"คือ ทั้งสองฝ่ายถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อค้นหาผลประโยชน์ต่อประชาชนส่วนรวมเป็นสำคัญ เหมือนพี่กำลังจะก่อเรื่องร้าย-น้องปรามโดยชอบด้วยเหตุผล น้องกำลังจะทำผิดพลาด-พี่เสนอเเนวทางที่ให้ผลลัพธ์ดีกว่า จะอธิบายยังไงดีล่ะ ว้า ยากเเท้"
"สิบปากนกเเก้วนกขุนทองไม่เท่าหนึ่งตานกเหยี่ยว อยู่ที่นี่เดี๋ยวนายก็เจอทั้งสองฝ่าย"
พูดคุยถึงตรงนี้ ทุกสายตาเห็นไฟกัลป์หันมาหาอะลีฟเเทน
"มีเหตุผลอะไร เขาทำร้ายร่างกายนายก่อนเหรอ" อะลีฟถามเสียงนิ่ง
ไฟกัลป์ถลึงตาใส่อะลีฟ
"เขาขโมยสิ่งของที่นายไม่ได้ให้เหรอ" อะลีฟยิ้มมุมปากนิดๆ
"ยุ่ง!"
"ไม่นึกถึงตัวเองอาจจะเจ็บ นึกถึงชื่อเสียงคนเลี้ยงดูแล้วหรือยัง..." อะลีฟถามเสียงนิ่ง เเต่นัยน์ตาวาวโรจน์
เสียงฝีเท้าดังไกลๆ อีกวินาทีต่อมา เผ่าพันธุ์แม่ย่านาง (ประจำเรือ) ก็เข้ามา
"เกิดอะไรขึ้น" เธอถาม มองดูตำแหน่งที่ครั้งหนึ่งเคยมีเด็กชาย 3 คนยืนอยู่ น่าเสียดายที่ตอนนี้กลับกลายเป็นพื้นที่ว่างเปล่า
โดยธรรมชาตินกเป็นสัตว์ที่มีปีกที่ใช้ในการบิน และมีหางที่ใช้ในการบังคับทิศทาง ซึ่งการทำงานร่วมกันของปีกและหางของนกนั้น ทำให้นกสามารถบินหลบหนีศัตรูได้คล่องแคล่วว่องไว จึงถูกนำมาใช้เปรียบเปรยในสำนวน 'รู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง'
ทันทีที่เหตุการณ์สงบ เด็กๆ ต่างคนก็ต่างแยกย้าย
"ฉันได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับหมอนั่นด้วย" อเล็กซานเดอร์ช่วยประคองบดินทร์ลุกขึ้นยืน
"เรื่องอะไร"
"เหมือนจะมีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นกับพวกที่ไปยุ่งกับหมอนั่น เคยมีคนทะเลาะกับเขา แล้วหลังจากนั้นก็หายไปเลย"
"จริงเหรอ หลอนชะมัด"
"ซาวด์ คนนั้นคนที่ไฟกัลป์มีเรื่องด้วยน่ะ เขาก็น่าขนลุกไม่แพ้กัน เคยมีคนทะเลาะกับเขา แล้วหลังจากนั้นก็ตายด้วย"
"ดูนี่"
บดินทร์สะดุ้งนิดหน่อย เมื่อเจลประคบเย็นเเบบสำเร็จที่ถูกห่อหุ้มโดยผ้าเช็ดหน้าสัมผัสบริเวณที่โดนชก เขาเลิกคิ้วมองอย่างสงสัย แคสซิโอเปียปรากฏตัวราวกับตกลงมาจากฟ้า ผุดขึ้นมาจากดิน เธอเปิดสมุดสะสมข่าวกางออก
[ข่าว พบศพไม่ทราบชื่อ คาดฝีมือแก๊งยากูซ่าที่ไม่ถูกชะตา]