Chereads / สุดแสงสีหม่น / Chapter 30 - สุดแสงสีหม่น

Chapter 30 - สุดแสงสีหม่น

วินาทีที่วีรภัทราได้เห็นอัคราวิชญ์เดินเข้ามาในห้องพร้อมชุดป้องกันเชื้อโรค เธอรู้สึกเหมือนความฝันเพราะไม่คิดว่าเขาจะเข้ามาในนี้ ความเจ็บที่หนักหน่วงตอนนี้เหมือนได้รับการปลอบประโลมด้วยสายตาที่ห่วงใยจากเขา เธอรับรู้ได้อย่างชัดเจน ทั้ง ๆ ที่เธอแทบจะไม่มีสติกับเรื่องอื่นเลยด้วยซ้ำ เธอตกอยู่ในภวังค์นั้นได้เพียงไม่นาน หมอก็พูดให้เธอเบ่งอีกครั้ง ซึ่งเธอใช้แรงสุดกำลังในเฮือกสุดท้ายคลอดลูกออกมา จากนั้นเสียงร้องของเด็กน้อยน่ารักน่าชังก็ดังลั่นห้อง น้ำตาแห่งความปลื้มปริ่มก็ไหลซึมออกมาที่หางตาของเธอ ต่างจากสามีที่ร้องไห้ออกมาอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่

อัคราวิชญ์ปาดน้ำตา แล้วหันไปสบตากับวีรภัทราที่นอนอย่างหมดแรง ความรู้สึกทุกอย่างที่เขาเก็บไว้มานานท่วมท้นจนเอ่อล้นขึ้นมา เขากลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากเพราะนี่คือครั้งแรกที่เขาอยากจะบอกกับเธอ ส่วนเธอที่มองหน้าเขาอยู่ก็รู้สึกไม่ต่างกันเพราะความจริงที่ได้รับรู้มาจากเพื่อนสนิท ทำให้เธอยอมรับในความรู้สึกของตัวเองมากขึ้น

"วี ผมขอโทษที่ผมมาช้านะครับ" อัคราวิชญ์เอ่ยคำขอโทษจากใจจริง วีรภัทราที่ได้ยินคำพูดนี้ก็ร้องไห้ออกมา แต่พยายามกลั้นเสียงด้วยการกัดปากตัวเองไว้อยู่

"ไม่เป็นไรเลยค่ะ วีก็มีเรื่องขอโทษเหมือนกันค่ะ" วีรภัทราก็พูดออกไปด้วยเสียงที่แหบแห้งเพราะไม่ได้ดื่มน้ำมานานหลายชั่วโมง

"ผมยอมรับว่าผมทำเรื่องไม่ดีกับวีไว้เยอะมาก ผมรู้ตัวแล้วว่าผมรู้สึกยังไงต่อวี หากวันนี้วีจะไม่ให้โอกาสผมทำหน้าที่สามีต่อไป ผมก็เข้าใจนะครับ แต่ผมอยากอยู่กับวีมากจริง ๆ ครับ" อัคราวิชญ์พูดสลับเสียงสะอื้น

"พี่คนนี้อยากเป็นคนที่คอยเคียงข้างและทำให้ทุกวันของวีไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไป พี่รักวีนะครับ พี่รักวีจริง ๆ ครับ" อัคราวิชญ์สารภาพความในใจจนหมดเปลือก วีรภัทราที่ได้ยินคำพูดเหล่านี้ก็หายสับสนและกระจ่างชัดในหัวใจขึ้นมา เธอพยักหน้าตอบตกลงด้วยความรู้สึกเต็มตื้นขึ้นมาในหัวใจ พอเขาเห็นเธอยอมตกลงแล้ว ก็ก้มลงจุมพิตเธออย่างอ่อนโยนที่สุด สร้างความประทับใจให้กับหมอและพยาบาลที่ร่วมเป็นสักขีพยานของทั้งคู่ พอพวกเขารู้ตัวว่าถูกจับจ้องจากคนอื่น ก็ยิ้มเขินออกมา แต่ก็ยังมีความสุขอยู่ดี

ตั้งแต่วันคลอดที่วีรภัทราได้ยินคำว่ารักของอัคราวิชญ์ครั้งแรกนั้น เธอก็ยังคงตื่นเต้นจนใจแทบจะหลุดออกมาจากหน้าอกข้างซ้าย มันยังคงดังก้องอยู่ในใจเธอไม่หายไปไหน แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะตัดสินใจย้ายกลับมาอยู่ด้วยกันที่บ้านของเขาแล้วก็ตาม ส่วนเขาที่ยังคงตื่นเต้นกับการเลี้ยงลูกในทุกวัน ก็ประคบประหงมลูกสาวเพียงคนเดียวอย่างใกล้ชิดเหมือนกับไข่ในหิน เธอได้แต่มอง 2 พ่อลูกด้วยความเอ็นดู และสิ่งที่เธอประทับใจอีกเรื่องคือการที่เขาใส่ใจลูกด้วยการทำห้องนอนแบบพิเศษขึ้นมา

อัคราวิชญ์ที่ไม่เคยจะเชื่อในรักครั้งใหม่ กลับกลายเป็นถูกเติมเต็มด้วยลูกสาวสุดน่ารักและภรรยาแสนดีที่เขาเคยมองข้าม เขายอมรับเลยว่าถ้าไม่ใช่เพราะลูก ก็คงไม่มีใครดึงเขาให้อยากกลับมาใช้ชีวิตร่วมกันกับเธอได้ เขายังจำความรู้สึกที่ตื้นตันใจเมื่อครั้งเห็นหน้าลูกครั้งแรก เสียงร้องของลูกยังคงก้องอยู่ในหัวใจเขาเสมอมา เป็นความรู้สึกแปลกใหม่ แม้เขาจะไม่เคยได้สัมผัสความรู้สึกแบบนี้มาก่อน แต่ว่ามันช่างดีเหลือเกิน คงไม่มีคำนิยามไหนจะมาเทียบได้เท่ากับคำว่า อาทิมาหรือโรส ลูกสาวเพียงคนเดียวของเขาในเวลานี้ที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจและดอกไม้งามที่เข้ามาเบ่งบานในใจเขาได้อีกแล้ว

ในช่วงระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมาเกิดเรื่องราวมากมายไม่หยุดหย่อน คุณหญิงวิไลรัตน์ที่เห่อหลานมากจนยอมจ่ายหนักให้แบบไม่อั้น ส่วนป้านุชจะชอบแวะเวียนมาหาเหลนบ่อย ๆ ทั้งที่อายุก็เยอะมากแล้ว ทำให้วีรภัทราได้สัมผัสกับความอบอุ่นและสุขใจในแบบที่เธอไม่ได้รู้สึกมันมานาน ต่อให้ที่ผ่านมากัลย์กมลจะเคยเข้ามาแสร้งทำว่ารักเธอก็ตาม แต่ตอนนี้เธอรู้สึกโล่งใจขึ้นเยอะเพราะหลังจากที่มนโดนอัคราวิชญ์ดำเนินคดีไปแล้ว ก็ไม่กล้ากลับเข้ามายุ่งกับเธออีก แถมมนก็ถูกพ่อแม่สั่งห้ามและส่งให้ไปทำงานที่ต่างประเทศทันทีหลังออกจากคุก ด้วยความอับอายที่ลูกตัวเองทำเรื่องน่าอาย พ่อแม่มนขอโทษและชดเชยให้เธอด้วยวิธีนี้ ซึ่งเธอก็ไม่ติดใจอะไร และขอบคุณที่พ่อแม่มนเข้าใจเธอด้วย

ขณะที่ณัฐชานนท์ก็พยายามหาข้ออ้างมาเจอวีรภัทราอยู่บ่อย ๆ ด้วยการเอาของมาฝากลูกเธอ แต่ก็ไม่วายยังพยายามแตะเนื้อต้องตัวเธอในตอนที่เธอเผลอ ซึ่งเธอเองก็ไม่ชอบใจนักเลยพูดจาไม่น่าฟังออกไป และเชิญเขากลับบ้านโดยที่ไม่สนใจความรู้สึกและความสัมพันธ์ในฐานะเพื่อนของสามีเธออีกต่อไป ผิดกับอัคราวิชญ์ที่ไม่มีทีท่าว่าจะโกรธเคืองใด ๆ อีกแล้วเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีต ทำให้เขาได้เรียนรู้ที่จะเชื่อใจเธอแล้ว อีกทั้งเธอเองก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ได้ชอบหรือสนใจในตัวเพื่อนเขาเหมือนอย่างที่เข้าใจผิด เขาเลยวางใจและปล่อยให้เธอได้ใช้ชีวิตอย่างที่อยากจะเป็น

อัคราวิชญ์และวีรภัทราช่วยกันเลี้ยงดูอาทิมาให้เติบโตมาเป็นเด็กหญิงที่เฉลียวฉลาดและสู้คน เพราะเธอมีทัศนคติต่อการใช้ชีวิตในสังคมปัจจุบันว่า หากคนเราไม่เข้มแข็งมากพอก็จะอยู่อย่างยากลำบากและเธอเองก็ไม่อยากให้ลูกต้องประสบพบเจอกับปัญหาเดียวกันกับเธอ ซึ่งเขาในฐานะสามีก็เห็นด้วยมาก แถมเขายังมีมุมมองในด้านอื่น ๆ อีก เช่น การคบหาเพื่อน หรือแม้กระทั่งแฟน เพราะในอนาคตเขาอยากจะให้ลูกได้ไปลองเติบโตในต่างประเทศเหมือนเขา จึงเป็นเรื่องที่ทั้งคู่คุยกันอย่างลงตัวที่สุด ถึงแม้ว่านับวันพวกเขาจะยิ่งหลงลูกมากขึ้น แต่ก็ไม่ทำให้เรื่องพวกนี้เสียระบบแน่นอน นั่นคือสิ่งที่พวกเขาอยากส่งต่อให้ลูกมากที่สุด และตั้งแต่ที่มีลูกสาวตัวน้อยคนนี้เข้ามาอยู่ในชีวิตพวกเขาก็ทำให้หัวใจของคนเป็นพ่อ เป็นแม่ได้รับการถูกโอบกอดหัวใจในทุกวัน

ในห้องของเล่นลูกที่อัคราวิชญ์ทำไว้ให้ พวกเขาต่างนั่งมองพัฒนาการของลูกด้วยสายตาที่เอ็นดู พลางพูดคุยกันถึงความทรงจำเก่า ๆ ที่ผ่านมา แม้จะมีความเจ็บปวดและเสียใจเจือปนอยู่ แต่ก็เป็นเรื่องราวที่ทำให้ทั้งคู่เติบโตและครองคู่กันมาถึงตอนนี้ จากนั้นอัคราวิชญ์ก็ขอตัวไปทำอาหารให้ลูกสาวสุดที่รักก่อน ส่วนวีรภัทราที่นั่งดูลูกเล่นอยู่นั้น ก็พลันนึกถึงคำสอนของป้านุชที่ยังอยู่ในใจเธอ เพราะคำว่าทิฐิ ทำให้เธอเกือบทำความสัมพันธ์ครอบครัวพังลง หากไม่ได้ความช่วยเหลือจากพริมาที่คอยแอบบอกหรือเตือนเธอ คำแนะนำจากป้า และที่สำคัญที่สุดคือความรักของลูกที่มีให้เธออย่างไม่มีเงื่อนไข เธอก็คงไม่ได้มานั่งในบ้านหลังนี้อีกครั้ง

วีรภัทราตระหนักได้แล้วว่า ความเข้าใจเพียงอย่างเดียวมันไม่พอ เพราะที่ผ่านมาเธอฝืนใจที่จะเข้าใจมันอยู่หลายอย่าง แม้ว่าเธอมีสิทธิ์ที่จะถามออกไปได้ แต่กลับอยู่อย่างคนแปลกหน้ามากกว่าครอบครัว เอาแต่เกรงใจมากจนเกินเหตุ ทำให้พวกเขาทะเลาะกัน ซึ่งมันก็ไม่ใช่การคุยด้วยเหตุผลอยู่ตลอดเวลาหรอก เธอจึงรับรู้ได้ด้วยการประสบพบเจอในปัญหานี้ทันทีว่า การทำแบบนี้ก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น มีแต่จะทำลายความรู้สึกกัน

ขณะที่วีรภัทรากำลังนั่งคิดไปเพลิน ๆ ก็ถูกอาทิมาเรียกหา คำว่า แม่ ทำให้เธอหลุดออกจากภวังค์ความคิด จากนั้นเธอก็เขยิบตัวเข้าไปเล่นกับลูก พลางนั่งยิ้มและหัวเราะอย่างมีความสุข เธอรู้ซึ้งแล้วว่า ชีวิตนี้คงไม่ได้เจอความสุขที่แท้จริงแล้ว หากไม่มีอาทิมาเข้ามาอยู่ในชีวิตเธอตอนนี้ ก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำให้เธอรู้ว่า ความสุขนั้นอยู่ไม่ไกล มันอยู่ข้างตัวเรานี้เอง อยู่ที่เราจะรักษามันไว้ได้ไหม และอย่าละเลยความรู้สึกของคนในครอบครัว

อัคราวิชญ์ที่ทำอาหารเสร็จก็มาชวนวีรภัทรา พร้อมอุ้มลูกพาไปป้อนข้าวอย่างอารมณ์ดี แต่พอเห็นเธอกำลังยิ้มอยู่ ก็ถามอย่างกระเซ้าเย้าแหย่ออกไปว่า

"วียิ้มน้อยยิ้มใหญ่เลยนะ" อัคราวิชญ์พูดกลั้วขำออกมาเพราะเอ็นดูในความน่ารักที่ทั้งวีรภัทราและอาทิมาแสดงออกต่อกัน

"หนูโรสไปปล่อยพลังรักให้แม่เขาอีกแล้วเหรอลูก" อัคราวิชญ์ย่อตัวลงไปอุ้มอาทิมาขึ้นไว้บนแขนที่แข็งแรงของเขา พลางเขย่าลูกเบา ๆ ด้วยความหมั่นเขี้ยว ในใจก็ได้แต่คิดว่า เด็กอะไรช่างน่ารักเหลือเกิน ทำใจพ่อคนนี้บางเสมอเลยนะ

"ป้อ" อาทิมาเรียกอัคราวิชญ์ พลางใช้มือน้อยแตะลงไปที่หน้าอกของพ่อตัวเอง พอเขาเห็นแบบนั้นก็ยิ้มออกมาอย่างเบิกบานใจ

"ค่ะ หนูโรสปล่อยพลังรักให้วีตลอดเวลาเลย แค่มองก็รู้สึกได้ถึงความรักที่ลูกมีให้วีแล้วค่ะ" วีรภัทราพูดด้วยน้ำเสียงสดใส พลางยิ้มตาหยีให้ 2 พ่อลูกไปด้วย

หลังจากทั้ง 3 คนกินข้าวเสร็จ อัคราวิชญ์ก็อุ้มอาทิมาแยกไปนั่งเล่นที่ห้องนอนเก่าของวีรภัทรา ความน่ารักของลูกทำให้เขาหายเหนื่อยทุกที แม้เขาจะต้องช่วยทำงานทั้งนอกบ้านและในบ้าน พอผ่านไปครึ่งชั่วโมงเขาก็อุ้มลูกไปอาบน้ำ และกล่อมเข้านอนตามหน้าที่ที่แบ่งกันไว้กับเธอ ส่วนเธอก็ช่วยล้างจานและเดินขึ้นไปนั่งที่เก้าอี้ในลานระเบียงชั้น 2 หน้าห้องนอนเก่าที่เธอเคยใช้ในตอนที่ย้ายเข้ามาใหม่ แต่ตอนนี้ได้เปลี่ยนห้องนี้เป็นพื้นที่เล่นของลูกไปแล้ว จากนั้นเธอก็เดินไปยืนที่ริมระเบียง เธอรู้สึกผ่อนคลายไปกับบรรยากาศเย็นสบาย จึงปล่อยใจไปตามอารมณ์ความรู้สึก ณ ขณะนั้น

ระยะเวลาที่วีรภัทราเรียนรู้กับเรื่องนี้นั้นยาวนานมาพอสมควร จนได้เจอกับคำตอบอย่างการยอมรับในตัวตนของอีกฝ่ายนั้นก็สำคัญไม่แพ้กัน คนเราอยู่ด้วยกัน ไม่ใช่แค่อยู่ แต่ต้องปรับตัวเข้าหากัน ทั้งในแง่การพูดคุยที่ใช้เหตุผลนำ ทำความเข้าใจต่อหลังจากฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้ว และรู้จักที่จะยอมรับในตัวตนของอีกฝ่ายเพราะไม่มีใครสมบูรณ์แบบ และไม่มีใครทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีเสมอ คนเราจะต้องรู้จักให้อภัยและเปิดใจกับสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นให้มากพอ เพื่อให้ความสัมพันธ์ของครอบครัวยังไปกันต่อได้

วีรภัทราที่ยืนเหม่อมองออกไปยังท้องฟ้าที่มืดหม่น แต่เห็นแสงที่สดใสกำลังแต่งแต้มให้เธออยู่ เธอยิ้มให้กับตัวเอง เพราะตอนนี้ ตัวเธอเองได้เปิดใจ ปรับตัว และยอมรับทุกความเป็นไปในชีวิตที่เข้ามาแล้ว

และนี่สินะคือ ปลายทางของ สุดแสงสีหม่น