หน้าหุบเขามีอุปกรณ์การฝึกต่างๆมากมาย ทั้งดาบ กระบี่ พลอง หอก ธนู และมีมนุษย์เผ่าพันธุ์แปลกประหลาดๆอีกมาก มีทั้งครึ่งคนครึ่งม้า ครึ่งคนครึ่งงู ครึ่งคนครึ่งไก่ ครึ่งคนครึ่งผีเสื้อ ครึ่งคนครึ่งราชสีห์ ครึ่งคนครึ่งกวาง ครึ่งคนครึ่งม้า สถานที่พิสดารเช่นนี้ทำให้หลันเซ่ออิงหายเหงาไปได้เลยพริบตา เพราะเพื่อนต่างๆก็อายุรุ่นพี่รุ่นน้อง รุ่นราวคราวเดียวกับหลันเซ่ออิงนี่เอง ทำให้นางรู้สึกสนุกสนานไม่คิดถึงพระราชบิดาพราะราชมารดารวมถึงพี่ๆของนางแล้ว พระอาจารย์ได้ให้หลันเซ่ออิงไปพักห้องเดียวกันกับลีลี่และฉีมู่ ฉีมู่อายุหกขวบ ฉีมู่เผ่าพันธุ์แห่งพญาหงส์ นางเป็นเทพธิดาของพญาหงส์มหาราช ดินแดนแห่งเมืองเหนือที่มีสายลมและป่าดงดิบมวลแมกไม้แต่ละต้นเป็นไม้ใหญ่มาก มีดอกไม้สวยงามนานาชนิด และยังมีหมู่แมลงผีเสื้อครึ่งคนครึ่งผีเสื้อซึ่งเป็นบริวาร แต่ละตัวช่างมีความงดงามไม่แพ้กันเลย ฉีมู่ เป็นเด็กซุกซน เฉลียวฉลาดเกินไว้ นางมีไหวพริบที่เฉียบแหลมมาก สามารถเดาความคิดของคนอื่นออกหมดเมื่อนางจับคางค่อนไปทางหูทั้งสองข้างของนางซึ่งมีตุ่มเล็กๆสองข้างที่ปลายโคนผม ซึ่งไม่มีใครรู้เลย แม้แต่พระราชบิดาพระราชมารดาของนางเอง รวมถึงเหล่าอำมาตย์ก็ไม่รู้ว่าทำไมนางถึงได้รู้ความคิดคนอื่น จึงถูกตั้งข้อกล่าวหาว่าเป็นตัวประหลาดของตระกูลเผ่าพันธุ์พญาหงส์เหล่าอำมาตย์ใส่ร้ายใส่ความเทพธิดาฉีมู่ นางจึงได้ถูกขับออกมาให้มาอยู่ที่วัดแห่งนี้เพื่อสำนึกผิด แท้จริงแล้วเหล่าอำมาตย์เกรงกลัวว่านางจะล่วงรู้แผนการและเป็นภัยต่อเหล่าอำมาตย์ที่กำลังคิดกบฏต่อพระราชบิดานั่นเอง แม้จะยังเป็นเด็กแต่ฉีมู่มีความคิดเป็นผู้ใหญ่เร็ว เนื่องจากความสามารถพิเศษที่ได้รับมาตั้งแต่เกิด หลังจากเกิดมาไม่นานนางก็ล่วงรู้ถึงแผนการของเหล่าอำมาตย์ทำให้นางต้องคอยหาเรื่องให้พระราชบิดา และพระราชมารดามีเรื่องที่ต้องทำอยู่ๆบ่อยๆ ทำให้เหล่าอำมาตย์ที่คิดไม่ซื่อไม่ทราบที่ว่าพญาหงส์มหาราชไปอยู่ ณ ที่แห่งหนใด ทำให้แผนการล่มทุกครั้ง บัดนี้นางอายุได้ 7 ขวบ และถูกขับออกมาจากพระราชวังแห่งพญาหงส์มหาราชแล้ว ต่อไปใครจะคอยคุ้มกันบิดาและมารดาของนาง เมื่อเป็นเช่นนั้น นางจึงได้ให้สาวใช้นางหนึ่งต้องบินมารายงานให้ฉีมู่ทราบทุกวัน เพื่อที่จะเตรียมรับมือทัน แม้จะอยู่ไกลจากเมืองของนางแต่ด้วยความเป็นเผ่าพันธุ์หงส์ จึงทำให้หงส์ทุกตัวบินได้เร็วประดุจลมพัดก็ถึงที่หมายทันที ลีลี่ ฉีมู่ และอิงอิง จึงได้อยู่ห้องเดียวกัน ทั้งสามสัญญากันว่าจะเป็นเพื่อนทุกข์เพื่อนยาก เพื่อนกินเพื่อนตายด้วยกันตลอดไป และจะไม่ทรยศหักหลังกันไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม

วันนี้อาจารย์ให้นักเรียนทุกคนฝึกวิชายุทธลีลาพื้นฐานคือ รำพัดไท่จี๋ซ่าน ซึ่งกลยุทธ์ของวิชานี้คือผู้ที่สามารถมีความเชี่ยวชาญในการใช้พัดเป็นอาวุธแล้ว จะสามารถขี่พัดล่องหนไปได้ทั้งโลกของสวรรค์ มนุษย์ และท่องแดนนรกได้ ซึ่งรุ่นพี่ส่วนใหญ่น้อยคนนักที่จะสามารถใช้วิชาสุดยอดนี้ไปถึงระดับสูงสุดนั้นได้ แต่สำนักของอาจารย์เฝอต้วนก็ยังมีเด็กชายอายุราว 9 ขวบคนหนึ่งมีความสามารถรำพัดไท่จี๋ซ่านได้สง่างามและยังสามารถรู้ความลับของกลยุทธ์วิชาพัดนี้ อีกทั้งสามารถขี่พัดใช้พัดเป็นอาวุธได้ เพียงแต่ยังไม่สามารถควบคุมสมาธิลมหายใจได้ หลันเช่ออิงถามลีลี่ว่า "เด็กชายคนนั้นทำไมเก่งจัง ชื่ออะไร เขาเป็นคนเผ่าพันธุ์ไหนหรอ" "อ่อ เขาเป็นเผ่าพันมนุษย์ เขาเป็นบุตรคนโตของฮ่องเต้เมืองต้าฟาง เขาเป็นราชทายาท จึงได้ถูกส่งตัวมาเพื่อมาฝึกวิชากับอาจารย์ด้วย เขาจะได้เป็นฮ่องเต้ในภายภาคหน้า เขาเป็นคนดีมาก พวกเราเป็นเพื่อนกับเขาได้นะอิงอิง" ลีลี่ตอบ "จริงหรอ ดีจัง ข้ายังไม่เคยเห็นเผ่าพันธุ์มนุษย์แท้ๆสักครั้งเลย เขาจะรังเกียจพวกเราไหม" อิงอิงถามด้วยความอยากรู้ ลีลี่จึงเล่าว่า ตั้งแต่จำความได้มาอยู่ที่นี่หลายปี ก็เห็นหลี่เจี๋ยขยันหมั่นฝึกซ้อม ไม่ได้สนใจใครเลย เขาคงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเราเป็นอะไร เพราะสำนักแห่งนี้อาจารย์เฝอต้วนห้ามทุกคนเผยตัวตนออกมา เพราะอาจจะมีปัญหาขัดแย้งกันได้ คนที่รู้ความลับของเด็กแต่ละคนมีเพียงคนเดียวคืออาจารย์เฝอต้วน เด็กทุกคนที่เป็นครึ่งสัตว์ครึ่งคน จะมีดวงตาพิเศษกว่าดวงตามนุษย์คือสามารถมองทะลุว่าอีกฝ่ายคนเผ่าพันธุ์อะไร เหลือเพียงหลี่เจี๋ยที่เป็นมนุษย์และไม่มีความสามารถพิเศษนี้ได้ แต่หลี่เจี๋ยก็มีความสามารถอื่นๆมากเพราะสติปัญญาดี เฉลียวฉลาดมาก หลี่เจี๋ยถูกฝึกมาตั้งแต่เล็กจากในพระราชวัง จึงเป็นเด็กดีมีมารยาท มีน้ำใจ ชอบเสียสละ มีความเมตตาสูง หลี่เจี๋ยถูกคัดเลือกจากเพื่อนๆให้เป็นหัวหน้าในระดับชั้น มีเด็กๆสาวๆแอบชมชอบกันมาก ทั้งรุ่นพี่ รุ่นน้อง รุ่นเดียวกัน แต่หลี่เจี๋ยรู้ตัวดีว่า ตัวเองนั้นลึกๆแล้วยังมีจิตใจที่อ่อนแอ อีกด้วยภาระหน้าที่ที่ต้องแบกเอาไว้จึงทำให้หลี่เจี๋ยไม่สามารถที่จะเป็นตัวของตัวเองได้ ได้แต่มุ่นมั่นตั้งใจฝึกยุทธ์ตามที่อาจารย์มอบหมายงานให้ วันหนึ่งขณะที่หลันเช่ออิงนั่งมองฝูงปลาในสระน้ำอยู่ดีๆ ก้มๆเงยๆทำให้กำไลหยกคู่ใจตกลงไปในน้ำ ทำให้นางพยายามหากิ่งไม้มาควานหา บังเอิญหลี่เจี๋ยเดินผ่านมากำลังจะไปหาอาจารย์ ก็ได้พบเข้าจึงได้ สอบถามว่า "เจ้ามีปัญหาอะไรให้ข้าช่วยไหม" หลันเช่ออิงกำลังจะร้องไห้แล้วเพราะใช้ไม้ควานหายังไงก็หากำไลหยกไม่เจอ "เอ่อ ข้าๆทำกำไลหยกของข้าตกลงไปในน้ำ กำไลที่มารดาของข้าให้ติดตัวมา ท่านช่วยข้าหาได้ไหม" หลันเช่ออิงร้องขอความช่วยเหลือ "อ่อ ได้ๆ ข้าจะช่วยงมหาให้เดี๋ยวนี้แหละ" ว่าแล้วหลี่เจี๋ยก็ถอดชุดชั้นนอก กระโดดลงไปตรงริมน้ำ ดำลงไปควานหา สักพักก็เจอ ชูมือขึ้นมา "อันนี้ใช่ไหม" หลี่เจี๋ยเริ่มหนาวสั่นเพราะดำน้ำลงไปหาเริ่มนาน "ใช่ๆ อันนี้แหละ ข้าขอบคุณเจ้ามากนะ" หลี่เจี๋ยรีบขึ้นจากน้ำมาใส่เสื้อผ้า และเอาหยกมายื่นให้หลันเช่ออิง" "อ้าวนี่ ของๆเจ้า เอาไป" หลี่เจี๋ยยื่นกำไลหยกให้กับหลันเชออิง หลันเชออิงดีใจมากถามชื่อ "ท่านเป็นคนใจดีมาก ข้าชอบท่าน ท่านชื่ออะไร" หลันเช่ออิงถามด้วยความอยากรู้ "ข้าชื่อ หลี่เจี๋ย ข้าต้องรีบไปพบอาจารย์เฝอต้วนก่อนนะ ข้าสายแล้ว" ว่าแล้วก็รีบแจ้นวิ่งหายลับตาไป ปล่อยให้หลันเช่ออิง ยืนตรงจุดนั้นสักพัก ส่องดูกำไลว่าเสียหายหรือไม่ ปรากฏว่าไม่ได้เสียหายอะไร รีบสวมใส่มือและเดินไปหาเพื่อนๆ