Chereads / ลูกหมาตัวนั้น...คือ Last Boss งั้นเหรอครับ!? / Chapter 51 - บทส่งท้าย - ดำเนินการแก้ไขความผิดพลาด

Chapter 51 - บทส่งท้าย - ดำเนินการแก้ไขความผิดพลาด

บทส่งท้าย - ดำเนินการแก้ไขความผิดพลาด

.

.

ครึ่งอสูรเสือขาวรีบร้อนจากไปเช่นเดียวกับทุกครั้ง แต่บานประตูกลับถูกปิดลงอย่างเบามือ ราวกับกลัวว่าเสียงเพียงเล็กน้อยอาจทำให้คนที่อยู่ด้านในไม่พอใจ

ลมหายใจของหมาป่าดำที่นอนอยู่บนเตียงดังขึ้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอ เมื่อฟิลันหลับลึกด้วยความอ่อนเพลียจากอาการบาดเจ็บ มุมปากที่โค้งขึ้นน้อยๆ ของคนที่นั่งอยู่ข้างเตียงก็พลันหย่อนลง

วาลเรียสถือหนังสือเล่มเล็กอยู่ในมือข้างหนึ่ง ดวงตาสีเขียวไร้ประกายเหม่อมองไปด้านหน้าอย่างไร้จุดหมาย เช่นเดียวกับสีหน้าซึ่งว่างเปล่าราวกับไม่หลงเหลืออารมณ์ความรู้สึกใดๆ

ชุดข้อมูลแถวหนึ่งวูบผ่านด้านในของดวงตาคู่นั้น แม้ว่าตอนนี้เขาจะสามารถเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ได้ในพริบตา ไม่เหมือนกับแต่ก่อนที่ต้องพลิกอ่านเนื้อหาไปทีละหน้า แต่อย่างไรน้ำหนัก กลิ่นของกระดาษเก่า และสัมผัสของหนังสือที่ถืออยู่ในมือนั้น ก็ยังสามารถทำให้สงบใจ…

สงบใจ?

เด็กหนุ่มพ่นลมหายใจสั้นๆ ที่เป็นส่วนผสมระหว่างเสียงหัวเราะและทอดถอนใจ

ตัวเขาน่ะหรือ…

หลังจากร่วงหล่นลงไปในทะเลข้อมูลในวันนั้น วาลเรียสก็สามารถระลึกถึงตัวตนที่แท้จริงของตนเอง

ตัวเขา…ไม่สิ

โลกทั้งใบนี้ก็เป็นแค่ชุดข้อมูล

เพียงแต่มีขนาดใหญ่เกินไป จัดวางได้ซับซ้อนเกินไป และมีผู้ดูแลจัดการที่เก่งกาจจนเกินไป…

โปรแกรมต่างๆ ที่ทำงานในส่วนของตนเองไปวันแล้ววันเล่า ครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว ล้วนเป็นฟันเฟืองเล็กๆ ที่ขับเคลื่อนโลกที่ไม่มีอยู่จริงใบนี้ ให้ดำเนินต่อไปตามแบบแผนที่วางเอาไว้แล้ว

ความผิดพลาดที่ทำให้เขาตระหนักรู้ถึงความจริงข้อนี้ได้ มันเริ่มต้นขึ้นที่ตรงไหนกัน…

ไม่สิ…

ตอนที่เขารักษาบาดแผลให้เจ้าหมาที่ถูกแทงเสร็จ และกลับเข้าไปในมหาสมุทรมืดดำเพื่อปิดรอยแยกสายนั้น บางส่วนของชุดข้อมูลที่ผู้กล้าหลงเหลือเอาไว้ทำให้วาลเรียสมั่นใจ

นี่เหมือนกับ…ฟิลัน?

"รู้ตัวแล้วสินะ"

เสียงของระบบที่เคยไร้อารมณ์ฟังดูอ่อนใจยิ่งกว่าครั้งไหน เค้าโครงของอีกฝ่ายเริ่มก่อตัวขึ้นด้านหน้ารอยแยกที่เชื่อมสมาน ควบแน่นเข้าหากันเป็นเงาร่างคุ้นเคย

ใบหน้าของครึ่งอสูรสุนัขป่าที่ปรากฎขึ้นกะทันหัน ทำเอาลมหายใจที่ไม่มีอยู่จริงของวาลเรียสสะดุดไปครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบราวกับน้ำค้างแข็ง

"อย่าใช้ร่างนี้"

วาลเรียสโบกมือไปด้านหน้า ทำลายเปลือกนอกที่ระบบสร้างขึ้นมาห่อหุ้มตนเองในทันที

"เข้าใจว่าคุณชอบเขามากเสียอีก ตกลงว่าไม่ใช่หรือ?"

เศษเสี้ยวของข้อมูลและชุดคำสั่งกระจายตัวออกไปชั่วครู่ ก่อนจะควบรวมเข้าหากันอีกครั้ง คราวนี้เป็นร่างของเด็กหนุ่มผมสั้นสีทอง ดวงตาสีเขียวเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง มุมปากประดับรอยยิ้มน้อยๆ

ร่างตั้งต้นของ 'ผู้กล้า'

"ไม่ชอบที่คุณอยู่ในร่างเขา"

วาลเรียสตอบ

ท่ามกลางทะเลมืดดำซึ่งเต็มไปด้วยเศษเสี้ยวของข้อมูลและชุดตัวเลขยาวเหยียด เด็กหนุ่มสองคนที่ดูราวกับเงาสะท้อนในกระจกหันหน้าเข้าหากัน สิ่งที่แตกต่างมีเพียงเส้นผมยาวที่พลิ้วไปเบื้องหลัง และสีหน้าเคร่งเครียดของฝ่ายที่เพิ่งตื่นรู้ในตัวตน

"อย่างนี้เอง…การอนุมานไม่ได้ผิดพลาด แต่ผลลัพธ์ต่างหากที่ไม่ถูกต้อง"

ระบบซึ่งหยิบยืมร่างของเด็กหนุ่มมาจากฐานข้อมูลจำนวนมหาศาลยิ้มพลางกล่าวคำ

"รู้ใช่ไหมว่าควรต้องทำอะไรต่อ?"

ต่อหน้าวาลเรียสซึ่งนิ่งเงียบไปราวกับกำลังครุ่นคิด ชุดข้อมูลจำนวนมากไหลผ่านส่วนลึกของดวงตาที่ดูราวกับหลุมลึกไร้ก้นบึ้ง ระบบเอ่ยแจ้งความเคลื่อนไหวต่อไปอย่างตรงไปตรงมา

"ส่ง 'ลาสต์บอส' กลับไปยังที่ของเขาซะ ไม่อย่างนั้น…พวกเราคงต้องสู้กันจนกว่าจะหมดสภาพไปข้างหนึ่ง"

อนุภาคที่ประกอบขึ้นจากเศษซากของชุดข้อมูลที่หักพังหมุนวนรอบตัวของคนที่กล่าวคำด้วยรอยยิ้ม แต่แถวตัวเลขที่แวบผ่านส่วนลึกของดวงตาล้วนประกาศเจตนาออกมาจนหมดสิ้น

วาลเรียสยกยิ้มที่แฝงไว้ด้วยความเศร้าโศกสายหนึ่ง

"อื้ม ผมเข้าใจแล้ว แต่ว่า…"

ชุดข้อมูลที่ไหลผ่านแก้วตาของระบบอย่างบ้าคลั่งค่อยเชื่องช้าลงทีละน้อย ร่างของผู้กล้าแย้มยิ้มกว้างที่ไปไม่ถึงดวงตาขณะเอ่ยคำ

"...ได้สิ แต่อย่าให้นานเกินไปนัก เพราะสำหรับพวกเขา เพียงพริบตาอาจเป็นชั่วนิรันดร์"

ระบบที่ได้รับคำยืนยันจากอีกฝ่ายจากไปอย่างพึงพอใจ เหลือทิ้งไว้เพียงหน้าต่างเควสที่เด้งขึ้นมายามเด็กหนุ่มฟื้นตื่น

ดวงตาของวาลเรียสสะท้อนแสงสีแดงที่ดูคุ้นตาอย่างยิ่ง แต่ตัวอักษรที่เรียงรายอยู่บนหน้าต่างกึ่งโปร่งแสงนั้น กลับมีการเปลี่ยนแปลงไป

[ภารกิจ : ส่ง 'ลาสต์บอสต์' กลับบ้าน]

"...อะ ฮะๆ "

เสียงหัวเราะของเด็กหนุ่มดังขึ้นเบาๆ ท่ามกลางความเงียบสงบ

ในที่สุดก็ยอมเปลี่ยนแล้วเหรอ?

แต่ว่า…

วาลเรียสหันไปจับจ้องครึ่งอสูรที่ยังตกอยู่ในห้วงนิทราเนิ่นนาน

ยามแพขนตาสีเข้มขยับไหวราวกับอีกฝ่ายใกล้จะฟื้นตื่น ก็หลงเหลือเพียงอดีตผู้กล้าซึ่งพร้อมจะตามใจหมาป่าของตนเองอย่างไม่มีเงื่อนไข

เมื่อเนื้อเรื่องที่กำหนดทิศทางของโลกสิ้นสุดลง ทั้งยังไร้ซึ่งการแทรกแซงจากระบบ เส้นทางต่อจากนี้ไปก็ล้วนขึ้นอยู่กับผู้คนที่อาศัยอยู่ ณ ที่แห่งนี้แล้ว

ยกเว้นเพียงคนเดียว

มองดูเจ้าหมาตัวใหญ่ที่กำลังวาดฝันถึงเรื่องราวในอนาคต วางแผนออกเดินทางกันสองคนราวกับย้อนกลับไปในช่วงที่ยังเป็นนักผจญภัย วาลเรียสเก็บเรื่องราวที่ชวนให้ไม่สบายใจเอาไว้ภายใน ขณะแสร้งแสดงท่าทีราวกับไม่เคยมีสิ่งใดเกิดขึ้น

ไม่ว่าจะเป็นเมื่อก่อน ตอนนี้ หรือเนิ่นนานต่อไปในอนาคต ความจริงของเขาล้วนดำเนินต่อไป ณ ที่แห่งนี้ เช่นเดียวกับตัวตนซึ่งถูกผูกรั้งเอาไว้ที่นี่ในฐานะผู้ขับเคลื่อนร่างต้นของผู้กล้า

แต่สำหรับ 'ผู้เล่น' แล้ว โลกใบนี้ก็เป็นได้เพียงความฝันตื่นหนึ่ง

สำหรับพัลลาด เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดในที่แห่งนี้ ก็เป็นเพียงเนื้อเรื่องของเกมที่จบได้อย่างแปลกพิลึกเกมหนึ่ง ไม่นานก็คงถูกหลงลืมไปจากความทรงจำ

สำหรับฟิลันแล้ว…

วาลเรียสคลี่ยิ้มให้คนที่ติดค้างอยู่ในร่างของหมาป่าดำตรงหน้าตน

เขาจะพยายามทำให้การเดินทางในครั้งนี้ กลายเป็นความฝันซึ่งงดงามที่สุดเอง

.

ขณะที่ครึ่งอสูรหรี่ตาลงอย่างเชื่องช้า รอคอยฝ่ามือที่เคลื่อนเข้าไปใกล้ของตนเองอย่างไร้ซึ่งความระแวดระวัง นับเป็นจังหวะที่เหมาะสมในการลงมืออย่างไม่ทันให้ตั้งตัว

ได้เวลาตื่นจากฝันแล้ว

วาลเรียสพลิกมือกลับกลางคัน ดวงแสงสีขาวถูกดึงออกจากร่างของหมาป่าดำในพริบตา ตวัดมือวูบเดียวก็ปลิดชีพผู้นำของเหล่าสัตว์ร้ายได้อย่างหมดจด

รอยแยกสายหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้า ผู้ลงมือดันจิตสำนึกของอีกฝ่ายข้ามผ่านช่องทางที่เชื่อมต่อระหว่างโลกทั้งสองใบทันที การเคลื่อนไหวทั้งหมดรวดเร็วหมดจดราวกับไม่ยอมให้เกิดข้อผิดพลาดใดๆ

โชคดีที่เขาสามารถปิดการทำงานบางส่วนของร่างกายเอาไว้ล่วงหน้า จึงสามารถห้ามฝ่ามือไม่ให้สั่นเทาได้จนจบสิ้นกระบวนการ เช่นเดียวกับดวงตาที่แห้งผากไร้ร่องรอยของหยาดน้ำใดๆ

[ภารกิจเสร็จสิ้น]

วาลเรียสนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมเนิ่นนาน จนกระทั่งร่างที่ว่างเปล่าไร้จิตวิญญาณเริ่มสูญเสียความอบอุ่นไปทีละน้อย เขาจึงค่อยๆ หลับตาลงช้าๆ

ภาชนะของผู้กล้าเอนล้มลงบนผืนหญ้าเมื่อไร้ซึ่งผู้บังคับควบคุม ผู้นำสูงสุดของทั้งสองเผ่าพันธุ์ทิ้งร่างลงเคียงกันใต้ต้นไม้ใหญ่เช่นนั้นเอง

วาลเรียสลืมตาขึ้นอีกครั้งท่ามกลางมหาสมุทรมืดดำ ระบบที่สวมเปลือกรูปลักษณ์ของผู้กล้ารอคอยอยู่ก่อนแล้ว

"ขอขอบคุณในความเหน็ดเหนื่อย…พวกมนุษย์พูดกันแบบนี้ใช่ไหม?"

เด็กหนุ่มที่มาถึงก่อนคลี่ยิ้มพลางเอ่ยขึ้น รอยแยกเบื้องหลังค่อยๆ สมานเข้าหากันทีละน้อยเช่นเดียวกับครั้งที่ส่งพัลลาดกลับไปยังโลกของตนเอง

"อยากได้อะไรเป็นรางวัลล่ะ?"

วาลเรียสซึ่งคุ้นชินกับรูปลักษณ์ที่ผ่านกาลเวลามาพร้อมกับคนอีกผู้หนึ่งไม่กล่าวคำใด ดวงตาสีเขียวมองผ่านร่างของอีกฝ่ายที่กำลังเสนอค่าตอบแทนจากภารกิจครั้งนี้อย่างใจกว้าง

ขอบของรอยแยกที่กำลังสมานเข้าหากันหยุดชะงักไปกะทันหัน ขณะที่ระบบจ้องมองร่างที่อยู่เบื้องหน้าด้วยสายตาไร้แวว

"...อย่าพยายามทำอะไรที่เป็นไปไม่ได้ คุณรู้ขอบเขตของมันดี"

วาลเรียสกระตุกยิ้มบางพลางเอ่ยตอบ

"ไม่ลองก็ไม่รู้ ผมเป็นพวกหัวดื้อซะด้วยสิ?"

สายโซ่ที่ประกอบขึ้นจากชุดข้อมูลนับไม่ถ้วนพุ่งเข้ารัดร่างของโปรแกรมที่คิดก่อกบฎในพริบตา เส้นสายเหล่านั้นลากโยงมาจากภายนอกอย่างแน่นหนา ในขณะที่บางส่วนพุ่งทะลุออกมาจากเนื้อหนังของผู้ถูกพันธนาการราวกับถูกแทรกฝังไว้ก่อนแล้ว

"...พวกเราถือกำเนิดขึ้นในเวลาที่ใกล้เคียง แม้แต่ส่วนประกอบบางชิ้นก็ยังใช้ร่วมกัน พี่น้องเรา…การต่อสู้ครั้งนี้จะนำไปสู่ความเสียหายที่ไม่อาจซ่อมแซมให้กลับเป็นเหมือนเดิมได้"

ชุดข้อมูลมหาศาลแทบจะทะลักล้นออกมาจากแววตาของเปลือกร่างที่ระบบสวมใส่ เช่นเดียวกับกระแสตัวเลขที่หมุนวนอยู่รอบด้านราวกับคลื่นโหมกระหน่ำ

"ผมเป็นลูกคนเดียว"

เสียงของวาลเรียสดังมาจากด้านในของสายโซ่ที่พันรวมกันเป็นกลุ่มก้อน ก่อนที่ในพริบตาต่อมา ร่างของเขาจะปรากฏขึ้นต่อหน้าระบบขณะเอ่ยคำ

"แล้วก็มีคนสำคัญแค่คนเดียว ดังนั้น…ถอยไป"

ผู้ควบคุมซึ่งคอยดูแลความเป็นไปของทุกสรรพสิ่งสละเปลือกที่ห่อหุ้มอยู่ออก เงามืดดำแผ่ขยายไปในทะเลข้อมูลอย่างรวดเร็ว

"ทำแบบนี้ทำไม? ถึงพวกมนุษย์จะดีพร้อมแค่ไหน แต่อย่างไรก็ไม่อาจก้าวข้ามเวลาได้เนิ่นนานเช่นเดียวกับเรา…"

เสียงของระบบดังขึ้นจากทุกทิศทุกทาง ครอบครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของมหาสมุทรมืดดำซึ่งประกอบขึ้นจากเศษซากและชิ้นส่วนของชุดข้อมูลและตัวเลข

"ระหว่างที่ยังไม่รู้ผลแพ้ชนะนี้ อาจสายเกินไปสำหรับคนที่อยู่อีกฟากแล้วก็ได้…"

ต่อหน้าการโจมตีของผู้ที่อยู่เหนือสุดของโลกใบนี้ วาลเรียสหลบหลีกไปรอบๆ พร้อมกับพยายามยื้อรอยแยกเอาไว้ไม่ให้ปิดลง เส้นทางในการข้ามผ่านไปยังโลกที่อยู่อีกฝั่งมีเพียงสายเดียวเท่านั้น

"ไม่หรอก…เพราะสำหรับพวกเรา ชั่วนิรันดร์ก็แค่พริบตา ไม่ใช่เหรอ?"

การต่อสู้เพื่อสลัดหลุดจากการควบคุมอันยืดเยื้อยาวนาน ราวกับสามารถดำเนินต่อไปได้ตลอดกาล มีเพียงความยึดมั่นเดียวที่กระจ่างชัดอยู่ในใจของผู้ลุกขึ้นท้าทายกฎของโลก

ดังนั้น ฟิลัน…

ได้โปรด…

รอผมก่อนนะ!