ค่ำคืนอภิเษกขององค์ชายรัชทายาทกับสตรีที่งดงามที่สุดในเมืองหลวงได้ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ในวันเดือนเพ็ญสกาว แต่ถึงกระนั้นองค์ชายรัชทายาทกลับไม่ได้แม้แต่จะชายตาเหลียวมองสตรีที่งดงามนั่นเสียเลย แต่องค์รัชทายาทกลับหนีออกไปจากราชวังหลังจากเข้าพิธีในทันทีทันใด และยังชวนฮงซอกดูไปหาบุตรสาวของหมอจองและชวนพวกนางไปเที่ยวที่งานเทศกาลโคมไฟ
แสงสว่างจากเชิงตะเกียงในพระตำหนักที่กว้างขวางและงดงามราวกับอยู่บนสวรรค์ เจ้าสาวสวมชุดผ้าไหมสีแดงจากแผ่นดินใหญ่และยังงดงามยิ่งกว่าเทพธิดา เจ้าสาวที่ยังคงนั่งรอคอยสามีของนางที่ตั้งแต่ที่งานอภิเษกจนล่วงเลยเวลาเข้าเรือนหอก็ยังไร้วี่แวว เหล่านางในที่สลับผลัดเปลี่ยนกันเข้ามาบอกเวลาและขอให้ผัดเปลี่ยนผ้าผ่อน แต่ว่านางก็ได้แต่ทยอยปฎิเสธเหล่านางใน
ครั้นยามดึกสงัดและอีกเพียงไม่กี่อึดใจจะใกล้รุ่งสาง เจ้าสาวจึงยอมสละชุดผ้าไหมสีแดงปักด้ายดิ้นทองนั้น นางยอมดับไฟในห้องด้วยตนเองและล้มตัวลงนอนอย่างสงบเพื่อจะได้ทำหน้าที่ในตำแหน่งพระราชาขององค์รัชทายาทได้อย่างเหมาะสมในวันถัดไป
ด้านบนศาลากลางน้ำในพระราชวัง องค์รัชทายาทได้จัดเลี้ยงงานวันเกิดให้พระอาจารย์โจแทซอบและยังให้ฮงซอกดูไปเชิญบุตรสาวหมอจองทั้งสองคนมาร่วมงาน และบรรดาทหารที่เคยร่วมฝึกกับพระองค์มาร่วมงาน บรรยากาศที่เต็มไปด้วยความครึกครื่น และเสียงหัวเราะคละเคล้ากันจนส่งเสียงดังไปทั่วบริเวณสวนหย่อมกลางวังหลวง จนกระทั่งพระชายาขององค์รัชทายาทที่เสด็จเดินมาชมสวนดอกไม้ใกล้ๆ เผลอได้ยิน
บริเวณสะพานข้ามหินที่จะข้ามไปศาลากลางน้ำที่มีงานจัดเลี้ยงฉลอง พระชายาหมาดๆ ที่สวมฉลองพระองค์สีขาวราวกับปุยเมฆได้เสด็จเดินผ่านมา พระนางหยุดเดินและเหลียวมองผู้คนที่อยู่บนศาลากลางน้ำครู่หนึ่งแล้วจึงคิดจะเดินเลี่ยงบริเวณนั้นไปอย่างเงียบๆ แต่จนแล้วจนรอดฮงซอกดูที่ได้รับคำสั่งรีบนำคำเชิญขององค์รัชทายาทขอให้พระนางร่วมงานเลี้ยงฉลองงานวันเกิดของพระอาจารย์ของพระองค์
บรรยากาศภายในงานเลี้ยงวันเกิดของโจแทซอบหลังจากที่มีพระชายาขององค์รัชทายาทร่วมโต๊ะ องค์รัชทายาทที่พยายามจะแนะนำบุตรตรีของหมอจอง หมอหญิงที่เก่งกาจและฉลาดที่สุดในวังหลวงให้ทุกๆ คนฟันอย่างประทับจิตประทับใจ และไม่ว่าทหารทุกคนจะถามอะไร บุตรสาวของหมอจองทั้งสองคนก็สามารถตอบได้หมด ยามนั้นพระชายาได้แต่เพียงนั่งฟังและแสดงพระพักตร์ตอบรับอย่างสงบและปฏิเสธไม่ตอบคำถามใดๆ กับทหาร หรือแม้แต่ราชองครักษ์คนใดเลย และถ่อมตัวไปตลอดจนงานเลี้ยงจบลง องค์ชายรัชทายาทจึงอนุญาตให้พระอาจารย์ไปส่งพระชายาของตนที่พระตำหนัก และพระองค์เสนอตัวต่อหน้าทุก ๆ คนว่าจะทรงไปส่งหมอหญิงสกุลจองทั้งสองคนที่บ้านพักด้วยพระองค์เอง
ระหว่างทางกลับพระตำหนักของพระชายา โจแทซอบได้บอกว่า ตนเองนั้นกังวลต่อการแสดงออกขององค์รัชทายาทต่อหน้าพระพักตร์พระชายาในวันนี้ แม้ว่าพระชายาจะแสดงตนต่อหน้าคนอื่น ๆ ว่า ตนโง่เขลา แต่ก็ไม่สมควรที่จะปล่อยปละละเลยสามีของตนต่อหน้าผู้หญิงอื่น
เสียงหัวเราะออกมาเบา ๆ ของพระชายาที่ทำให้บรรดานางในที่ติดตามต่างพากันทำตัวไม่ถูก แต่ถึงอย่างนั้น พระนางก็ได้หาใส่ใจและยังทำเพียงชำเลืองมองมาหาโจแทซอบสหายสนิท
" การถ่อมตนต่อหน้าคนอื่น ไม่ได้แสดงว่า ตนเองนั่นโง่เสมอไป "
" บางครั้ง " พระชายาที่ยังคงแสดงรอยยิ้มกว้าง
" ข้าแทบไม่ได้ยินที่พวกเขาพูดเลยด้วยซ้ำ "
พระชายาบอกล่าวพระสหาย แต่ก็ยังคงเว้นระยะห่างระหว่างหนุ่มสาวที่อาจเป็นผู้คุ้นเคยกันมาก่อน และเพราะด้วยวาจาและเหตุผลของพระนาง โจแทซอบจึงทำได้เพียงแต่เฝ้าเสด็จเดินตามอย่างรักษาระยะตลอดเส้นทางไปด้วยเช่นกัน
คืนนั้น องค์รัชทายาทได้บุกรุกเข้าไปพระตำหนักพระชายาด้วยความึนเมาในน้ำสุธารส พระองค์ทรงบุกรุกเข้าไปในขณะที่พระนางได้เตรียมหลับนอนในพระตำหนัก และพระองค์ก็ทรงเริ่มที่จะข่มขู่และระรานพระชายาด้วยสายตาและคำพูดจาที่หยาบคายอีกเหมือนเดิม
" ไม่เพียงแต่เจ้าจะเป็นคนโง่เขลาเบาปัญญา "
" แต่ไม่คิดว่า เจ้าจะทำให้ข้าอับอายได้ถึงเพียงนี้ "
" พัคซูยอน !!! " ในที่สุดองค์รัชทายาทก็เอ่ยชื่อของนางออกมาจนได้
" เจ้าทำไมถึงไม่ข้าตัวตายไปซะ !! "
" ข้าตัวตายต่อหน้าข้า เดี๋ยวนี้เลย !!! "
องค์รัชทายาทโกรธและเดือดดาลและพูดถึงเรื่องงานเลี้ยงเมื่อกลางวันไม่หยุด พระองค์ทรงตรัสพ้อด่าทอว่าเป็นเพราะนาง พระองค์ถึงได้กลายเป็นตัวตลกต่อหน้าพวกทหารว่า พระชายาของพระองค์สู่หมอหญิงไม่ได้เอาเสียเลยด้วยซ้ำ
พัคซูยอนถูกกระชากด้วยน้ำมือของสามีแค่ในนามของตัวเอง หรือองค์รัชทายาทผูู้ทรงเปรียบตัวเองว่าสูงส่งสุดกำลัง แต่นางก็ไม่ทรงที่จะคิดหนีและยังต่อสู้กับความโหดร้ายนั่นด้วยสายตาที่เย็นชาสู้กลับทรงจ้องพระเนตรและพระพักตร์ของสามีอยู่แบบนั้น
" พระองค์จะทรงเหยียบย้ำหม่อมฉันได้มาก..... "
" จนเท่าที่ ! พระองค์จะพอพระทัย "
" หม่อมฉันจะไม่หนี ตราบใดที่..."
" ความโกรธแค้นของพระองค์จะหมดไป "
สายพระเนตรของพระชายาที่แทบจะไม่ไหวติงกับคำสบท และแสนจะหยาบคายขององค์ชายผู้ซึ่งเป็นองค์รัชทายาทที่มีแต่คนทั้งแผ่นดินยอมถวายหัวให้
องค์รัชทายาก็เลยต้องผลักนางไปบนฟูกแทนที่จะเป็นที่พื้นไม้อันเย็นเฉียบ และพระองค์ก็เป็นคนที่เลือกจะหลบสายตาของพัคซูยอน
" ถ้าพระองค์ออกจากห้องหม่อมฉันไป " พระชายาที่รีบร้องห้ามทันที่องค์รัชทายาในขณะที่จะเสด็จพ้นประตู
" ผู้คนในวังหลวงจะพากันคิดว่า องค์ชายรัชทายาทเป็นผู้ไร้ซึ้ง....น้ำพระทัย"
" แต่ถ้าหากพระองค์จากห้องหม่อมฉันไปในวันรุ่งขึ้น "
" การเมืองที่ทรงคาดหวังก็จะเปลี่ยน "
พัคซูยอนยอมลุกขึ้นและจัดเตรียมฟูกที่นอนผืนใหญ่ให้กับองค์ชายรัชทายาท และไม่นานในขณะที่พระองค์ยอมทำตามที่พัคซูยอนขอร้อง ในเวลาเดียวกันพระองค์ที่ทรงเห็นนางเดินไปนั่งอย่างสงบอยู่ที่ผนังห้องอันเย็นเฉียบซะเอง
ฟ้าสางแล้ว ฮงซอกดูกลับมาที่ตำหนักขององค์รัชทายาทแต่ไร้ซึ่งวี่แววของพระองค์ เหล่านางในได้บอกกับฮงซอกดูว่า องค์ชายรัชทายาทยังคงประทับอยู่ที่พระตำหนักของพระชายา ฮงซอกจึงรีบเร่งฝีเท้าไปที่ตำหนักของพระชายา แต่ทว่า....
แต่ทว่า...โจแทซอบที่ยังยืนอยู่เบื้องประตูทางเข้าตำหนักพระชายาก่อนหน้านั้น เพราะฉะนั้นเขาถึงได้เดินเข้าใกล้แต่ก็ยังช่วยรักษาห่างไว้พอประมาณกับพระอาจารย์ของว่าที่พระราชา และขณะเดียวกันฮงซอกดูถึงได้รู้ว่า....เสียงลมหายใจของเขาหนักอึ้งเพียงใด
พัคจินอูรีบร้อนเดินเข้าที่ล็อบบี้ของอพาร์ทเมนต์อย่างรีบร้อน แต่ชเวกียุลที่พยายามเร่งฝีเท้าเดินตามเธอไปจนถึงประตูหน้าลิฟต์ มิหนำซ้ำยังเดินเข้าไปยืนขวาง
" ที่นี้จะอะไรอีกละ " เธอทำหน้าเมินใส่เขาก็เพราะกลิ่นแอลกอฮอล์ที่ติดตามเนื้อตัวของชเวกียุลอยู่ด้วย
" คุณอยากให้ฉันกลับพร้อมกัน "
" ฉันก็ตามที่คุณสั่งแล้ว "
" ที่นี้ ! " เธอที่ถึงกับต้องคอยเบือนหน้าหนี
" จะอะไรอีก " เธอพยายามนึกหาสิ่งที่ชเวกียุลต้องการ แต่เขาก็ยังไม่ยอมที่จะขยับ ชเวกียุลที่เอาแต่คอยจ้องไปที่เธออยู่เรื่อย ๆ
" พัคจินอู เธออยากจะมาเป็นเลขาของฉันจริงๆ หรือเปล่า " เขาจริงจังและคอยสังเกตเธอ แม้ว่าพัคจินอูจะดูแปลกใจนิดหน่อย
แต่เธอก็ไม่ได้คิดที่จะปฏิเสธ
" อยู่ๆ ทำไมถึงได้ถามฉันแบบนี้ "
เขาสายหน้า
" ฉัน ! " และถึงแม้ว่าเขาจะกระอักกระอวน
" ก็ในงานเลี้ยง เธอเอาแต่คอยช่วยพี่ชายฉัน "
" เธอคอยช่วยเขาตอบคำถาม ไหนจะช่วยพี่เขาจัดการพวกนักข่าวพวกนั้นอีก "
" แล้วฉันละ ! "
" เธอปล่อยให้ฉันเหนื่อยอยู่คนเดียว " เขาบ่นร่ายยาวจนลืมตัว และเธอที่เหมือนจะกดเปิดประตูลิฟต์และเดินแทรกตัวกลับขึ้นลิฟต์ไป
" นี่ ! พัคจินอู ! "
" เธอไม่ได้ยินที่ฉันพูดอยู่หรือไงนะ ห๊ะ ! " เขายังคอยบ่นตาม แต่ก็ยังคอยตามเธอกลับขึ้นลิฟต์ไปที่อพาร์ทเมนต์ของพวกเขา
" เชอะ ! " เขาค้อน
" เธอนี่มัน ! "
" ใจดำชะมัด ! " เขาบ่นแม้แต่ตอนอยู่ในลิฟต์กับพัคจินอู แต่ดูยังไงๆ เธอก็ไม่มีท่าทีว่าจะสนใจอะไรต่างๆ นานาที่เขาพูออกมาเลยสักนิด และยังจะเดินออกจากประตูลิฟต์ทันทีที่ประตูเปิด
" ฉันเหนื่อยแล้ว " เธอที่แค่หันกลับมาบอก
" เอาไว้ "
" เจอกันพรุ่งนี้ แล้วฉันจะคอยช่วยเหลือ และตามใจคุณทุกอย่างเลย "
" โอเคมั้ยค่ะ " เธอที่ยังคงทำหน้าเหนื่อย
" ทำตอนนี้ไม่ได้เลยหรือยังไง " เขาที่รีบเดินเข้าหาและตอบคำถามอย่างทันควัน และอีกอย่างเขายังเผลอเดินเข้าใกล้ๆ ตัวเธออย่างไม่รู้ตัว จนเธอต้องก้าวถอยห่างอีกนิด
" นี่ก็ดึกมากแล้ว "
" และฉันก็คิดว่า...ท่านรองประธาน "
" คงจะดื่มมากไปแล้วจริง ๆ " เธอบอกและกำลังจะขอตัว แต่เขาก็ยังจะพยายามรั้งเธอไว้
" ฉันหิว !! " เขารีบขอร้อง
" ที่งานเลี้ยง ฉันดื่มหนักไปหน่อยก็จริง "
" แล้วก็ยังแทบไม่ได้กินอะไรรองท้อง โอ้ยย..." เขาโอดครวญและทำท่าเหมือนจะเป็นจะตายอยู่หน้าประตูห้องเธอ
" ฉันหิวจนแสบท้องไปหมดเลยย... พัคจินอู "
" เธอจะไม่ช่วยอะไรฉันหน่อยหรือยังไง "
" ไหนว่าจะตามใจฉันทุกอย่างไง "
" ช่วยตามใจฉัน ! ตอนนี้ไม่ได้เลยหรือยังไง "
" เธอเป็นเลขาของฉันจริงๆ หรือเปล่ากันแน่ " ยิ่งเห็นเธอนิ่งๆ เขาก็ยิ่งเล่นละครตบตาแสแสร้างว่าเขาเองทรมานกับความหิวมากแค่ไหน
" ก็ได้ค่า....." เธอยอมตกลง เพราะเห็นแก่ความพยายามชเวกียุล และเปิดประตูยอมให้เขาตามเธอกลับเข้าไปในอพาร์ทเมนต์ของตัวเองจนได้ และเดินตรงไปที่ครัววางกระเป๋าถือไว้บนโต๊ะอาหาร
เธอเปิดตู้เย็นและค้นข้าวของออกมาสองสามอย่าง
" ฉันจะทำซุปแก้เมาให้ "
" จริงๆ ก็ไม่เห็นจะต้องดื่มกับแขกทุกคนในงานเลยด้วยซ้ำ " เธอบ่นร่ายยาวใส่เขากลับไปบ้าง และบางทีก็แอบมองชเวกียุลที่กำลังพยายามถอดเสื้อสูทและหย่อนตัวลงนั่งบนโซฟาของเธอ
" พัคจินอู "
" เธอมันจะไปรู้อะไร " เขาตอบ และหงายหลังพิงโซฟาและก็ยังแอบมีรอยยิ้มเล็ก ๆ ที่มุมปาก
" ถ้าหากเราไม่รู้จักคนพวกนั้นว่า เขาต้องการอะไร "
"จากเรา " เขาทำท่าคิด
" เราก็ต้องเริ่มจากการพูดคุยทำความรู้จักกับพวกเขาก่อน "
" จริงไหม " เขาก็แค่บอกสาเหตุที่ตัวเองต้องเดินจับมือคนไปทั่วงาน
" หรือว่า เธอไม่สังเกต " เขาชำเลืองพัคจินอูที่อยู่ในครัวด้วยหางตา แต่ว่าเธอก็แอบชำเลืองมองเขาตอบกลับมาเหมือนกัน
พัคจินอูที่ยังสวมชุดราตรียาวสีฟ้าน้ำทะเล และมิหนำซ้ำเธอยังต้องคอยจัดเตรียมซุปผักให้กับพวกรองประธานขี้เมาที่กำลังปลดกระดุมแขนเสื้อและก็กำลังเดินเข้ามานั่งที่โต๊ะกินข้าวของเธออย่างสบายใจสุด ๆ
" เชิญท่านรองประธานตามสบายนะคะ "
" ส่วนฉัน " เธอก้มมองชุดกระโปรงยาวที่ไม่ทะมัดทะแมง
" จะขอไปเปลี่ยนชุดพวกนี้ซะหน่อย " เธอบอกและกำลังจะเดินหันหลัง แต่จู่ๆ เขาดันเอื้อมมือมาจับที่ข้อมือ
เธอเหลียวหันไปมองหน้าชเวกียุลแทบจะทันที และทันทีที่เขาเงยหน้าหันกลับมาสบตาของเธอ สายตาของเขามันช่างทำให้เธอหวั่นไหว
" อะไร " เธอที่ไม่เข้าใจ และก็ยังพยายามจะค่อยๆ ดึงมือกลับ
" คุณต้องการอะไร " เธอพยายามซ้ำ ๆ และสายตาของเธอเองที่เริ่มประหม่า เพราะสายตาของชเวกียุลเหมือนจงใจที่จะบอกอะไรบางอย่างจนทำให้เธอต้องยอมแพ้
ชเวกียุลจงใช้สายตาอ้อนวอนขออะไรจากเธอบางอย่าง และยังประคองมือของเธอด้วยความทะนุทะนอม
" เธอรู้ตัวหรือเปล่า ..." เขากำลังจะบอกกับเธอว่า
" กลิ่นของผักต่างๆ กับเครื่องปรุงรสพวกนั้น "
" พอฉันได้กลิ่นของพวกมัน "
" กระเพาะของฉันพวกมันก็อิ่ม ก่อนที่จะ.."
" ได้ลองชิมน้ำซุปจริงๆ ของเธอซะอีก "
" พัคจินอู " เขาใช้สายตาเว้าวอนเธอโดยที่ไม่รู้ตัว จนมันทำให้เธอต้องหยุดชะงักไปทุกสิ่งและจ้องมองเข้าไปในดวงตาของชเวกียุลให้มากขึ้น
" คุณกำลังจะบอกอะไรกับฉัน ! กันแน่ " เธอรู้สึกสน เพราะในดวงตาของชเวกียุล เธอที่แทบจะมองไม่เห็นสิ่งอื่นซะนอกจากตัวเองที่ยืนอยู่ตรงหน้า
" เป็นไปไม่ได้ " เธอโผล่งออกมาอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
" ทำไมละ " และเขาย้อนถามเพราะได้ยิน
" หรือว่า ...เธอ "
" เธอกำลังมองเห็นอะไรในตัวฉัน ใช่หรือเปล่า " เขาถามและยังแอบอมยิ้ม แต่กลับกันยิ่งจับมือของพัคจินอูนานมากขึ้นเท่าไหร่ และมองนัยย์ตาของเธอมากขึ้นเท่าไหร่ เขาก็กลับรู้สึกตัวเองขึ้นมาจนต้องยอมปล่อยมือ
ธอที่ยังยืนนิ่งๆ และคิดทบทวนคำตอบอยู่ในหัว
" ฉันเป็นนักเขียนที่มีพรสวรค์นะ คุณจะไปรู้อะไร " และก็พยายามบ่ายเบี่ยง
" แค่ฉันเห็นคุณ "
" ฉันก็พอจะจินตนาการได้ว่า คุณเป็นยังไง " เธอยังคงแกล้งพยายามเปลี่ยนเรื่อง แต่ชเวกียุลก็กลับแสยะยิ้มออกมา
" ว่ามาเลย " เขาเอนตัวพิงเก้าอี้ และท้าทายคนแบบเธอ
" เชอะ ! " แต่เธอกลับสายหน้า และปฏิเสธที่จะอยู่พูดคุยกับเขาต่อจนต้องรีบหันหน้าและกำลังจะเดินหนีกลับเข้าห้องนอน
" นี่ !!! " เขาตะโกนตามหลัง
" บอกมาสิ ! "
" บอกมาว่า ฉันเป็นคนยังไง !!" เขาแกล้งตะโกนตามหลังเธอไปติด ๆ และยังคอยกลับมานั่งๆ และอมยิ้มอยู่คนเดียวและยังคอยมองอาหารที่เธอทำไว้ให้
" ที่แท้...ก็ยังขี้ขลาดเหมือนเดิม " เขาบ่นพึมพำและยังแอบยิ้มอยู่คนเดียวอยู่อย่างนั้น แต่ไม่รู้เพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์พวกนั้นหรือเปล่าที่ทำให้เขาได้ทำตามใจตัวเองได้ถึงขนาดนี้
พัคจินอูที่เพิ่งจะเปลี่ยนสวมเสื้อยืดและกางเกงนอนขายาวเดินออกจากประตูห้องนอน เธอที่กำลังเดินและมองเข้าไปที่ครัว แต่ก็มองเห็นแค่ถ้วยซุปและแก้วน้ำที่วางอยู่ แล้วคนละ ! ชเวกียุลคนๆ นั้นหายไปไหนแล้ว เธอเหลียวมองไปที่ห้องรับแขก
" หืม " เธอถึงต้องกับถอนหายใจแรง เพราะว่าชเวกียุลหงีบหลับอยู่บนโซฟาในห้องรับแขกของตัวเอง
และเธอยังก้าวเดินช้าๆ ตรงเข้าไปที่โซฟาและมองชเวกียุลนอนหลับอยู่ เธอยืนมองชเวกียุลที่สวมเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงชุดสูทสีกรม และมือของชเวกียุลข้างหนึงที่พาดวางไว้บนหน้าอกของเขา และมืออีกข้างหนึ่งเพิ่งจะหล่นพาดอยู่โซฟาจนทำเธอยืนมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าและมองไปมาสลับกันช้า ๆ และถึงค่อยๆ ขยับเข้าหาโซฟาที่เขากำลังนอนอย่างไม่หักห้ามใจ
เวลานี้....พัคจินอูที่ไม่มั่นใจว่า เธออยากจะปลุกเขาขึ้นมาและรีบไล่ชเวกียุลกลับห้องไปซะ ! หรือว่าเธอเองอยากจะปล่อยให้ชเวกียุล และอยากจะปล่อยให้เขานอนสบายหลับฝันไปพร้อมๆ เธอในคืนนี้กันแน่นะ !
มือของเธอกำลังเอื้อมเข้าหาฝ่ามือของชเวกียุลอย่างช้า แต่ว่า...เธอคงต้องหยุดและเว้นช่างว่างนั่นเอาไว้และได้แต่แอบนั่งมอง.....
เด็กผู้หญิงอายุราวๆ เจ็ดขวบที่กำลังวิ่งหนีอยู่ในโรงพยาบาลจิตเวช เด็กน้อยเอาแต่วิ่งร้องไห้และพยายามจะหาที่หลบซ่อนไม่ให้ใครก็ตามหาตัวเธอได้ ครั้งเธอแอบเดินหลบ ๆซ่อน ๆ ไปตามแผนกต่างๆ ของโรงพยาบาลสายตาของเธอก็ดันหันไปชำเลืองมองเห็นประตูห้องๆ หนึ่งที่กำลังแง้มเอาไว้ และเธอที่ค่อยๆ ย่องเข้าไปแอบมองผ่านประตูบานนั้น
เด็กหญิงแอบมองลอดช่องประตูและเห็นคร่าวๆ ว่า เด็กผู้ชายคนหนึ่งอายุรุ่น ๆ น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกันกับเธอกำลังนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย เด็กหญิงที่มองเห็นหน้าเด็กผู้ชายคนั้นไม่ชัดนัก แต่ว่าเธอที่กำลังได้ยินเสียงหมอคุยกับคนที่อยู่ในห้องๆ นั้นอย่างเสียงดังฟังชัดว่า พวกเขาอาจจะต้องใช้วิธีสะกดจิตเพื่อให้เด็กคนนี้ลืมเรื่องอุบัติเหตุที่ร้ายแรงนั่นซะ และผลค้างเคียงมากที่สุดคือการลบความทรงจำทั้งหมดที่มีและเริ่มป้อนข้อมูลให้ซะใหม่ แต่เมื่อพวกเขาเห็นว่าเด็กผู้ชายเริ่มขยับตัว พยาบาลก็รีบเข้ามาฉีดยาให้เด็กผู้ชายคนนั้นทันทีและไม่นานเท่าไหร่เด็กคนนั้นก็นอนหลับราวกับว่า เขาจะตื่นขึ้นมาไม่ได้อีกแล้ว
เด็กหญิงรู้สึกตกใจและหวาดกลัวกับสิ่งที่ได้เห็นและได้ยินมาว่า ถ้าหากเธอได้อยู่ที่นี้เพื่อรักษาอาการประหลาดที่เกิดขึ้นกับเธอหลังจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นบนเรือลำนั้น ไม่แน่ว่า ! พ่อและพี่ชายของเธออาจจะทำกับเธอเหมือนเด็กผู้ชายคนนี้แน่ ๆ เด็กน้อยน้ำตาไหลจนสะอึก
แต่ทว่า ฝ่ามือปริศนาที่จู่ๆ ก็มาปิดปากของเธอไว้จนเธอไม่กล้าขยับและยิ่งหวาดกลัวมากยิ่งขึ้น
" อย่าร้องนะ !! " เด็กผู้ชายใช้มือปิดปากห้ามเด็กผู้หญิงไว้และคอยห้าม เด็กผู้หญิงที่หวาดกลัวอยู่แล้วก็กยิ่งหวาดกลัวมากขึ้น
เธอยืนตัวแข็งทื่อและได้แต่ทำตามที่เด็กผู้ชายคนนั้นบอก จนกระทั้งในที่สุดเด็กผู้ชายคนนั้นยอมลดมือลงและหันไปจับมือเธอและพากันวิ่งหนีออกจากประตูบานนั้น
เด็กผู้ชายวิ่งและคอยจับมือเด็กสาวพากันวิ่งขึ้นไปบนดาดฟ้าของโรงพยาบาล เธอเพิ่งจะเกตุว่าเด็กผู้ชายคนนี้ก็ยังจะสวมชุดโรงพยาบาลของที่นี้ด้วย
เด็กผู้ชายคอยจับมือของเด็กผู้หญิงและพากันวิ่งไปจนถึงมุมระเบียงของชั้นดาดฟ้าของโรงพยาบาล เด็กชายจับมือเธอไว้แน่นจนทำให้เด็กหญิงเขินอายบ้างแล้ว
"เธอ ! " เด็กหญิงถามด้วยความสงสัยว่า
" อยู่ที่นี้ ! ใช่ไหม ! " เธอตั้งคำถามกับเด็กผู้ชายคนนั้น และไม่นานนักเด็กผู้ชายคนนั้นก็ตอบกลับเธอ
" ใช่แล้ว " เขาตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
" เธอป่วยอยู่หรือเปล่า " เธอถามอีก และเด็กผู้ชายคนนั้นได้แต่พยักหน้าและสายตาที่ดูราวกับเจ็บปวด
"ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน " เขาตอบด้วยเสียงสั่น ๆ แต่ก็ยังไม่ได้ปล่อยมือของเธอลง แต่ว่าเธอก็ยังคงจ้องมองไปที่สีหน้าและท่าทางของเด็กผู้ชายคนนั้นอยู่ตลอดแม้จะกลัวเขาก็เถอะ
" นายป่วยเป็นอะไร " เธอถามอีก และก็เหมือนเดิมเขาพยักหน้าและมองลงต่ำ
" ใช่ ฉันเป็นผู้ป่วยของที่นี้ แล้วยังไงละ " เขาฝืนพูด
" แต่ฉันก็ไม่รู้ว่า ฉันป่วยเป็นอะไรกันแน่ "
" เธอว่า ฉันเหมือนคนเป็นบ้าหรือไม่ใช่กันแน่ " เขากัดฟันพูด แม้ไม่ได้อยากจะรู้คำตอบอะไรอยู่แล้ว แต่เขาก็อยากรู้
ตอนนี้ สายตาของเธอเริ่มค่อย ๆ เปลี่ยนทีละนิดและกลายเป็นความเห็นอกเห็นใจเพื่อนใหม่คนนี้ขึ้นมาแทน
" เธอไม่เห็นจะบ้าตรงไหน " เธอยิ้ม
" แล้วฉันละ " คราวนี้ เธอเป็นฝ่ายจับมือของเขาเอาไว้แน่นๆ แทน
" ฉันเหมือนคนเป็นบ้าหรือเปล่าละ " เธอยิ้ม ๆ อย่างดีใจที่ได้จับมือกับเขา
เขาส่ายหน้าและค่อยๆ มองกลับมาที่เธอพร้อมๆ กับรอยยิ้มเหมือนๆ กัน
" ไม่เลย " เขาบอก แต่ทว่าจู่ๆ เขาก็รู้สึกมองเห็นอะไรบางอย่างขึ้นมาบ้างแล้วจนต้องรีบปล่อยมือของเด็กผู้หญิงคนนั้นลง
" แต่ว่า...." จนกระทั่งทั้งสองคนก็เริ่มสับสน
" เธอนะ !! " เขาประหม่าในที่สุด
" เป็นใครกันแน่ ! " เขา และ เธอ ! ต่างที่ก็พูดขึ้นมาพร้อมๆ กัน !!!
พัคจินอูนั่งอยู่ข้างเตียงผู้ป่วยที่มีสายระโยงระยางเต็มไปหมด เธอที่คอยจับมือพัคแทซันที่นอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงอยู่เงียบๆ ภายในห้องไอซียู แม้ว่าบาดแผลตามร่างกายได้ทุเลาลงไปบ้าง แต่ทว่าอาการที่ได้รับผลกระทบภายในร่างกายดูเหมือนว่า พี่ชายของเธอยังไม่มีอาการดีขึ้นมากนัก
" พี่ค่ะ" แต่ทว่าเธอก็ยังอยากจะบอกเรื่องร่าวต่างๆ และเล่าให้พี่ชายเธอฟัง
" คนพวกนั้นนะ " และน้ำเสียงปนเศร้า
" พวกเขายังคงไม่เคยคิดที่จะเปลี่ยนแปลงอะไร " สายตาของพัคจินอูมองต่ำ
" ที่พี่ต้องเป็นแบบนี้ "
" ก็เพราะว่าปกป้องพวกเราทุกคน และก็..."
" ฉัน ! "
" ฉันไม่น่าเกิดมาเป็นน้องของพี่เลยด้วยซ้ำ ทั้งๆ ที่ "
" ที่ผ่านมา.....ฉัน "
" ไม่เคยทำเพื่อพวกเราเลย แม้แต่สักครั้งเดียว ก็ไม่ " น้ำเสียงสะอื้นเล็ก ๆ แต่ดังกึกก้องในห้องผู้ป่วย
พัคจินอูที่คอยนั่งจับมือพัคแทซันพี่ชายตัวเองที่นอนแน่นิ่งเหมือนราวกับชายนิทรา และเวลาตอนที่จับมือกันกับพี่ชายตัวเองก็ราวๆ เหมือนกับกำลังมองเห็นเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมา ราวกับว่ามันเพิ่งจะผ่านไปไม่นาน ทั้งเรื่องที่เธอเป็นต้นเหตุให้พี่ชายตัวเองขึ้นไปที่เครื่องบินลำที่เกือบถูกวางระเบิด แต่โชคร้ายที่คนกลุ่มหนึ่งทำร้ายเขาและพยายามจะสืบหาเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ว่ากันว่า รัฐบาลเกาหลีได้ปกปิดตัวตนของเธอเอาไว้ และก็อีกหลายเรื่องราวที่เธอมองเห็นด้วยการกุมมือของพัคแทซันพี่ชายตัวเอง
บันไดทางขึ้นลงหน้าสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินบริเวณใกล้ๆ กับห้างสรรพสินค้าที่มีคนผลุกพล่าน พัคจิอึนที่เพิ่งจะหยุดเดินตรงทางลงบนใดเลื่อนของสถานีรถไฟฟ้า เธอสูดหายใจเข้าและเริ่มขยับเท้าลงบันได ระหว่างนั้นฮวังอินซอง กับ ยุนเจอี และคังจูวอน ที่ทุก ๆ คนต่างพากันปะปนไปกับผู้โดยสารคนอื่นๆ ภายในสถานีก็กำลังเฝ้ามองพัคจิอึนคล้ายๆ ทุกคนพยายามดูแลเรื่องความปลอดภัย
พัคจีอึนยืนอยู่บนบันไดเลื่อน และเธอยังรู้สึกเหมือนๆ มีใครบางคนกำลังคอยตามเธออยู่ แต่ว่าเธอก็ปล่อยให้เลยตามเลยไปก่อน
ในระหว่างที่พัคจีอึนและคนอื่นๆ ยืนปะปนกับผู้คนในสถานีเพื่อที่จะรอรถไฟฟ้าเทียบชานชาลา ทั้งพัคจินอูและคนอื่นๆ พยายามที่จะมองสอดส่ายตาไปๆ มาๆ ระหว่างพัคจินอูและผู้โดยสารพวกนั้นราวๆ กับว่าผู้คนพวกนั้นเป็นผู้ต้องสงสัย และในขณะที่รถไฟฟ้าเข้ามาเทียบที่ชานชาลา บรรดาผู้โดยสารก็ต่างพากันรีบเร่งเข้าไปข้างในรถไฟฟ้า และรวมถึงพวกของพัคจินอูต่างทยอยขึ้นรถไฟไปตามประตูทางเข้าอื่นๆ ไปพร้อมๆ กัน
ผู้โดยสารภายในรถไฟฟ้าขบวนนี้ดูเหมือนว่าจะคับคั่งเป็นพิเศษ เพราะเป็นสถานีศูนย์กลางแหล่งใจกลางเมือง พัคจิอึนที่พยายามจะเดินแทรกผู้โดยสารเหล่านั้นไปที่ตู้ผู้โดยสารหมายเลขสอง ซึ่งในขณะเดียวกันฮวังอินซอง ยุนแจอี และคังจูวอน ทุก ๆ คนที่ก็พยายามทำคล้ายๆ กันกับพัคจินอู และต่างทยอยกันไปตามตู้ผู้โดยสารหมายเลขหนึ่ง หมายเลขสามตามลำดับ พวกของพัคจิอึนดูท่าทางพวกเขากำลังเหมือนมองหาใครบางคนและกระเป๋าที่ผู้โดยสารทุกคนบนรถไฟฟ้าที่กำลังถืออยู่อย่างใกล้ชิด
พัคจินอูตั้งใจมองหาใครบางคนอยู่บนตู้ผู้โดยสารหมายเลขสอง เธอพยายามจะเดินเบียดผู้โดยสารคนอื่นๆ เพื่อมองหาใครสักคนหนึ่งบนตู้ผู้โดยสารหมายเลขสอง และจู่ๆ ก็มีมือปริศนากลับเข้ามาดึงแขนของเธอ
พัคจินอูตกใจจะต้องรีบหันกลับมา และเห็นผู้ชายที่สวมเสื้อแจ็กเก็ตหนังสีดำและสวมแว่นตาดำสวมหมวกอำพรางใบหน้า
" นี่นาย !! " พัคจินอูตกใจสุดขีดที่คนๆ นั้นเป็นชเวกียุล และเขาก็ยังพยายามที่จะลากและดึงตัวเธอออกมาจากตรงนั้น
" นี่คุณคิดที่จะทำอะไร " เธอยังไม่เข้าใจกับการกระทำของเขา
" รู้หรือเปล่าว่า คุณกำลังทำอะไรอยู่ " เธอพยายามยามห้ามเขา แต่ว่าชเวกียุลก็ยังคงคอยใช้ตัวเขาเองบังพัคจินอูจากสายของใครบางคน
" มันเปลี่ยนไปแล้ว ! " เขากระซิบ
" สิ่งที่เธอเห็นที่งานเลี้ยง "
" มันไม่ใช่ความจริง ! " เขากระซิบบอกกับเธอ และพยายามจะพาตัวเธอออกมาจากตู้ผู้โดยสายหมายเลขที่สอง จนะกระทั้งฮวังอินซอง ยุนแจอี และคังจูวอน ทุก ๆ คนต่างพากันรีบเอามือแตะที่ใบหูและพูดคุยกันผ่านหูฟังวิทยุไร้สายที่พวกเขาแอบใช้ และพวกเขาทุก ๆ คนต่างพากันถามพัคจินอูว่าเกิดอะไรขึ้น
ชเวกียุลที่พยายามพาตัวพัคจินอูลากตัวเธอออกมาจากตู้ผู้โดยสารหมายเลขสองได้สำเร็จ และพัคจินอูก็เลยต้องรีบยกมือขึ้นมาและแตะที่วิทยุที่เสียบไว้ที่ใบหูด้านขวาของเธอด้วย
" ทุก ๆคน "
" ถอยออกมาได้ " พัคจินอูสั่งพวกเธอ
ชเวกียุลแสดงท่าทีโล่งอกที่พัคจินอูยอมทำตามคำขอร้องอย่างว่าง่าย ว่าแต่ว่าเธอที่ยังคงหันมองไปรอบๆ ด้วยความกังวลจนทำให้พวกเขาสงสัย
" ทำไม " ชเวกียุลรีบมองตาม
" มีอะไร " และก็ยังคอยตั้งคำถามพร้อมกับหันมองไปรอบๆ และมองไปที่พวกของเขาที่มีกันอยู่เกือบ ๆ นับสิบที่ยังปะปนกับคนของพัคจินอู
" อ่อ เรื่องนี้เองสินะ " เพราะฉะนั้นเขาถึงตั้งที่ที่จะเปิดเผย
" เอาไว้ ฉันจะอธิบายทีหลัง "
" แต่ว่าตอนนี้ พวกเรารีบออกไปจากที่นี้กันก่อนดีกว่า " ชเวกียุลที่ยังไม่นิ่งนอนใจกับสถานการณ์แปลก ๆ นี้สักเท่าไหร่ ถึงแม้ว่าตัวเองยังคงไม่เข้าใจว่า ทำไม ! พัคจินอูถึงไม่ได้ดูมีท่าทีสงสัยอะไรในตัวของพวกเขาเลย
ชเวกียุลรีบพาตัวของพัคจินอู และพวกของเธอกลับขึ้นไปที่ทางออกของรถไฟฟ้าใต้ดินทันที และในขณะที่รถแวนสีดำสองสามคัน และรถซีดานสดำกำลังเคลื่อนที่มาด้วยความเร็วกำลังจะมาถึงหน้าทางออกของสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน
ปัง ! ปังๆ !! เสียงปืนดังสนั่นหน้าสถานีรถไฟฟ้า จนพวกเขาทุกๆ คนต่างพากันรีบวิ่งหนีหลบลูกกระสุนกันให้จ้าละหวั่น
" เธอไม่เป็นอะไรใช่ไหม! " ชเวกียุลที่ใช้ตัวเองบังตัวของพัคจินอูเอาไว้
" อย่าอยู่ห่างฉัน เข้าใจไหม " และเขายังกำชับเธอ และรีบควักปืนออกมาและหันมองไปรอบ ๆ ที่ ๆ ตอนนี้ พวกของเขาแต่ละคนก็ต่างพากันหลบลูกกระสุนตามซอกมุมของสถานนีรถไฟฟ้า
ปัง ! ปังๆ ! ปังๆๆ !! เสียงปืนรัวๆ ดังสนั่นไม่หยุด และรถแวนสีดำสามสี่คันที่พยายามจะขับเคลื่อนมาเป็นโล่บังกระสุนให้กับพวกเขา
ผู้คนในละแวกสถานนีรถไฟฟ้าที่พากันแตกตื่นเพราะเสียงปืน ผู้คนที่ต่างพากันวิ่งหนีต่างพากันเอาตัวรอด ชเวกียุลที่ยังคงใช้ตัวเองบังพัคจินอูเอาไว้ที่มุมตึกของสถานนีรถไฟฟ้า เขาพยายามที่จะคอยกวาดสายตามองไปรอบๆ เพื่อที่จะหาทางหนี
ปัง ! ชเวกียุลยิงใส่ผู้ชายชุดดำปริศนาจนล้มลง
" เราต้องรีบออกไปจากที่นี้ ! " ชเวกียุลหันไปบอกพัคจินอู ซึ่งตอนนี้เธอที่ได้แต่ทำตามที่เขาบอกอย่างว่าง่ายและอย่างไม่คิดที่จะขัดขืนอะไรทั้งนั้น
ชเวกียุลรีบคว้าที่มือของเธอและยังจะรีบพาเธอวิ่งไปขึ้นรถซีดานสีดำของพวกเขาที่จอดรอยู่ เขารีบพาเธอขึ้นรถและเขาที่รีบวิ่งไปเปิดประตู้ฝั่งคนขับและรีบขับรถพาเธอออกไป
ปัง ! ปัง ! เสียงกระสุนปืนสองนัดที่เพิ่งจะยิงโดนพวกผู้ชายชุดดำปริศนาสองคนที่กำลังเล็งปืนไปที่รถของชเวกียุลและพัคจินอู แต่ก็ยังมีรถแวนสีดำอีกสองสามคันมุ่งหน้าขับตามรถของพวกเขา
ตุบ ตุบ ! ผู้ชายชุดำสองคนคนั้นฟุบลงบนทางเท้าหน้าสถานีรถไฟทันที จนทำให้พวกคนอื่นๆ ที่ติดตามชเวกียุลต่างพากันเหลียวหันมองหาวิถีกระสุนจากมุมบนยอดสูงของตึก
ซอเยอึนกำลังค่อยๆ ขยับหน้าของเธอออกมาจากลำกล้องปืนสไนเปอร์
" ถ้าเป็นกระสุนจริง ๆ พวกนี้ไม่รอดแหง๋ ๆ" ซอเยอึนหันไปบ่นๆ กับคังมินจุนที่ก็เพิ่งจะขยับหน้า ขยับตัวออกจากปืนสไนเปอร์ของตัวเองข้างๆ
" นี่ ! ซอเยอึน " คังมินจุนก็ทำหน้าเซ็ง ๆ ใส่
" เธอคิดแต่อยากจะฆ่าคนอย่างเดียวเลยรึไงห๊ะ "
" ยายโรคจิต ! " คังมินจุนบ่นๆ และทำท่าเก็บปืนของพวกเขาและอุปกรณ์หยัดใส่กระเป๋าใบใหญ่สีดำ
" นี่ ! เงียบไปเลยนะ คังมินจุน " แต่ซอเยอึนก็ยังรีบลุกขึ้นมาเถียง
" นายนี่มันไม่ได้เรื่อง " ซอเยอึนบ่นกลับ แต่พวกเธอก็ยังจะพร้อมใจกันและหันมองรถซีดานคันนั้นที่เพิ่งแล่นออกไป
" เสร็จงานแล้วนี่ จะมัวรออะไร "
" คังมินจุน กลับกันเถอะ "
พวกซอเยอึนที่จนแล้วจนรอดก็ต้องพากันรีบเก็บปืนพวกนั้นยัดใส่กระเป๋าและพากันรีบกลับลงมาจากบนดาดฟ้าของตึกที่ใกล้ๆ กับสถานีรถไฟฟ้าในทันทีด้วยเหมือนกัน