บทที่ 1 - เรื่องเล่าจากแดนไกล
.
.
แสงแดดยามบ่ายตกต้องผิวน้ำใสทอประกายระยิบระยับ ผีเสื้อสี่ปีกบินต่ำเรียดลำธารเล็ก อวดปลายหางยาวสองแฉกได้เพียงครู่ ก็ถูกปลาใบไม้ตัวกลมตวัดครีบกระโดดงับอย่างรวดเร็ว
สิ้นเสียงผิวน้ำแตกกระจาย นกตัวเล็กที่เกาะอยู่บนกิ่งไม้ใกล้ๆ พลันดีดตัวขึ้นอย่างตื่นตระหนก เหลือเพียงขนปุยสีขาวที่ค่อยๆ ร่วงหล่นลงบนพื้นหญ้านิ่ม
นกสีขาวขยับปีกเร็วจี๋จนแทบมองไม่ทัน พาตัวเองพุ่งผ่านแนวป่าโปร่งเข้าไปยังเขตบ้านเรือนของมนุษย์ ทิ้งขนอ่อนสีขาวนุ่มนิ่มราวกับปุยนุ่นไว้ด้านหลังเป็นทางยาว
หมู่บ้านเล็กๆ ที่อยู่ติดกับชายป่านั้นมีกันเพียงไม่กี่หลังคาเรือน บรรยากาศในยามบ่ายแก่จึงค่อนข้างเงียบสงบ แสงแดดจากเบื้องบนทำให้บริเวณไร่นาเงียบเหงาลงไม่น้อย ต่างจากแถบร้านค้าที่เริ่มคึกคักขึ้นเมื่อใกล้ถึงเวลาพักผ่อนของผู้คน
"หนุ่มๆ เอาปลาหินเผาราดซอสเผ็ดให้ฉันสองชุด ซุปผักกาดแดงตุ๋นหอยสองหัวหนึ่ง…อ้อ น้ำเผือกหอมคั้นสดอีกแก้วด้วยนะ…"
เด็กหนุ่มก้มหน้าจดรายการอาหารยาวเหยียดลงในสมุดเล่มเล็ก ก่อนจะเงยขึ้นขานรับด้วยรอยยิ้มกว้าง
"ทั้งหมดสามรายการนะครับ! รบกวนรออาหารสักครู่…"
คนอายุน้อยยังไม่ทันหมุนตัวเดินออกจากโต๊ะ เสียงของหญิงสูงวัยที่ฟังดูคุ้นเคยก็ดังขึ้นจากด้านหลัง
"วาลเอ๊ย! ตะกี้ฉันสั่งหัวหอมเปราะผัดไข่ ทำไมถึงมาเป็นหัวมันกรอบผัดไข่แทนละจ๊ะ?"
"เอ๊ะ!? อย่างนั้นเหรอครับ? เอ…"
คนถูกเรียกพลิกหน้ากระดาษยับๆ กลับมาตรวจสอบ ก่อนจะต้องโค้งตัวขอโทษอีกฝ่าย ศีรษะที่ปกคลุมไปด้วยเส้นผมสีทองก้มต่ำจนแทบโขกลงกับโต๊ะ
"ผมจดผิดเองครับ! ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ถ้ายังไง…"
เด็กหนุ่มที่ยังไม่คุ้นชินกับรายการอาหารในร้านมีสีหน้าลำบากใจ ขณะที่เสียงตวาดของหญิงวัยกลางคนลอยออกมาจากหลังม่านกั้นประตูครัว
"วาลเรียส! รีบมายกซุปไปเสิร์ฟก่อนมันจะเย็น!"
"ครับผม! จะไปเดี๋ยวนี้ครับ!"
เจ้าของนามตะโกนรับด้วยท่าทีแข็งขัน ก่อนจะก้มศีรษะขอบคุณที่ลูกค้าเจ้าประจำโบกมือไปมายิ้มๆ ด้วยท่าทีไม่เอาเรื่อง
"ไปเถอะจ๊ะ ฉันเข้าใจ หนูเอด้าไม่อยู่คงลำบากกันแย่เลยสินะ"
วาลเรียสหัวเราะแห้งๆ ด้วยสีหน้าจืดเจื่อน ก่อนจะขอตัวไปทำงานต่อ ก่อนที่เจ้าของร้านจะอยากควงทัพพีสับหัวเขาแทนการผัดกับข้าว
กว่าโต๊ะในร้านอาหารประจำหมู่บ้านจะเริ่มว่างลง ดวงอาทิตย์บนท้องฟ้าก็เริ่มเคลื่อนลงต่ำแล้ว
เจ้าของร้านซึ่งควบตำแหน่งแม่ครัวมือฉมังเรียกพนักงานเสิร์ฟชั่วคราวมาหา หลังจากนี้ชาวบ้านส่วนใหญ่จะกลับไปใช้เวลากับครอบครัว ส่วนที่เหลือก็จะไปรวมตัวกันที่ร้านเหล้า ลูกค้าที่จะมาในช่วงเย็นมีเพียงขาประจำอีกไม่กี่คน ไม่จำเป็นต้องมีคนช่วยรับรายการและเสิร์ฟอาหารมาช่วยแบ่งเบาภาระอีก
"พรุ่งนี้เอด้าก็จะกลับมาแล้ว ฉันกดจบเควสให้เลยก็แล้วกัน"
หญิงวัยกลางคนเรียกหน้าต่างภารกิจกึ่งโปร่งแสงขึ้นมาเบื้องหน้า ปลายนิ้วที่สามารถปรุงอาหารเลิศรสขยับกรอกคำสั่งไม่กี่ครั้ง เควสที่กำลังดำเนินการอยู่ก็เปลี่ยนสถานะเป็นเสร็จสิ้น
เสียงแจ้งเตือนเบาๆ ดังขึ้นจากทั้งฝั่งเจ้าของร้าน และลูกจ้างชั่วคราวที่เปิดหน้าต่างสีฟ้าอ่อนขึ้นมาเทียบเคียงกัน
หลังจากยืนยันยอดเหรียญเงินที่ถูกโอนเข้ามาในบัญชีของตนแล้ว วาลเรียสจึงก้มศีรษะขอบคุณอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม
"ขอบคุณมากครับ! ถ้าต่อไปมีอะไรก็เรียกใช้ผมได้ตลอดเลยนะครับ…"
เด็กหนุ่มตั้งใจจะนำเสนอตนเองกับเจ้าของร้านต่ออีกสักคำสองคำ แต่กลับถูกขัดจังหวะด้วยตะกร้าใบเล็กที่อีกฝ่ายเสือกไสเข้ามาในมือ
"ถ้าเล็งตำแหน่งเด็กเสิร์ฟประจำร้านฉันว่ายากหน่อยนะ เด็กคนนั้นมือไม้คล่องแคล่วกว่านายเยอะ…เอ้า! ถือว่าเป็นของปลอบใจแล้วกัน"
วาลเรียสเงยขึ้นมองหญิงวัยกลางคนที่หมุนตัวจากไปด้วยสีหน้ามึนงง ก่อนที่ดวงตาสีเขียวจะทอประกายวิบวับยามเห็นฟองไข่กลมเกลี้ยงเรียงรายกันอยู่เต็ม
"ขอบคุณมากครับ!"
.
วาลเรียสประคองตะกร้าบรรจุไข่ไก่ไว้ในอ้อมแขนขณะก้าวไปบนถนน ทางเดินในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้กว้างพอจะให้เกวียนสองคันขับสวนกันได้อย่างหมิ่นเหม่เท่านั้น แต่ก็ถือว่ามากเกินพอสำหรับคนเดินเท้า
เด็กหนุ่มก้าวไปบนถนนที่เริ่มคึกคักไปด้วยผู้คนที่ออกมาจับจ่ายซื้อของหลังเลิกงาน เจ้าของร้านรับส่งจดหมายกำลังง่วนอยู่กับการฝึกนกส่งสารชุดใหม่ ขณะที่ผู้เป็นลูกกระโดดโลดเต้นไปรอบๆ พลางใช้สายลมรวบรวมขนนกที่ปลิวว่อนไปทั่ว
วาลเรียสยิ้มให้เด็กหญิงที่โบกมือมาให้ด้วยท่าทีแก่นแก้ว พลางเร่งฝีเท้าหลบพายุขนนกที่ถูกสกิลของอีกฝ่ายหอบมาใกล้ๆ อย่างหมายจะกลั่นแกล้งกัน
เสียงข้าวของกระทบกันถี่รัวดังมาจากร้านขายของชำ เพียงครู่เดียวกล่องไม้บรรจุขวดแก้วก็ลอยลงมาที่พื้นให้ลูกค้าเลือกหยิบได้ตามใจ ขณะที่เจ้าของร้านใช้สกิลส่งถุงใส่ของใบใหญ่ขึ้นไปวางบนชั้นที่ถูกต่อเติมสูงจนเกือบถึงหลังคา
ช่างตีเหล็กสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะพ่นออก เปลวไฟสีสดลามเลียไปตามแท่งโลหะร้อนแดง ชายชราขยับค้อนตีลงไปแรงๆ สองสามครั้ง ก่อนจะโยนของในมือลงในถังน้ำเย็น
วาลเรียสเดินหลบไอน้ำที่พวยพุ่งออกมาจากถังไม้เป็นสาย แม้ชาวบ้านในแถบใต้อันสงบสุขนี้จะมีเลเวลต่ำเตี้ยไม่เกินสองหลัก แต่ทุกคนล้วนได้รับสกิลกันคนละอย่างสองอย่างเมื่ออายุครบเจ็ดขวบ
หลังหน้าต่างสถานะว่างเปล่ามีตัวอักษรเรียงรายปรากฏขึ้น คนในหมู่บ้านจะรวมตัวกันจัดงานฉลองให้เด็กที่ได้รับสกิลในวันเกิดปีที่เจ็ดของตนเอง
ความสามารถที่ได้รับเพียงครั้งเดียวและไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้นี้ กลายเป็นสิ่งชี้นำผู้คนไปในทิศทางที่แตกต่างกันออกไป
เด็กหนุ่มยิ้มรับคนคุ้นหน้าที่ยกมือข้ึนทักทายเป็นระยะ กว่าจะเดินมาถึงหน้าตลาดที่กำลังคึกคัก ก็พอดีกับที่ขบวนเกวียนยาวเหยียดจอดเทียบหน้าร้านค้าใหญ่พอดี
ต่างจากผู้คนทางใต้ที่ส่วนใหญ่เคยจับแต่มีดหั่นผัก มอนสเตอร์ที่ดุร้ายทำให้เหล่านักเดินทางจากแถบเหนือมีระดับเลเวลที่สูงกว่าอย่างเห็นได้ชัด เครื่องแต่งกายแปลกตาและอาวุธที่สะพายอยู่ข้างตัวเหล่านั้น เรียกสายตาสนอกสนใจจากเหล่าชาวบ้านที่ไม่เคยก้าวเท้าออกจากถิ่นฐานของตนได้ไม่น้อย
ขบวนของพ่อค้าเร่ซึ่งแวะเวียนไปตั้งแต่เหนือสุดจรดใต้สุดของแดนมนุษย์ย่อมเตรียมการไว้พรั่งพร้อม นอกจากเหล่าทหารรับจ้างซึ่งรับหน้าที่รักษาความปลอดภัย คนงานที่ดูแลและขนย้ายข้าวของทั้งหมดในขบวนนั้นก็มีจำนวนมากพอตัว
การมาถึงของคนต่างถิ่นย่อมดึงดูดความสนใจของผู้คนได้ไม่ยาก แม้ว่าพ่อค้าเร่รายนี้จะมาแวะเวียนที่หมู่บ้านแห่งนี้หลายครั้งแล้วก็ตาม
ชาวบ้านเริ่มจับกลุ่มกันหน้าร้านค้าซึ่งรับซื้อของจากขบวนเดินทาง กวาดตามองสินค้าแปลกใหม่จากแดนไกลด้วยความสนอกสนใจ
ดวงตาสีเขียวเปล่งประกายวาววับยามเห็นภาพตรงหน้าจากที่ไกลๆ
ต่างจากกลุ่มคนที่เริ่มมุงดูอยู่ด้านหน้า เด็กหนุ่มอาศัยจังหวะที่รอบข้างเริ่มชุลมุนวุ่นวาย หลบไปด้านหลังของร้านค้าซึ่งขบวนเกวียนจอดเทียบอยู่ทันที
วาลเรียสเดินอ้อมคอกม้าที่เต็มแน่นไปด้วยฝีเท้าแผ่วเบา แม้ว่าม้าหกขาซึ่งทนทานต่อการเทียมเกวียนระยะไกลจะหาชมได้ยาก แต่เขาไม่กล้าเสี่ยงที่จะยั่วโมโหพวกมันซึ่งกำลังหงุดหงิดและอ่อนเพลียจากการเดินทาง
เด็กหนุ่มกอดตะกร้าไข่เดินเลี่ยงไปอีกทาง ไม่รู้เป็นเพราะท่าทางอ่อนแอไร้ที่ติของเขา หรือเพราะความผ่อนคลายเมื่อได้หยุดพักจากการเดินทางที่เนิ่นนาน เขาจึงสามารถหลบเลี่ยงเหล่าผู้คุ้มกันมาหาเหล่าคนงานที่นั่งพักอยู่ด้านข้างได้อย่างไม่ยากเย็น
"อ้าว ไงเจ้าหนู!"
"สูงขึ้นนิดนึงรึเปล่าเนี่ย…แต่ยังไงก็ยังเตี้ยกว่าข้าอยู่ดีละนะ ฮ่าๆ !"
วาลเรียสอุทานเบาๆ ยามถูกเหล่าคนงานที่รู้จักกันดึงไปกอดคอหยอกล้อด้วยท่าทีสนิทสนม
"โอ๊ะ!? พี่ชายก็อย่าเล่นหัวผมมากสิ ถ้าเตี้ยลงจะทำยังไง ฮ่าๆ "
"เจ้าเด็กวัยกำลังโตนี่พูดเพ้อเจ้ออะไรเนี่ย หืมๆๆ "
เด็กหนุ่มแกล้งทำท่าโอดโอยท่ามกลางเสียงหัวเราะของคนรอบข้าง เส้นผมสีทองถูกขยี้อย่างมันเขี้ยวจนแทบกระเซิงเป็นรังนก
"พอๆๆ เลิกแกล้งผมเถอะ แกล้งไปก็ไม่มีอะไรจะให้หรอกนะ! ไปกันซะนานเลยรอบนี้…"
วาลเรียสบ่นอุบอิบขณะนั่งยองๆ อยู่บนพื้นด้วยท่าทีโศกสลดหลังโดนรุมแกล้ง ก่อนจะเงยขึ้นทันควันหลังมีคนงานผู้หนึ่งยอมเปิดปาก
"ใช่น่ะสิ รอบนี้เราไปถึงสุดขอบตะวันออก ตระเวนไปทั่วดินแดนของนักสู้! ที่นั่นเด็กๆ น่าจะจับอาวุธกันก่อนจะยืนได้มั่นเสียอีก…"
"เขาเรียกว่านักล่าโดยสายเลือด! เพราะแบบนี้แถบนั้นถึงแทบไม่มีดันเจี้ยนหลงเหลืออยู่เลย การเดินทางก็ราบรื่นมาก…"
"ราบรื่น? ลืมไอ้ตัวที่มันยกฝูงมาถล่มเราตอนดึกๆ ไปแล้วเรอะ ถ้าทหารแถวๆ นั้นมาช่วยไม่ทัน ขบวนเดินทางก็พังพินาศหมดแล้ว!"
"มอนสเตอร์ในแถบนั้นเองก็ดุร้ายจริงๆ ไม่อยากจะนึกถึงพวกที่เลื่อนคลาสเป็นสัตว์อสูรกันไปแล้วเลยจริงๆ …"
เหล่าคนงานเริ่มเปิดปากเล่าถึงเรื่องราวที่พบเจอมาในการเดินทางครั้งล่าสุด หลายคนมีสีหน้าครุ่นคิดยามหวนนึกถึงความหลัง ขณะที่บางส่วนแย่งกันแสดงความคิดเห็นของตนจนเสียงพูดคุยดังขึ้นทั่วบริเวณ
วาลเรียสเงยหน้าฟังหูผึ่ง เทียบกับหมู่บ้านที่สงบสุขจนมีการเปลี่ยนแปลงแค่ดวงอาทิตย์ที่ขึ้นและตกเท่านั้น เรื่องราวจากปากคนที่เดินทางไปยังดินแดนห่างไกลเหล่านี้ช่างน่าตื่นตาตื่นใจ
ดวงตาสีเขียวทอประกายระยับ เด็กหนุ่มเริ่มจินตนาการถึงดินแดนทางตะวันออกตามคำบอกเล่าของเหล่าคนงาน ผืนดินรกร้างแนวป่ามืดทึบ มอนสเตอร์ดุร้ายแปลกประหลาด และเหล่าผู้คนที่เป็นนักล่าโดยกำเนิด ต่อสู้แย่งชิงและครอบครองชัยชนะเหนือเหล่าสัตว์ร้ายได้อย่างภาคภูมิ
แม้จะฟังดูแปลกใหม่จนแอบสงสัยว่ามีการเล่าเสริมเติมแต่งหรือไม่ แต่เด็กหนุ่มก็ยังพยักหน้ารับฟังด้วยท่าทีตั้งอกตั้งใจ แม้จะโดนหยอกแกล้งจนเผลอสะดุ้งไปหลายครั้งก็ยังไม่ยอมหนีไปไหน
บรรยากาศรอบข้างผ่อนคลายสนุกสนานจนแต่ละคนคลายความระมัดระวัง ไม่ทันรับรู้ถึงเสียงฝีเท้าของผู้มาใหม่ซึ่งปรากฎตัวขึ้นด้วยสีหน้าหงุดหงิดใจ
"ทำอะไรกันเสียงดังเอะอะ…แล้วเจ้าเด็กนั่นมาจากไหน?"